บทที่ 1067 ได้รับความโปรดปรานจนรู้สึกประหลาดใจ
ตอนที่ฉินซีเดินออกมาจากโรงพยาบาล สีหน้ายังขาวซีดอยู่เล็กน้อย
ต่อให้คุณหมอย้ำแล้วย้ำอีกว่าเลือกการรักษาแบบที่สองถือว่าอ่อนโยนที่สุดแล้วก็ตาม แต่ว่าหลังจากการรักษาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เหงื่อฉินซีก็ยังไหลออกมาไม่น้อยเลยทีเดียว
คุณหมอยื่นกระดาษทิชชู่ให้กับเธออย่างเอาใจใส่:” การรักษาครั้งแรกทรมานหน่อยนะ ยังไงซะเป็นการรักษาแบบการขจัดภูมิไว หลังจากรักษาทุกครั้งก็จะค่อยๆดีขึ้นเอง”
ฉินซีรับกระดาษทิชชู่มา เช็ดเหงื่อที่ขมับ และพยักหน้า
คุณหมอลุกขึ้นมาส่งเธอไปที่หน้าประตู ถามแบบไม่ได้ตั้งใจว่า:” วันนี้คุณมาคนเดียวหรือ?”
ชัดเจนมาก เมื่อวานลู่เซิ่นให้ความทรงจําที่ยากจะลืมกับเขาไว้เยอะ
ฉินซียิ้มแย้ม:” อืม เขามีธุระออกไปทำงานที่ต่างจังหวัด”
– คุณหมอพยักหน้า ไม่ถามอะไรอีก
ถึงแม้ตอนนี้บ้านตระกูลฉินน่าจะไม่ทำอะไรกับเธออีกแล้วก็ตาม แต่ว่าลู่เซิ่นก็ยังไม่ไว้วางใจอยู่ดี เธอเพิ่งเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย ก็มีบอดี้การ์ดสามคนเดินออกมา ปกป้องเธออย่างใกล้ชิด
ถึงแม้บอดี้การ์ดใส่ชุดลำลองธรรมดา แต่ว่ารูปร่างสูงใหญ่ล่ำบึ้ก เห็นแล้วดึงดูดสายตาคนมาก
เพียงแต่ว่าการปกป้องแบบนี้สำหรับฉินซีในตอนนี้ยอมรับอย่างใจเย็นและนิ่งเฉยไปแล้ว
เพราะว่าตอนนี้เธอได้เข้าใจแล้วว่า ถ้าหากเธอเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่เรื่องของเธอเพียงผู้เดียวแล้ว
มีคนอื่นคิดถึงตัวเองอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
ถ้าหากไม่อยากสร้างความวุ่นวายให้กับลู่เซิ่น วิธีที่ดีที่สุด ก็คือปกป้องตัวเองดีๆ
แต่ว่าตอนนี้บริษัทฉินน่าจะชุลมุนน่าดู จึงไม่มีกระจิตกระใจมาหาเรื่องฉินซีแล้วแหละ
ฉินซีไม่ได้ตั้งใจไปค้นหาข่าวของบริษัทฉิน แต่ว่ามีอานหยันคนนี้คอยเป็นเครื่องรายงานข่าวแบบนี้อยู่ เธอจะไม่พลาดการเคลื่อนไหวใดๆของบริษัทฉินตลอดกาลอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าไม่ดูมือถือแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง ฉินซีนั่งอยู่บนรถและเปิดมือถือออกมา ข่าวคราวที่อานหยันส่งมาสะสมอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ฉินซีไม่ต้องกดเข้าไปด้วยซ้ำ แค่ดูการพาดหัวข่าว ก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
《ผู้ต้องหาหุ้นบริษัทฉินฆ่าคนโดยไม่ได้ตั้งใจ ตำรวจได้จับกุมตัวเรียบร้อยแล้ว》
《บริษัทฉินลงมือกับลูกสาวแท้ๆ? จ้างวานผู้ต้องหาฆ่าคน? 》
《เบื้องหลังบริษัทฉินกรุ๊บ”ทุจริต”ถูกเผยแพร่ออกมาแล้ว》
…………….
สื่อมวลชนพวกนี้เพื่อผลประโยชน์ พาดหัวข่าวซะเวอร์
แต่ว่าฉินซีเลื่อนออกไปแบบไม่สนใจ ไม่ดูสักอย่าง
เธอรู้ดี อานหยันแชร์ข่าวสารเหล่านี้ให้กับเธอแบบเรื่อยเปื่อย ไม่ต้องการการตอบรับจากเธอ
แต่ว่าขณะที่เธอกะจะเลื่อนออกไป จู่ๆอานหยันก็ส่งข่าวสารมาอีกครั้ง
“เห็นรึยัง? ฉินเฉิงถูกจับกุมตัวแล้ว”
ฉินซียักคิ้ว พิมพ์ตอบกลับไปว่า:” ฉินซึ่งเทียนหาคนมารับผิดแทนตัวเอง?”
อานหยันส่งข้อความเสียงมาโดยตรงซะเลยดีกว่า:” คนแก่เจ้าเล่ห์คนนั้นไม่ทำด้วยตัวเองแน่นอน ฉันได้ยินมาว่า ความคิดเห็นที่ลักพาตัวคุณฉินเฉิงเป็นคนเสนอออกมาจริงๆ หากจับกุมเขาก็ไม่นับว่าใส่ความเขา แต่ว่าหากพูดว่าฉินซึ่งเทียนไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยสักนิด ฉันไม่เชื่อหรอก”
ฉินซียิ้มแย้ม ตอบกลับไปว่า:” นี่เป็นวิธีที่เขาใช้จนชิน”
อานหยันตอบสีหน้ากลับไป อาจจะไปทำธุระอย่างอื่นแล้วไม่ได้พูดมากกว่านี้อีก
ฉินซีเก็บมือถือ มองออกไปทางหน้าต่าง
เธอพอเดาออก ตอนที่ฉินเฉิงเสนอเรื่องแบบนี้ขึ้นมา คิดไม่ถึงแน่นอนว่าตัวเองจะเข้าไปอยู่ในคุกเพราะเรื่องแบบนี้
ช่วงนี้ฉินซีถึงจะค่อยๆเข้าใจ ธุรกิจของบริษัทฉินที่บริหารมาตั้งหลายปี การบริหารไม่ได้บริสุทธิ์
เรื่องที่ลงมือโหดเหี้ยมลับหลังแบบนี้ ก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว
ส่วนเรื่องบริษัทฉิน ส่วนใหญ่ให้ฉินเฉิงไปทำ
ความสัมพันธ์ของฉินซึ่งเทียนและฉินเฉิงใกล้ชิดมากกว่าที่เธอรับรู้เสียอีก ฉินซึ่งเทียนทำดีบังหน้า ส่วนฉินเฉิงช่วยทำเรื่องทุจริตอยู่ลับหลัง
ฉินซึ่งเทียนมีทางลัดในการแก้ปัญหา ฉินเฉิงออกหน้าทำเรื่องทุกครั้ง ส่วนเขาคอยช่วยปกปิดอยู่ลับหลัง เพราะฉะนั้นคนอย่างฉินเฉิงคนนี้ถึงได้เหิมเกริมจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้นอยู่ที่ห้องประชุมบริษัทฉินยังมีจุดยืนที่ชัดเจนซะด้วยสิ
เพราะฉะนั้นรู้ว่าฉินเฉิงเสนอกับฉินซึ่งเทียนว่าจะลักพาตัวตัวเอง ฉินซีไม่แปลกใจเลยสักนิด
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาอาจรู้สึกว่าแค่เรื่องเล็กๆเท่านั้น ไม่ได้ใช้คนกลุ่มนั้นที่พวกเขาใช้อยู่บ่อยๆ แต่ไปหาคนข้างนอกแบบเรื่อยเปื่อย
แต่ว่าครั้งนี้นี่เอง ไม่เพียงแต่เจอคู่ปรับอย่างบริษัทลู่ ยังเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาอีกด้วย
ถ้าหากไม่ได้ทำให้คนถึงแก่ตาย ลู่เซิ่นรีบพาคนกลับไป ต่อให้จู่โจมด้วยความคิดเห็นของประชาชน ตอนนี้ก็จะไม่ถึงขั้นนี้
แต่ว่าพี่หลิวได้ตายไปแล้ว และเรื่องก็บานปลายซะด้วยสิ
คำนินทาว่าร้ายของบริษัทฉิน ทีแรกบริษัทฉินไม่ให้ความสำคัญ แค่หาคนลบข้อความทิ้งไป คิดว่าแค่ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ก็เพียงพอแล้ว
แต่ว่าตอนที่พวกเขารู้สึกถึงความสำคัญ ก็สายไปเสียแล้ว
ความคิดเห็นของประชาชนบานปลายและเร็วกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก
ทุกคนเริ่มต่อต้านผลิตภัณฑ์ของบริษัทฉินด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มีอาการแพ้ไปพ่นสีที่หน้าประตูสำนักงานหลักบริษัทฉิน ทำให้หน้าประตูบริษัทฉินพังเสียหาย
ตอนนี้ฉินซึ่งเทียนถูกตรวจสอบและถูกจู่โจมด้วยความคิดเห็นของประชาชนถือว่าชุลมุนน่าดู ไม่เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ปกปิดเรื่องราวได้มิดชิด
เพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง เขาจำเป็นต้องละทิ้งฉินเฉิงซึ่งเหมือนกับมือซ้ายและมือขาวของเขาคนนี้ไป
ตอนเที่ยงฉินเฉิงถูกตำรวจพาตัวไป ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงรูปถ่ายที่เขาถูกสวมกุญแจมือไว้ก็แพร่หลายออกไปทั่วอินเตอร์เน็ตแล้ว
คนส่วนใหญ่ถึงเอาความสนใจย้ายมาที่ตัวผู้ต้องหา สำหรับการประณามเจ้าตัวอย่างฉินซึ่งเทียนและบริษัทฉินจึงหยุดนิ่งไปชั่วคราว
ไม่ต้องคิดก็รู้ได้เลยว่า ผู้บงการเบื้องหลัง ต้องเป็นฉินซึ่งเทียนแน่นอน
เพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง เขาสามารถทำถึงขั้นนี้ ในชั่วขณะหนึ่งฉินซีไม่รู้ว่าควรจะสงสารฉินเฉิงดีรึเปล่า
เพียงแต่ว่าแบบนี้ถึงจะดูออกบ้าง ฉินซึ่งเทียนทำถึงขนาดนี้ ถูกบีบคั้นจนต้องทำแบบนี้
อีกก้าวเดียว
ฉินซีคิดอยู่ในใจเงียบๆ
ขอแค่อีกก้าวเดียว ฉินซึ่งเทียนก็จะล้มลงไปอย่างสิ้นเชิง
ส่วนการจู่โจมครั้งสุดท้ายครั้งนี้ อยู่ในการเตรียมพร้อมของเธอแล้ว
……….
ฉินซีกลับไปที่รีสอร์ทชิงหยวน ทานอาหารเย็นเสร็จ ขึ้นไปบนตึกและเปิดคอมพิวเตอร์ออกมา กำลังคิดจะจัดการงานที่สะสมเมื่อก่อนนี้ จู่ๆก็พบในอินบล็อกมีอีเมล์ที่ยังไม่ได้อ่านหนึ่งข้อความ
ในตัวอีเมล์ไม่มีความพิเศษใดๆ แต่ว่าคนที่ส่งอีเมล์มาพอที่จะทำให้เธอประหลาดใจมากเลยทีเดียว
——ซึ่งก็คือที่ลู่เซิ่นได้พูดกับเธอไปเมื่อวานนี้ สปอนเซอร์นิทรรศการศิลปะที่เมืองหนานเฉิงคนนั้นนี่เอง
ในแวดวงช่างภาพ สปอนเซอร์คนนี้ที่จัดงานนิทรรศการขึ้นมามีระดับความน่าเชื่อถือต่อสาธารณะมากเลยทีเดียว
เหตุการณ์โดยทั่วไป ก่อนที่สปอนเซอร์จัดงานนิทรรศการขึ้นมา จะประกาศหัวข้อนิทรรศการออกมาและเชื้อเชิญผลงานของช่างภาพทุกคน
มีแต่คนที่สปอนเซอร์ต้องการเชิญเป็นพิเศษเท่านั้น ถึงจะส่งอีเมล์เชื้อเชิญโดยเฉพาะ
และมีแต่ผลงานของช่างภาพที่ถูกสปอนเซอร์เชื้อเชิญเป็นพิเศษเท่านั้น ถึงจะถูกวางอยู่ในห้องโถงนิทรรศการหลัก
ยิ่งไปกว่านั้นคนมากมายถือว่านี่เป็นเกียรติอย่างนึง
ฉินซีแค่จำได้แบบคร่าวๆว่าเวลานี้น่าจะเป็นช่วงเวลา สปอนเซอร์จัดงานนิทรรศการแล้ว แต่ว่าช่วงนี้เธอถูกเรื่องราวต่างๆนาๆขัดขวางไว้ ไม่มีเวลาไปสังเกตงานนิทรรศการครั้งนี้
ทีแรกเธอคิดว่าตัวเองน่าจะพลาดเวลาที่ส่งผลงานไปแล้ว และไม่มีวาสนากับงานนิทรรศการครั้งนี้แล้วด้วยซ้ำ
คิดไม่ถึงสปอนเซอร์กลับติดต่อตัวเองด้วยตัวเอง
ฉินซีกดเข้าไปในอีเมล์อย่างประหลาดใจ
อีเมล์พูดแบบง่ายๆ แสดงท่าทีออกมาว่าสนใจผลงานของเธอ หวังว่าเธอสามารถเข้าร่วมงานนิทรรศการ
ยิ่งไปกว่านั้นสปอนเซอร์ไม่ได้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลงานชิ้นไหน นั่นก็หมายความว่า ไม่ว่าฉินซีส่งผลงานอะไรออกไปก็ตาม พวกเขาล้วนยอมรับอย่างดีใจ
ชั่วขณะหนึ่งฉินซีมีความรู้สึกถูกแอนดูจนน่าประหลาดใจ