บทที่ 1064 ฉินซีเป็นคนสำคัญที่ลู่เซิ่นได้ทำหล่นหาย
หมอประจำบ้านที่รีสอร์ทชิงหยวนเป็นมืออาชีพมากเลยทีเดียว วินิจฉัยอยู่สักพัก ซึ่งแน่ใจแล้วว่าฉินซีไม่หนักหนาสาหัส ลู่เซิ่นค่อยสบายใจขึ้นมาแบบฝืนๆ
เขามองดูใบหน้าที่ขาวซีดของฉินซี ในใจสับสนวุ่นวายเหลือเกิน
ตามข่าวคราวที่เขาได้รับ เขาคาดเดาได้เลยว่าช่วงนี้ฉินซีอยู่อย่างไม่มีความสุข
เรื่องราวของเหยาหมิ่นแพร่หลายออกไปอย่างครึกโครม ลู่เซิ่นมีใจช่วย กลับไม่มีจุดยืน
ทีแรกเขาคิดว่าเวลาจะรักษาบาดแผลให้ทุกอย่างหายไปเอง ซึ่งมันจะปรากฏขึ้นมาอย่างไม่สายเกินไปมากนัก
แต่ว่ายังไงเขาก็คิดไม่ถึงเลยว่า เกือบนิดเดียวเองก็จะไปจากฉินซีโดยสิ้นเชิงแล้ว
ลู่เซิ่นยังจำผู้หญิงที่มีรอยยิ้มอันสดใสซึ่งพบเจอกันในหอศิลป์คนนั้นได้เป็นอย่างดี ทำไมผ่านไปแค่หนึ่งปีเท่านั้น ก็กลายเป็นหน้าตาแบบนี้ไปแล้ว
ชั่วขณะนั้น ในใจของลู่เซิ่นมีความเกลียดชัง
เขาเกลียดชังบริษัทฉิน เกลียดชังฉินซึ่งเทียน และเกลียดชังทุกคนที่ทรมานฉินซีมาจนถึงขั้นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเกลียดชังฉินซีอีกด้วย ที่เธอละเลยชีวิตของตัวเองอย่างง่ายดายเช่นนี้
ความเกลียดชังแบบนี้ ในขณะที่ฉินซีฟื้นขึ้นมาแล้วก็ตามยังไม่สามารถหายแค้นใจไปจนหมดสิ้น
เพราะฉะนั้นขณะที่เผชิญหน้ากับฉินซี สีหน้ายังคงดูแย่อยู่
เพียงแต่ว่าถึงแม้ฉินซีจะฟื้นขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่ว่าลู่เซิ่นดูออก เธอยังคงไม่หวังที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
ลู่เซิ่นเหมือนรู้สึกว่าฉินซีเป็นเหมือนกับว่าที่เส้นด้ายนั้นได้ขาดไปแล้ว อยู่บนโลกนี้ซึ่งไม่มีความอาลัยอาวรณ์อีกต่อไป
แต่ว่าเขาจะเป็นคนที่ดึงเส้นด้ายเส้นนี้เอาไว้เอง
เขาจะดึงฉินซีกลับมาอยู่ในโลกใบนี้
เพราะฉะนั้นเขาถึงได้พูดคำปลอบใจตั้งมากมายก่ายกองแบบนี้ให้กับฉินซี
ถ้าหากไม่สามารถมีความอาลัยอาวรณ์ ถ้าอย่างนั้นมีความเกลียดชังก็ได้
อย่างน้อยมีความเกลียดชังอยู่ ยังสามารถทำให้เธอสู้ต่อไป
เป็นจริงซะด้วย สำหรับความเกลียดชังที่ฉินซีมีต่อฉินซึ่งเทียนและหลี่เหวยนั้น เธอเลือกที่จะแก้แค้น
แต่ว่าเผชิญกับคำถามที่เธอถามขึ้นมาว่า”คุณต้องการอะไร” คำถามนี้ ลู่เซิ่นแทบอยากตอบกลับไปจากจิตใต้สำนึกลึกๆว่า “ต้องการคุณ”
เขาชัดเจนในตัวเองมาก ตัวเองตามหาอยู่ตั้งนานสองนานเพื่ออะไรกันหล่ะ
ลู่เซิ่นไม่ใช่คนโรแมนติก และไม่เคยเชื่อในโชคชะตา สำหรับรักแรกพบยิ่งดูถูกดูแคลนมาก
แต่ว่าเขากลับลืมฉินซีซึ่งเคยพบปะกันแค่ครั้งเดียวไม่ได้
จนถึงวินาทีนี้ก็ตาม เขาได้ยอมรับกับตัวเองอย่างเปิดเผยแล้วว่า เขาคิดถึงฉินซีจนลืมไม่ลง และรักแรกพบที่เขาไม่ยอมเชื่ออีกด้วย
ที่เขาต้องการง่ายนิดเดียว
เขาต้องการฉินซีอยู่ข้างกายตัวเอง
แต่ว่าฉินซีเข้าใจความหมายของเขาผิดไป คิดว่าเขาต้องการเงินและเรือนร่างมาเป็นการแลกเปลี่ยน
ลู่เซิ่นอยากอธิบาย ในที่สุดกลับไม่ได้อธิบาย
ความหยิ่งยโสและศักดิ์ศรีของเขาไม่อนุญาตให้เขาถามฉินซี จำระเบิดที่หอศิลป์เมื่อหนึ่งปีก่อนได้มั้ยและลืมไปแล้วหรือว่ามีคนคนนี้หยุดอยู่ที่ผลงานของเธอเมื่อก่อนหน้านี้
ฉินซีโมโหเป็นเรื่องปกติมาก แต่ว่าเขากลับนิ่งสงบอย่างน่าแปลกใจ
เรื่องที่เกือบสูญเสียฉินซี ทำให้ลู่เซิ่นเสียสติของตัวเองไปแล้ว
ในเมื่อมีวิธีมัดฉินซีเอาไว้ข้างกายตัวเอง ต่อให้ถูกเข้าใจผิดก็ตาม เขาก็จะไม่ล้มเลิก
เขาต้องได้ตัวฉินซีมาให้ได้
เพราะว่าฉินซีเป็นคนสำคัญที่ลู่เซิ่นได้ทำหล่นหาย
…………….
การเปิดเผยที่ยาวเหยียด ในห้องนอนจมลงไปในความเงียบสงบอย่างยาวนาน
ฉินซีไม่รู้ว่า ควรเอ่ยปากยังไงในชั่วขณะหนึ่ง
โทษที่ลู่เซิ่นไม่พูดให้ชัดเจนหรือ?
เหมือนจะไม่สมควร
เพราะยังไงซะถ้าหากตอนนั้นลู่เซิ่นถามตัวเอง ส่วนตัวเองก็ไม่ได้เรื่องรู้ราวเลยสักอย่าง กลับไปทำให้ลู่เซิ่นต่อต้านขึ้นมาอย่างรุนแรงหล่ะ?
แต่ว่าจะโทษตัวเองหรือ?
เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะโทษยังไงดี
คิดไปคิดมา ทั้งคู่พัวพันกันไปมาอยู่หนึ่งปีเต็มๆ และโชคชะตายังได้ล้อเล่นอีกด้วย
“คุณ……. ในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เคยทดสอบฉันหลายครั้งแล้วใช่มั้ย?” เงียบไปตั้งนาน ฉินซีถึงค่อยเอ่ยปากออกมา
ลู่เซิ่นไม่ปฏิเสธ:”ใช่แล้ว”
ฉินซีสังเกตเรื่องราวที่แปลกๆ อย่างเช่นอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งใจอ้อมทาง เป็นการทดลองที่เธอเคยเห็น
แต่ว่าที่ฉินซีไม่ได้สังเกตหล่ะ อย่างเช่นรูปภาพสีน้ำมันที่แขวนไว้ในห้องหนังสือ และอย่างเช่นเวลาที่เธอไม่รู้ว่าสายตาของลู่เซิ่นได้หยุดอยู่ที่ตัวเองหล่ะ ล้วนเป็นการทดสอบที่เขายังไปไม่ถึงจุดเป้าหมาย
“คนที่จำเรื่องราวเหล่านี้ได้……..ลำบากมากเลยใช่มั้ย”ฉินซีไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่ยื่นมือออกมาจากผ้าห่อ และจับมือของลู่เซิ่นเอาไว้
ลู่เซิ่นกลับเอามือของตัวเอง ยัดเข้าไปในผ้าห่มด้วยกัน
“ค่อยยังชั่ว ความจริงผมใช้เวลาสักเดือนสองเดือน ก็แน่ใจได้แล้วว่า คุณจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่ได้แล้ว” สีหน้าท่าทางของลู่เซิ่นนิ่งสงบมาก แต่ว่าฉินซีกลับฟังออกว่ามีความเศร้าโศก “แต่ว่าก่อนหน้านี้ของเมื่อวาน ผมคิดว่าคุณตั้งใจลืม คิดไม่ถึง…..คุณจำอะไรไม่ได้แล้ว”
ฉินซีพูดไม่ออกในทันทีทันใด
ใช่แล้ว เธอจำไม่ได้แล้ว
” เพราะฉะนั้น……. ในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ คุณทำกับฉันแบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย กำลังโทษว่าฉันได้ลืมคุณไปแล้วใช่มั้ย? ฉินซีเอ่ยปากอย่างลำบากใจ
หากเป็นเช่นนี้ เธอสามารถเข้าใจในการกระทำของลู่เซิ่นทุกอย่าง
มองในมุมมองของอีกฝ่าย ถ้าหากฉินซีมีความคาดหวังอยู่เต็มอกแต่กลับได้รับความเย็นชาแบบนี้ เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถทนได้ไหม
แต่ว่าลู่เซิ่นกลับส่ายหน้า:”ที่ผมไม่พอใจ เป็นเพราะคุณเท่านั้นเอง”
“เป็นเพราะฉัน?” ฉินซียักคิ้ว
“เพราะว่าคุณกับผมที่เจอกันแบบรักแรกพบคนนั้นแทบจะเป็นคนละคนไปแล้ว คุณปิดกั้นตัวเองอย่างสนิทมิดชิด ไม่ยอมเชื่อใจใครทั้งนั้น และห้ามใครเข้าใกล้อีกด้วย ยิ้มน้อยมาก และละเมออยู่บ่อยๆ คุณไม่ใช่คนที่มีชีวิตชีวาและกระปรี้กระเปร่า เหมือนกับช่อดอกกุหลาบที่แห้งเหี่ยว ไม่มีชีวิตชีวา”น้ำเสียงลู่เซิ่นช้าๆ แต่ว่าฉินซีกลับรู้สึกว่าเหมือนฟ้าผ่าลงมาที่ข้างหูตัวเอง
……….ที่แท้ตั้งแต่ช่วงเวลานั้นที่ผ่านมา ตัวเองถึงกับเป็นแบบนี้นี่เอง
“ทีแรกผมยังมีความรู้สึกผิด เป็นเพราะว่าผมใช้วิธีที่ไม่เหมาะสมแบบนี้เพื่อรั้งคุณเอาไว้ข้างกายผม จึงทำให้คุณรู้สึกไม่ดี และถึงได้เป็นแบบนี้ ต่อมาผมถึงพบว่า คุณไม่ได้เป็นแบบนี้เพราะผม เป็นเพราะว่า…….คุณไม่ใส่ใจผมต่างหาก” เสียงของลู่เซิ่นขมขื่นและเศร้าโศกเสียใจ
ฉินซีกลับเอ่ยปากปลอบใจไม่ได้
เพราะว่าตั้งแต่แรก……….เธอรู้สึกแบบนี้จริงๆ
เธอได้กำหนดความสัมพันธ์ของตัวเองและลู่เซิ่นเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทองและเรือนร่างไปแล้ว ลู่เซิ่นใช้หนี้แทนเธอ ส่วนเธอรับผิดชอบด้วยการมอบความสุขให้กับลู่เซิ่น
ในเมื่อเป็นการค้าขายและเป็นการแลกเปลี่ยน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเอาความรักและความสัมพันธ์อันลึกซึ้งเข้ามาเกี่ยวข้อง
เงียบกริบไปตั้งนาน ฉินซีค่อยๆเอ่ยปากออกมา:”ความจริง…….พ่อบ้านตระกูลฉินเสียชีวิตในวันนั้น คุณอยู่ที่นี่ของฉัน และคุณมีฐานะที่แตกต่างไปจากเดิมแล้ว”
ลู่เซิ่นก้มหน้ามองเธอไว้ กลับไม่พูดจา เพื่อรอเธอพูดต่อไปเรื่อยๆ
ฉินซีพูดช้ามาก เหมือนกับตระหนักในคำพูด:” วันนั้นฉันโมโหจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว อยากขับรถออกไปและไปตายพร้อมกันกับฉินซึ่งเทียนและหลี่เหวยให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ว่าพ่อบ้านเรียกสติของฉันกลับมาก่อน ต่อมาก็เป็นคุณนี่แหละ”
“เป็นผม?” ลู่เซิ่นถามด้วยความสงสัย
“เป็นคุณเองที่อยู่ข้างหลังฉัน และโอบกอดฉัน ทำให้ฉันซึ่งอยู่ในอากาศที่หนาวเย็น รู้สึกถึงความอบอุ่น”ฉินซีก้มหน้าลง” อยู่ในอ้อมกอดของคุณ ฉันถึงได้รู้สึกว่า ในโลกนี้ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียว และฉันก็ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย”
วันนั้นในความทรงจำของลู่เซิ่นไม่ใช่วันพิเศษอะไร แต่ว่าฟังคำอธิบายของฉินซีอยู่ จู่ๆกลับรู้สึกว่าเขาโชคดีมาก
โชคดีที่วันนั้นเขาเลือกถูกต้องแล้ว