บทที่ 1059 ต้องหยุดเธอ
ฉินซีรักษาระยะโดยให้แขนเสื้อของลู่เซิ่นนำทางอยู่ด้านหน้า
ทั้งสองฝ่าผู้คนออกมาจากโถงนิทรรศการ
ขณะที่พวกเขากำลังจะเดินไปที่ทางเข้าของห้องโถงนิทรรศการ จู่ๆก็มีเสียงฝ่าลมดังขึ้น
ลู่เซิ่นไวต่อการเสียงนี้มาก
นี่มัน…ปืนเก็บเสียง?
ทำไมถึงมีเสียงนี้เกิดขึ้นที่นี่
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ที่นี่ไม่ควรมีปืนถึงจะถูก
ที่นี่ไม่ปลอดภัย!
ลู่เซิ่นตัดสินใจได้ในชั่วพริบตาเดียว เขารีบยื่นมือไปจับมือของฉินซีเพื่อพาเธอออกไปข้างนอก
ฉินซีดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่อ่อนแอ หากมีอันตรายใดๆเกิดขึ้นที่นี่ เธอจะเป็นเป้าหมายที่ง่ายที่สุด
อย่างไรก็ตามทั้งสองจะได้พบเจอกันโดยบังเอิญและอยู่ด้วยกันมาหลายชั่วโมง ลู่เซิ่นคิดว่าตัวเองควรรักษาความปลอดภัยให้เธอเป็นอันดับแรก
พาเธอออกไปได้แล้ว จากนั้นค่อยโทรศัพท์ให้บอดี้การ์ดของตัวเองเข้ามาตรวจสอบ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงค่อยรีบแจ้งตำรวจ
ลู่เซิ่นวางแผนในใจเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อจะก้าวเท้าก็ต้องหยุดชะงัก…
ลู่เซิ่นไม่ได้ดึงฉินซี
เขาขมวดคิ้วพลางดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อจ้องมอง สีหน้าของฉินซีก็เปลี่ยนไป
ใบหน้าสวยไร้เดียงสาของเธอค่อยๆขมวดคิ้ว สีหน้าจริงจัง เหมือนกับว่าไม่ใช่หญิงสาวคนเดียวกับที่ลากตัวเองและพูดเป็นต่อยหอยเมื่อครู่นี้เลย
เธอพูดเสียงเบา “เมื่อกี้…เสียงปืนใช่ไหม”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว
ในฐานะผู้สืบทอดบริษัทลู่ซื่อ เขาต้องเผชิญกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกๆวัน ความอาฆาตพยาบาทที่มีต่อบริษัทและการต่อต้านเขามักจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นฉันจึงได้รับการฝึกการป้องกันตัวต่างๆตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ซึ่งเขาคุ้นชินและรู้เกี่ยวกับอาวุธต่างๆมากมาย
แต่เท่าที่เขารู้ การฝึกฝนแบบนี้อาจถูกนำมาใช้ในหลายๆครอบครัว แต่โดยทั่วไปไม่มีใครฝึกเรื่องแบบนี้ให้กับเด็กผู้หญิง
เนื่องจากการฝึกต้องมีสมรรถภาพทางร่างกายสูง ซึ่งสมรรถภาพทางร่างกายของผู้หญิงอาจรับไม่ไหว
ยิ่งไปกว่านั้น ลูกสาวในครอบครัวแบบนี้มักจะถูกโอ๋มาตั้งแต่เด็ก ไม่มีทางยอมให้พวกเธอต้องลำบากแน่นอน
แต่…ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับการฝึกป้องกันแล้ว ตัวคนทั่วไปจะมีโอกาสสัมผัสปืนได้อย่างไร
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเช่นนี้ ผ่านเสียงต่างๆและสามารถจับเสียงเล็กๆที่ดังจากกระบอกเก็บเสียงปืนได้
ลู่เซิ่นมองไปที่ฉินซีด้วยความสงสัย
แต่ฉินซีกลับดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงการจ้องมองของเขา เธอเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังจะเดินเข้าไปในโถงนิทรรศการ
“คุณจะทำอะไร” ลู่เซิ่นคว้ามือของเธอไว้พลางดึงกลับ “คุณเองก็ได้ยินเสียงปืนแล้วไม่ใช่หรือไง ที่นี่อาจจะเกิดอันตรายขึ้นก็ได้ คุณยังจะเข้าไปอีกทำไม”
ฉินซีเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้เขาโดยไม่พูดอะไร
ลู่เซิ่นยังอยากตั้งคำถาม แต่กลับพบว่าฉินซีดึงมือของเธอออกจากมือของตัวเองไปแล้วโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย
ทันทีที่เขาก้มหน้า ฉินซีก็สลัดหลุดออกจากตัวเองและเดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชน
“ให้ตายเหอะ” ลู่เซิ่นสบถออกมา หลังจากลังเลอยู่ไม่นาน เขาก็หันกลับและเดินตามฉินซีไป
ทั้งๆที่รู้ว่ามีเหตุการณ์อันตรายอยู่ภายในนั้น เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถมองดูฉินซีเข้าไปตาย
ถ้าคนข้างในมีปืนจริง ฉินซีเดินเข้าไปแบบนี้ ไม่แน่ว่าอาจเกิดอะไรขึ้น
ตัวเองต้องหยุดเธอ
เมื่อนึกได้เช่นนี้ ฝีเท้าของลู่เซิ่นก็เปลี่ยนเป็นเหมือนกับดาวตก
เขาเดินเพียงไม่กี่ก้าว ในขณะที่กำลังจะถึงตัวฉินซี ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้น
ดวงตาของลู่เซิ่นเบิกกว้างทันที
……
ฉินซีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขัดจังหวะเขา “ตามที่คุณพูดแล้ว ทักษะของฉัน…ก็ไม่แย่เท่าไหร่สินะ?”
ลู่เซิ่นก้มหน้าลงมามองเธอ “นี่คุณค่อนข้างจะภูมิใจใช่ไหมเนี่ย”
ฉินซียิ้ม แต่แล้วรอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าของเธออย่างรวดเร็ว
เธอก้มมองมือตัวเองพลางพูดออกมาเบาๆ “เมื่อวานก็เหมือนกัน ฉันใช้ฝ่ามือจนทำให้พี่หลิวถึงขั้นโคม่าได้ยังไงก็ไม่รู้ ฉันมาหาข้อมูลทีหลังว่าการจะใช้วิธีนี้จนคนโคม่าได้นั้นจำเป็นต้องใช้แรงอย่างมาก ฉัน…ทำได้ยังไง ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เดิมทีเธอคิดว่านี่อาจเป็นสัญชาตญาณของเธอที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่คับขัน
แต่เมื่อมารวมกับคำอธิบายของลู่เซิ่นแล้ว เธอสามารถแยกแยะเสียงปืนได้ สามารถสลัดมือออกจากลู่เซิ่นได้ ความเป็นไปได้ที่จะเป็นความบังเอิญนั้นต่ำเกินไป
แต่ความเป็นไปได้ที่ว่าเธอได้รับการฝึกฝนอย่างมืออาชีพจริงๆนั้นเพิ่มมากขึ้น
แต่…ทำไมเธอถึงจำอะไรไม่ได้เลย
ตามที่ลู่เซิ่นบอกว่าการฝึกฝนเช่นนี้คือต้องได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก แต่ในความทรงจำวัยเด็กของฉินซีกลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการฝึกฝนเลยแม้แต่น้อย
……หรือว่าตัวเองจะลืมความทรงจำส่วนนี้ไปอย่างนั้นเหรอ
โดยสัญชาตญาณแล้วฉินซีรู้สึกว่านี่มันไม่ถูกต้อง
ตามที่แพทย์ได้กล่าวไว้ว่าความทรงจำของเธอได้รับผลกระทบจากภาวะความเครียดผิดปกติหลังเหตุสะเทือนใจ โดยควรจะเป็นช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่น่าส่งผลกระทบต่อช่วงเวลาในวัยเด็ก
แต่ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับการฝึกฝนแล้วตัวเองจะรู้เรื่องแบบนี้ได้อย่างไร
ฉินซีรู้สึกสับสนไปหมด
ดูเหมือนว่าลู่เซิ่นจะรู้สึกได้ถึงความเหม่อลอยของฉินซี เขาจึงเอื้อมมือออกไปเชยคางเธอขึ้น “คิดอะไรอยู่”
ฉินซีส่ายหน้า “เปล่า”
ตรงกันข้าม ความสงสัยของเธอกลับทวีคูณขึ้น
ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเพียงแค่กดหลังมือของเธอเบาๆ “ถ้า…อยากรู้ว่าตัวเองลืมอะไรไป ก็ไปหาหมอเถอะ ยังไม่สายที่จะเปลี่ยนไปใช้ข้อเสนอแรกนะ”
ฉินซีส่ายหน้า “เรื่องนั้นค่อยว่ากัน นายพูดต่อสิ!ทำไมในหอศิลป์ถึงเกิดเสียงขึ้น”
ลู่เซิ่นยิ้ม “โอเคๆ งั้นฉันเล่าต่อนะ”
……
เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้น สีหน้าของลู่เซิ่นก็เปลี่ยนไป
เขาไม่คุ้นเคยกับเสียงนี้ แต่ก็ได้ยินไม่ผิดแน่…
นี่มันคือระเบิด!
ก่อนที่เขาจะได้ตอบสนองอะไรออกไปก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้น
“เกิดอะไรขึ้น”
“แผ่นดินไหวเหรอ”
“ไม่น่าใช่…มีอะไรระเบิดรึเปล่า”
ก่อนที่บทสนทนาของผู้คนจะจบลงก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง
แหล่งที่มาของเสียงน่าจะดังมาจากด้านนอกของโถงนิทรรศการ
โถงนิทรรศการที่มีผู้คนมากมายเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
“อะไรนะ มีอะไรระเบิดจริงๆงั้นเหรอ!”
“มีการโจมตี!โจมตี!”
“พระเจ้าช่วย!มีระเบิดจริงๆ!”
จากที่เมื่อครู่ผู้คนยังคงเบียดเสียดกันอยู่ด้านใน ตอนนี้ต่างๆพากันวิ่งกรูกันออกไปข้างนอก
แต่เพราะทางเข้าออกของโถงนิทรรศการนั้นมีขนาดเล็ก แต่ผู้คนด้านในกลับมีมาก ทำให้แออัดกันอยู่อย่างนั้น
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว ไม่ดีแน่ถ้าทางถูกปิด
หากในสถานการณ์เกิดระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง เกรงว่าแม้ระเบิดจะไม่ทำอันตรายใครแต่ก็อาจทำให้ผู้คนแตกตื่นได้
ในขณะที่เขากำลังคิด จู่ๆก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นเหนือหัว
“ตู้ม”
ระเบิดลูกเล็กน่าจะถูกวางไว้บนโคมไฟในหอศิลป์ โดยไม่ได้ทำให้ใครบาดเจ็บโดยตรง เพียงแต่ทำให้เพดานด้านบนของโถงนิทรรศการแหลกละเอียดเท่านั้น
ชิ้นส่วนของหลอดไฟกระจัดกระจายไปทั่ว โถงนิทรรศการก็มืดลงทันที มีเสียงกรีดร้องดังมาจากฝูงชน ทำให้ทุกคนต่างพากันดิ้นรนพยายามเบียดกันออกจากห้องโถง
เหตุเหยียบกันตายกำลังจะเกิดขึ้น…