บทที่ 1056 ไม่ได้หย่ากัน
ขณะที่ฉินซีเดินขึ้นบันได ในใจยังคงลังเล
สิ่งที่อานหยันพูดเป็นความจริงอย่างนั้นเหรอ
ทำไมลู่เซิ่นถึงบอกว่าทั้งสองคนไม่ได้หย่ากันล่ะ
เขาลงนามในข้อตกลงไว้อย่างชัดเจนแล้วนี่ ทำไมจะไม่มีการหย่าร้างล่ะ
ฉินซีหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือของลู่เซิ่น ทันใดนั้นความคิดก็แล่นเข้ามาในหัวของเธอ
…มันอาจจะเป็นแค่ข้ออ้างของเขา?
ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ลู่เซิ่นต้องการเหตุผลที่เหมาะสมในการพาตัวเองกลับจากบ้านของอานหยัน เขาจึงพูดไปเช่นนั้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หัวใจที่หลงทางของฉินซีก็สงบลง
ต้องเป็นเหตุผลนี้แน่ๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้กับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลู่เซิ่น ยังมีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่ารอให้เธอแก้ไข เพราะเหตุนี้ฉินซีจึงลืมข้อสงสัยจากคำพูดของอานหยันไปชั่วคราว
ตอนที่เธอเคาะประตูและเดินเข้าไปในห้องของลู่เซิ่นโดยไม่ปล่อยให้ลู่เซิ่นสังเกตเห็นท่าทีที่ผิดปกติใดๆของตนเอง
“เมื่อกี้มีแขกมาเหรอ” เมื่อลู่เซิ่นเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่าเป็นเธอ ใบหน้าก็ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ทนายความมาหา ถามถึงเรื่องจะจัดการกับคดีของเห้อเสียงยังไงดีน่ะ “ฉินซีกล่าวขณะที่เธอเดินไปหาเขา
ลู่เซิ่นพยักหน้ารับไม่ได้ถามอะไรมาก เขาหันไปพูดกับฉินซี “ดึกแล้ว เธอไปพักผ่อนก่อนไหม”
ฉินซีส่ายหัวพลางสบตาลู่เซิ่น “นายยังไม่ได้บอกเลย เรื่องที่ฉันลืมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราสองคน”
ลู่เซิ่นประหลาดใจ “ตอนนี้ดึกแล้วนะ…เธอแน่ใจเหรอว่าต้องการที่ฟังตอนนี้”
ฉินซียืนกราน “ตอนนี้เลย วันนี้ฉันพักผ่อนมาพอแล้ว ไม่รีบเข้านอน”
อันที่จริงจะบอกว่าไม่เหนื่อยเลยสักนิดก็จะกลายเป็นว่าโกหก
วันนี้ฉินซีผ่านการตรวจร่างกายมามากมายในโรงพยาบาลและตอนนี้ก็ต้องการนอนบนเตียงเพื่อพักผ่อน
แต่ความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับทั้งสองคนทำให้กดความเหนื่อยทั้งหมดเอาไว้
ก่อนหน้านี้เธอก็เคยสงสัยมาก่อน
ทำไมลู่เซิ่นถึงขอร้องกับเธอ ทำไมถึงตอบสนองกับสิ่งที่เธอต้องการ ทำไมตอนที่เธอบอกว่าอยากแต่งงาน เขาถึงพยักหน้าตกลงโดยไม่ถามอะไรสักคำ ทำไมถึงช่วยเธอมากมายโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยกันนะ
เธอรู้สึกว่าเรื่องจะไม่ง่ายอย่างนั้น
แต่ในตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าความทรงจำของตัวเองนั้นยังไม่สมบูรณ์ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ของทั้งสองเป็นมาอย่างไร เธอจึงตัดใจที่จะคาดเดา
แต่ตอนนี้ความจริงได้อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว จะให้เธอไม่อยากรู้อยากเห็นได้อย่างไร
ลู่เซิ่นมองดูท่าทางของก็รู้ทันทีว่าเธอจะไม่ยอมแพ้ไปง่ายๆอย่างแน่นอนจึงไม่หลีกเลี่ยงอีกต่อไปและลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา “ได้ งั้นเธอรอก่อน ฉันจะไปเอารูป”
ฉินซีเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรมากพลางพยักหน้าตอบรับ
ลู่เซิ่นเดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชักและหยิบอะไรบางอย่างออกมาอย่างรวดเร็ว โดยอาจจะวางของสิ่งนั้นไว้อย่างชัดเจนหรือไม่ก็อาจเพราะหยิบมันขึ้นมาดูบ่อยๆ
เขารีบหยิบรูปภาพกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เธอยังจำที่นี่ได้ไหม”
ฉินซีรับรูปถ่ายมาไว้ในมือก็พบว่ามันคือรูปโพลารอยด์
ฉากในโพลารอยด์ไม่ใช่ที่แปลกตาสำหรับเธอ “นี่คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เมืองหนานใช่ไหม”
เธอยังคงรู้สึกประทับใจกับที่นี่ เพราะเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอได้ไปที่เมืองหนานเพื่อเข้าชมการจัดนิทรรศการภาพถ่ายของช่างภาพชื่อดัง
“อืม” ลู่เซิ่นพยักหน้าและถามขึ้นอีกครั้ง “ในความทรงจำของเธอ ครั้งแรกที่เราสองคนเจอกันคือเมื่อไหร่”
ฉินซีลังเลไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับ “หนึ่งปีก่อนหน้านี้ ฉันเจอนายครั้งแรกก็ตรงทางเดินเล็กๆที่ประตูหลังของรีสอร์ทชิงหยวน”
ลู่เซิ่นยิ้มพร้อมกับส่ายหัว “ไม่ ครั้งแรกที่เราเจอกันคือที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้”
ดวงตาของฉินซีเบิกกว้างขึ้น “ฮืม?”
ลู่เซิ่นมองไปที่เธอ “ฉันบอกแล้วไงว่าเรื่องมันยาว เธออยากจะฟังตอนนี้จริงๆเหรอ”
ฉินซีพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “นายเล่ามาเลย”
ลู่เซิ่นถอนหายใจเบาๆ “ได้ แต่พวกเรากลับไปที่ห้องนอนกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
……
ย้อนเวลากลับไปที่เมืองหนานเมื่อสองปีก่อน
จุดกำเนิดและรากฐานทางธุรกิจของตระกูลลู่นั้นมาจากเมืองหนาน ถึงแม้ว่าตอนนี้ศูนย์กลางทางธุรกิจจะย้ายไปที่ประเทศFแล้วก็ตาม แต่ลู่เซิ่นยังคงต้องกลับไปเมืองหนานเพื่อจัดการเรื่องบางเรื่องบ้างเป็นครั้งคราว
และที่เขากลับมาในครั้งนี้ก็เพื่อจัดการกับธุรกิจบ่อน้ำมัน
ที่ตรงนั้นเป็นแหล่งน้ำมันที่มีผิวตื้นจึงแทบไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามในการสำรวจ ดังนั้นจึงเป็นที่ต้องการประมูลของบริษัทต่างๆจำนวนไม่น้อย
เช่นนี้แล้วลู่เซิ่นจะปล่อยให้ธุรกิจนี้หลุดมือไปได้อย่างไร เพราะอย่างนั้นจึงบินมาเมืองหนานเพื่อจับตาดูการเสนอราคานี้ด้วยตัวเอง
เพียงแต่ยังไม่ทราบปริมาณน้ำมันในพื้นที่นี้ ซึ่งแต่ละบริษัทต่างก็แสดงพละกําลังของตนเองออกมาจนทำให้ยังไม่สามารถสรุปราคาสุดท้ายได้ ดังนั้นราคาการประมูลจึงแตกต่างกันมาก
ธุรกิจนี้ทำให้ลู่เซิ่นตกอยู่ในสภาวะที่หัวเสียอย่างมาก
เมื่อหลินหยังเห็นอย่างนั้นจึงคิดสร้างทริปเที่ยวพักผ่อนไปรอบๆเมืองหนานยื่นเป็นรายงานให้ลู่เซิ่นดูผ่านๆตา
เมื่อลู่เซิ่นเปิดรายงานในวันรุ่งขึ้นเขาก็จะเห็นมัน
“นี่คืออะไร” เขาขมวดคิ้วพลางดึงรายการของหลินหยังออกมา
หลินหยังรีบตอบกลับ “นี่เป็น…โปรเจ็กต์คลายความเบื่อครับ คือผมเห็นว่าช่วงนี้ท่านทั้งต้องหนักใจและเปลืองแรงไปกับการประมูลในครั้งนี้จนเหนื่อยเกินไปแล้ว ผมเลยถือวิสาสะหาโอกาสให้ท่านได้ผ่อนคลาย”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว สายตามองไปที่ลิสต์
หลินหยังรู้นิสัยของเขาว่าตอนนี้ไม่ได้จดจ่ออยู่กับข้อมูลต่างๆนานาที่ดูวุ่นวายเหล่านั้น แต่กำลังคิดระหว่างไปดูงานประมูลหรือจะผ่อนคลายไปกับโปรเจ็กต์น้ำพุร้อน
ลู่เซิ่นเองก็คิดว่าสองสามวันมานี้ ตัวเองค่อนข้างจะหุนหันพลันแล่น หากพักเสียหน่อยก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร เขากวาดสายตาพลันตัดสินใจที่จะไป
หลินหยังตอบรับ ทำหน้าที่จัดสรรวันเวลาในการพักผ่อนให้แก่เขาโดยไม่มีกำหนดอย่างอื่นเป็นเวลาหนึ่งวัน
หากเพียงไปน้ำพุร้อนจริงๆล่ะก็ คงไม่เกิดเรื่องต่อมาในภายหลัง
เมื่อถึงวันที่กำหนด วันนั้นไม่ได้เข้าบริษัท เพราะเขาวางแผนว่าหลังจากที่ตื่นเช้าจะตรงออกจากบ้านไปเลย
แต่แล้วทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
และแน่นอนว่าสายที่โทรเข้ามานั้นเป็นเสียงของหลินหยัง
น้ำเสียงของเขาฟังดูลังเล “ท่านประธานลู่ครับ มีคนมาที่บริษัท เขาแจ้งว่าต้องการพบท่านครับ”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้วขึ้น “พบฉัน?วันนี้ฉันมีแผนอื่นแล้ว ไม่รู้รึไง”
หลินหยังรีบอธิบายกลับ “แน่นอนว่าผมทราบครับ แต่…คุณคนนี้บอกว่าเขามีข้อมูลเกี่ยวกับบ่อน้ำมันสำรองและต้องการคุยกับท่านโดยตรง ผมเกรงว่าเรื่องจะล่าช้าจึงต่อสายหาท่านครับ”
สีหน้าของลู่เซิ่นจริงจัง “นายแน่ใจนะว่าเขาไม่ได้พูดโกหก”
หลินหยังพยักหน้า “เขามีเอกสารอยู่ในมือ แต่เอกสารเฉพาะอย่างอื่นเขาต้องการคุยกับท่านแบบตัวต่อตัวครับ”
ลู่เซิ่นมองกระเป๋าสัมภาระที่แม่บ้านจัดเตรียมให้เสร็จสรรพพลางถอนหายใจเบาๆ “โอเค บอกให้เขารอก่อน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
เขาจึงจำเป็นต้องขึ้นไปชั้นบนเพื่อถอดชุดลำลองแล้วเปลี่ยนเป็นสูททางการ จากนั้นให้คนขับรถรีบขับพาไปที่บริษัททันที