บทที่ 1013 ไม่เคยเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน
เมื่อทั้งสองคนกลับมาถึงรีสอร์ทชิงหยวน พ่อบ้านก็ส่งเสียงทักทายและต้อนรับพวกเขา “อากาศหนาวขนาดนี้ รีบทำตัวให้อบอุ่นเร็วเข้าเถอะครับ ทำไมเสื้อผ้าถึงได้เปียกอยู่ล่ะ รีบเข้ามาเถอะครับ ถอดเสื้อผ้าออกก่อนจะได้ไม่หนาวมาก”
ฉินซีได้ยินคำบ่นของเขาแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที
ลู่เซิ่นเองก็ไม่ได้รำคาญที่เขาบ่นมาก ทั้งยังทำตามที่เขาบอก ถอดเสื้อนอกของทั้งสองคนออกแล้วส่งไปให้เขา
เมื่อทั้งสองคนกลับไปที่ห้อง ลู่เซิ่นจึงได้เปิดปากพูดออกมาว่า “เธอก็เก็บปืนกระบอกนั้นไว้เถอะ”
ฉินซีมีสีหน้าลำบากใจ “ฉัน…ไม่ค่อยรู้วิธีใช้”
ลู่เซิ่นหันไปมองเธอ “ฉันจะสอนเธอทีหลัง”
จากนั้นเขาหาเวลาว่างมาในการสอนฉินซีใช้ปืนอยู่หลายครั้ง แต่เรื่องพวกนี้เอาไว้ค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง
เรื่องที่ทำให้เธอสติหลุดเพราะการตายของพ่อบ้านก็ผ่านไปทั้งแบบนี้
ความเคียดแค้นชิงชังยังคงหลงเหลืออยู่ในหัวใจของฉินซี
แต่ในขณะเดียวกันความไว้วางใจที่มีต่อพ่อบ้านของรีสอร์ทชิงหยวนคนนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน
…
“คุณนายครับ คุณนาย!”
ฉินซีรีบดึงสติกลับมาในทันที จึงรู้สึกตัวว่าเธอเพิ่งจะหลับพิงหน้าต่างรถ
บอดี้การ์ดเหมือนจะรู้สึกละอายใจเล็กน้อยที่ปลุกเธอ แต่ยังคงทำหน้าหนาพูดต่อว่า “โทรศัพท์ของคุณดังอยู่นานแล้ว…”
ฉินซีจึงพบว่าโทรศัพท์ของเธอถูกปิดเสียงเอาไว้ ตอนนี้มันก็กำลังสั่นไม่หยุดอยู่พอดี
“ขอบคุณค่ะ” ฉินซีพยักหน้าให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
ทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา เธอก็นึกออกทันทีว่าเหมือนเธอจะลืมอะไรบางอย่างไป
…เธอลืมเล่าการเดินทางของตัวเองให้ลู่เซิ่นฟัง
เธอรับปากลู่เซิ่น ว่าเธอจะไม่ไปไหนจนกว่าเขาจะกลับมา
ถึงแม้ว่าลู่เซิ่นจะยังกลับมาไม่ได้สักพัก แต่ว่ากันตามจริงทั้งสองคนก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกฎหมายใด ๆ กันอีกแล้ว
แต่ฉินซีมักรู้สึกอยู่เสมอว่า เธอควรจะบอกลู่เซิ่นว่าเธอจำเป็นต้องไปจากรีสอร์ทชิงหยวนสักระยะหนึ่ง
เพียงแต่วันนี้เธอยุ่งวุ่นวายทั้งวัน เลยลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ตอนนี้พอเห็นลู่เซิ่นโทรศัพท์มา เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกประณามความผิดอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกดรับโทรศัพท์
“เธออยู่ที่ไหน” เขาถามขึ้นมาตรงๆในทันที น้ำเสียงแฝงไปด้วยความฉุนเฉียว
ฉินซีตอบกลับไปตามความจริง “ฉันอยู่บนรถค่ะ”
ทางฝั่งลู่เซิ่นคล้ายกับกำลังกัดฟันแน่น พยายามที่จะเค้นคำพูดไม่กี่คำออกมา “ฉันได้ยินพ่อบ้านบอกว่าเธอต้องเดินทางไปทำธุระข้างนอกหนึ่งสัปดาห์”
ฉินซีลังเลอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเรื่องที่เธอคิดจะทำให้ลู่เซิ่นฟังหรือเปล่า จึงตอบกลับไปอย่างคลุมเครือ “ค่ะ…”
บอกว่าเธอกำลังไปทำธุระ ก็ไม่ถือว่าเป็นการโกหก
น้ำเสียงของลู่เซิ่นเย็นชาขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน หลังจากที่เงียบไปหลายวินาที ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ฉินซี คุณพ่อเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว”
ฉินซีชะงักไปชั่วขณะ “คุณรู้แล้วอย่างนั้นเหรอคะ”
น้ำเสียงของลู่เซิ่นย่ำแย่มาก “ทำไมเธอไม่บอกฉัน ถ้าฉันไม่โทรไปถามคุณพ่อ เธอก็คงคิดจะแก้ปัญหาด้วยตัวเองโดยไม่บอกฉันใช่ไหม”
ฉินซีอ้าปากค้าง เธอไม่สามารถพูดโต้แย้งอะไรออกมาได้
เธอตั้งใจจะแก้ปัญหาทั้งหมดด้วยตัวเองจริง ๆ ต่อให้ลู่เหวยไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว เดิมทีเธอก็ไม่สามารถดึงตระกูลลู่เข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ จึงจะให้ลู่เซิ่นรู้ไม่ได้
ราวกับรู้ว่าการที่ฉินซีนิ่งไปนั้นเป็นเหมือนการยอมรับเงียบ ๆ น้ำเสียงของลู่เซิ่นจึงเพิ่มความรุนแรงขึ้นมาหลายส่วน “ฉินซี เธอเห็นฉันเป็นตัวอะไรกันแน่ ทำไมเธอถึงไม่เชื่อมั่นในตัวฉันเลยสักนิด”
ฉินซีขมวดคิ้ว รีบพูดปฏิเสธขึ้นมาทันทีว่า “ฉันไม่ได้ไม่เชื่อมั่นในตัวคุณ เพียงแต่…”
“เธอก็แค่รู้สึกว่า ในเมื่อพวกเราหย่ากันแล้ว ก็ไม่ควรลากฉันลงน้ำไปด้วยใช่ไหม” คำพูดแต่ละคำของลู่เซิ่นราวกับถูกบีบเค้นให้ออกมา “ฉินซี เธอเป็นคนพูดเองว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนไม่จำเป็นจะต้องมีเรื่องของสัญญาเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เธอดูการกระทำของตัวเองสิ ถ้าระหว่างเราไม่มีเรื่องข้อตกลงใด ๆ เข้ามาข้องเกี่ยว ฉันก็จะถูกเธอขับออกจากชีวิตทันทีเลยใช่ไหม”
ฉินซีเงียบ
ถึงแม้ว่าเธอจะปฏิเสธอย่างถึงที่สุด แต่พอลองคิดดูดี ๆ แล้ว การกระทำของเธอเหมือนจะมีความหมายว่าแบบนั้นจริง ๆ
ถ้าวันนี้เธอไม่ได้หย่ากับลู่เซิ่น เธอจะพยายามละทิ้งความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราทั้งสองคนอย่างสุดชีวิตแบบนี้ไหม
ฉินซีไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้
ดูเหมือนว่าลู่เซิ่นจะหมดความอดทนที่เธอเอาแต่ความเงียบอยู่เนิ่นนาน ฉินซีสัมผัสได้ถึงความโกรธที่เขาพยายามจะควบคุมมันเอาไว้ผ่านทางโทรศัพท์ “ช่างเถอะ”
หลังจากที่เขาพูดสองคำนี้ออกมาก็วางสายไปทันที
ฉินซีถือโทรศัพท์เอาไว้อย่างตกตะลึง
ตลอดมาเธอเอาแต่ตำหนิว่าลู่เซิ่นลังเลอยู่เสมอ ไม่เคยเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน
แล้วเธอไม่ใช่อย่างนั้นเหรอ
ลองคิดในอีกแง่หนึ่ง ถ้าเธอเป็นลู่เซิ่น แม้แต่พ่อของตัวเองก็ยังรู้เรื่องนี้ แต่ตนเองกลับไม่รู้อะไรสักอย่าง เธอก็คงจะรู้สึกว่า…ไม่ได้รับความเชื่อใจเหมือนกัน
แม้ว่าฉินซีจะไม่ได้จงใจที่จะลืม แต่การที่เธอลืมก็แปลว่าเธอไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน
ฉินซีเม้มริมฝีปากแล้วหลุบตาลง
ความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสองระเบิดขึ้นมาในเวลาแบบนี้…มันไม่ใช่เวลาเลยจริง ๆ
ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะบินไปพบลู่เซิ่นที่เมืองหนานโดยไม่ต้องสนใจเรื่องอะไร แล้วอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังอย่างละเอียด
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่า…เป็นไปไม่ได้
ฉินซีถอนหายใจเบา ๆ ลูบโทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่งข้อความหาลู่เซิ่น
“ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่บอกคุณ ฉันแค่ลืมมันไปชั่วขณะ ขอโทษค่ะ”
แม้ว่าคำอธิบายนี้จะจะดูซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง แต่มันก็เป็นความจริงที่ว่าฉินซีไม่สามารถที่จะอธิบายแบบอื่นได้
เมื่อข้อความถูกส่งออกไปแล้ว ทันใดนั้นเธอก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดู
ทางฝั่งของลู่เซิ่น…ยังเป็นเวลารุ่งเช้าอยู่
ถึงแม้ว่าตลอดมาลู่เซิ่นจะตื่นเช้ามาก แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเจ็ดโมงครึ่งด้วยซ้ำ เขาน่าจะเพิ่งตื่นนอน แล้วอยู่ ๆ จะคิดถามเธอเรื่องที่เธอเดินทางไปทำธุระได้ยังไง
ฉินซีคิดอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนึกถึงคำพูดของเขาขึ้นมาได้
“ได้ยินพ่อบ้านบอก…”
คิดว่าเขาน่าจะสั่งพ่อบ้านเอาไว้ ว่าถ้ามีข่าวอะไรเกี่ยวกับเธอก็ให้บอกเขา
หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะคำพูดของเธอก่อนที่จะออกมา ทำให้พ่อบ้านยกระดับความระแวดระวังมากขึ้น จึงโทรศัพท์ไปหาเขาแต่เช้า
…ว่ากันตามความจริงแล้วมันก็เป็นปัญหาของเธอ
ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบข้อความกลับมา ฉินซีถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือแล้วเงยหน้ามองไปรอบ ๆ
“ใกล้ถึงแล้วหรือยัง” เธอถาม
บอดี้การ์ดพยักหน้า “ใกล้จะถึงแล้วครับ เลยไฟแดงหน้าไปก็ถึงแล้ว”
จ้าวจิ้งส่งข้อความมาบอกว่าตัวเองถึงแล้วพอดี ฉินซีตอบกลับไปว่าเธอก็ใกล้จะถึงแล้วเหมือนกัน
หลังจากที่ออกจากหน้าสนทนาของจ้าวจิ้ง เธอก็มองไปที่หน้าต่างสนทนาของลู่เซิ่นที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว ฉินซีถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะกดปิดหน้าจอ
บอดี้การ์ดไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ หลังจากผ่านไฟแดงมาได้ ฉินซีก็มองเห็นเงาคนที่กำลังรออยู่ริมถนน
พอเห็นรถของตัวเองขับผ่านไป แววตาของเธอก็สั่นไหว
ฉินซีโบกมือให้บอดี้การ์ดหยุดรถแล้วกดเปิดหน้าต่าง
“จ้าวจิ้งใช่ไหม”
เธอเอ่ยปากถาม
คนคนนั้นพยักหน้า “ใช่แล้ว คุณคือ…ฉินซีใช่ไหม”
ฉินซีพยักหน้าแล้วยกยิ้ม “รอนานแล้วสินะ ขึ้นรถเถอะ!”
บอดี้การ์ดลงมาจากรถแล้วนำกระเป๋าของเธอไปเก็บไว้ เธอรีบเปิดประตูแล้วขึ้นไปนั่งบนรถ “สวัสดี”
แม้ว่าทนายจ้าวจะส่งรูปถ่ายมาให้แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินซีได้พบกับจ้าวจิ้ง
“สวัสดี”
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยพักหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างพิจารณากันอย่างเงียบ ๆ อยู่หลายวินาที