บทที่ 1005 หนทางยังอีกยาวไกล
แต่ลู่เซิ่นก็ไม่คิดเลยว่า ตัวเองจะปล่อยไก่ออกไปแบบนั้น
เมื่อบันไดเครื่องบินกางลง ลู่เซิ่นก็ลุกขึ้นแล้วเดินลงไป
ถ้ามองให้ดี ก็จะพบว่าเขากำโทรศัพท์ในมือเอาไว้แน่น
เพียงแต่ใครก็คงคิดไม่ถึง ว่าเขาไม่ได้กำลังรอสายจากคู่ค้าทางธุรกิจคนสำคัญ และไม่ได้กำลังรอลุ้นผลการทำสัญญาอะไรทั้งสิ้น
เขาก็แค่รอสายจากฉินซี ก็เท่านั้น
……
อีกด้านหนึ่ง เมื่อฉินซีเห็นหน้าจอพลันดับสนิท ก็ยืนค้าง
ตอนแรกที่เห็นว่าลู่เซิ่นโทรมา เดิมทีเธอว่าจะพูดทักทายกันพอเป็นมารยาทสักสองสามประโยค หลังจากนั้นค่อยขอตัววางสายไป แต่ไม่คิดเลยว่าจู่ๆลู่เซิ่นจะพูดประโยคนั้นออกมา
มากไปกว่านั้นคือลืมคิดไปเลยว่าเมื่อคืนเธอลืมชาร์จแบตโทรศัพท์ วันนี้ตอนเช้าก็รีบออกไปข้างนอกด้วย จึงไม่ได้สนใจเรื่องแบตโทรศัพท์มากนัก แบตถึงได้หมดไปดื้อๆแบบนี้
แต่ฉินซีไม่ได้เดินเข้าห้องนอนไปหาที่ชาร์จ และไม่ได้จะขาดการติดต่อไปเฉยๆเช่นเดียวกัน เธอเลือกที่จะหันกายเดินไปหาพ่อบ้าน ให้พ่อบ้านส่งข้อความไปบอกลู่เซิ่นให้
ถ้าปล่อยให้เขาไม่รู้ ก็คงคิดไปเองว่าเธอจงใจวางสายใส่ แบบนั้นคงเข้าใจผิดไปกันใหญ่
เธอฟังออก ว่าในน้ำเสียงของลู่เซิ่นมีแววหยั่งเชิง
เธอไม่รู้ว่าลู่เซิ่นคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่คำพูดของเขาเมื่อสักครู่ ถ้าเธอไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับไปเขาคง……เสียหน้าแย่
โชคดีที่เธอคิดได้ ไม่อย่างนั้นถ้าไม่มีข้อความจากพ่อบ้านส่งไปบอก บางทีเขาอาจจะบินกลับมาทันทีเลยก็ได้
เมื่อส่งข้อความเสร็จ และแน่ใจว่าลู่เซิ่นได้รับแล้ว เธอถึงได้ขึ้นชั้นบนเพื่อกลับไปยังห้องนอน
ฉินซีไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าการชาร์จแบตโทรศัพท์ให้เต็มจะยาวนานขนาดนี้
คิดไม่ถึงว่าเธอจะอยากคุยกับลู่เซิ่นเร็วๆขนาดนี้
เธออยากถามให้เข้าใจ ว่าที่ลู่เซิ่นถามออกมานี่คิดดีแล้วหรือยัง? ให้คำนิยามความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนี้ได้แล้วเหรอ? เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าระหว่างทั้งสองคนสามารถไปกันได้โดยที่ไม่ต้องมีเงินและข้อตกลงเข้ามาเกี่ยวข้อง?
คำถามมากมายค้างอยู่ในใจ เธอแทบอยากจะถามมันออกไปซะเดี๋ยวนี้
ในเวลาไม่กี่นาที มันมากพอที่จะทำให้เธอรู้ตัวว่าความรู้สึกที่เธอมีให้ลู่เซิ่นมันมากกว่าที่จินตนาการไว้หรือเปล่า เธอถึงได้อยากรู้คำตอบของเขาเร็วๆแบบนี้
ซึ่งในวินาทีที่เปิดโทรศัพท์ขึ้นมา เธอก็กดเข้าไปในวีแชท แล้วกดวิดีโอคอลกลับไปหาลู่เซิ่น
ส่วนลู่เซิ่นก็ไม่ปล่อยให้เธอรอนาน กดรับสายแทบทันที
“ชาร์จแบตแล้ว?” ในน้ำเสียงของลู่เซิ่นมีแววล้อๆ
เห็นได้ชัดว่า ความอึดอัดระหว่างทั้งสองคนมลายหายไปจนไม่มีเหลือ
เมื่อฉินซีปล่อยไก่ออกมาขนาดนี้ จึงทำได้แค่พยักหน้า ไม่อาจหาข้อแก้ตัวได้เลย
แต่เมื่อเห็นท่าทางของลู่เซิ่น คำถามเต็มหัวเมื่อสักครู่นี้ ก็พลันหายวับไปจนไม่เหลือร่องรอย
ต่อให้เป็นฮีโร่ ต้องบินตั้งสิบชั่วโมงกว่าๆขนาดนั้นก็คงมีเหนื่อยบ้างล่ะ อีกอย่างลู่เซิ่นก็ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ระหว่างที่อยู่บนเครื่องด้วย ดังนั้นบนใบหน้าของเขาจึงไม่สามารถซ่อนความเหนื่อยล้าเอาไว้ได้เลย
เธอกำลังจะถามสิ่งที่อยากถามออกไปแต่จู่ๆเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ “คุณลงเครื่องแล้ว?”
ฉินซีมองภาพในหน้าจอ ก็เห็นแสงวูบๆวาบๆ ที่ส่งกระทบลงบนใบหน้าด้านข้างของลู่เซิ่นเป็นระยะๆ จึงสังเกตได้ว่าเขาไม่ได้อยู่บนเครื่องบินแล้ว
“อืม” ลู่เซิ่นพยักหน้า “ขึ้นรถแล้ว ตอนนี้กำลังไปโรงแรม”
เพราะเวลาต่างกันสิบสองชั่วโมง ทางฝั่งลู่เซิ่นจึงยังมืดอยู่
…….พอคำนวณดูแล้ว ทางนั้นยังตีสามอยู่เลย
ฉินซียิ้มเยาะกับตัวเอง คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะมีช่วงที่ไร้เหตุผลขนาดนี้
ลู่เซิ่นเดินทางตั้งนาน มีคำถามอะไร รอให้เขาได้พักผ่อนแล้วค่อยถามก็ได้นี่นา ไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนี้
ถึงยังไงลู่เซิ่นก็ไม่หายไปไหนหรอก
ดังนั้นเธอจึงกักเก็บคำถามทั้งหมดเอาไว้ ทว่าชั่วขณะกลับไม่รู้ควรพูดอะไรแทน
ทางลู่เซิ่นที่ถูกขัดจังหวะด้วยแบตโทรศัพท์เจ้าปัญหาของเธอ เวลาก็ผ่านไปนานขนาดนี้ อารมณ์อ่อนไหวที่มาจากคำพูดในความฝันก็ลดลงไปเยอะพอสมควร
เมื่อเห็นแววตาห่วงใยของฉินซี เขาจึงเลือกเก็บคำถามเหล่านั้นเอาไว้ก่อน
หนทางยังอีกยาวไกล เรื่องของความรู้สึก มันบังคับและเร่งรัดกันไม่ได้หรอก
เพราะฉะนั้น เมื่อทั้งสองมีความคิดเหมือนกัน ปลายสายทั้งสองฝั่งจึงพากันเงียบลงไปโดยไม่ได้นัดหมาย
สิบชั่วโมงก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกเขาแยกกัน ฉินซีดึงชายเสื้อของลู่เซิ่นเอาไว้ บรรยากาศก็ดูตึงเครียด
ตอนนี้ทั้งสองคนกลับมองกันผ่านหน้าจอเงียบๆ บรรยากาศนิ่งสงบ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
หลินหยังส่งเอกสารมาให้ลู่เซิ่น ลู่เซิ่นจึงหันไปพูดกับเขา เสียงพูดคุยของพวกเขาดังขึ้นมาในสายพอให้ได้ยินรางๆ จากนั้นก็เป็นเสียงการเคลื่อนไหวจากการเปิดหน้ากระดาษ
แต่ลู่เซิ่นกลับไม่ได้วางสาย
ฉินซีก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงได้ถือสายเอาไว้ตลอด พร้อมกับหันหน้าไปเปิดคอมพิวเตอร์ แล้วจัดการเอกสารในอีเมล
ทั้งๆที่อยู่ห่างกัน ต่างคนก็ต่างจัดการงานของตัวเอง บางครั้งก็โต้ตอบกันบ้าง แต่ทั้งสองกลับเหมือนอยู่ในพื้นที่เดียวกันอยากแปลกประหลาด
ราวกับว่าทั้งสองเป็นคู่รักนักเรียนมัธยม ที่อยู่กันคนละบ้านแล้วไม่สามารถมาอ่านหนังสือด้วยกันได้ ทำได้แค่โทรหากันผ่านวิดีโอคอล ทำทีเป็นอ่านหนังสือด้วยกัน เพื่ออยู่เป็นเพื่อนกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นอายุหรือประสบการณ์ พวกเขาต่างก็ห่างไกลจากนักเรียนมัธยมมากโข
แต่เมื่อได้ทำอะไรที่ดูบริสุทธิ์และใสๆอย่างนี้ บรรยากาศระหว่างทั้งสองก็ไม่มีอะไรแปลกไปเลยสักนิด
กลับกันเป็นหลินหยังที่แอบลอบมองอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาในทันที
ไม่อยากห่างกันขนาดนี้…….ทำไมต้องมาทำงานนอกสถานที่ด้วยตัวเองด้วยล่ะ
จนเมื่อลู่เซิ่นจัดการเอกสารเสร็จ และทางฉินซีก็ตอบกลับอีเมลเรียบร้อย อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงโรงแรมแล้ว
เมื่อฉินซีเห็นแสงไฟค่อยๆสว่างขึ้นมาผ่านหน้าจอ ก็พอจะรู้ว่าลู่เซิ่นน่าจะเข้าใกล้เขตโรงแรมแล้ว จึงโบกมือแล้วพูดว่า “คุณไปพักผ่อนเถอะ”
ลู่เซิ่นพยักหน้า ขยับเข้าใกล้หน้าจอแล้วพูดกระซิบเสียงเบาว่า “คุณอยู่คนเดียว ก็นอนดีๆล่ะ”
เสียงของเขาจากปลายสายสะท้อนเข้ามาในหู ฉินซีรู้สึกว่าหูของตัวเองเริ่มแดงขึ้นมาแล้ว
“อืม” ฝั่งเธอมีแสงสว่างมากพอ จึงกลัวว่าลู่เซิ่นจะเห็นถึงความผิดปกติ จึงไม่รอให้เสียเวลา เตรียมจะกดวางสายอย่างเร่งรีบ
แต่ไม่รู้ว่าลู่เซิ่นเห็นแล้วหรือเปล่า ถึงได้หัวเราะเสียงต่ำออกมา ทั้งๆที่บอกลากันแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมวางสาย ทำแค่จ้องมองเธอนิ่งๆ จนเธอกดวางสาย
เมื่อหน้าจอเปลี่ยนเป็นสีดำ ฉินซีถึงได้ถอนหายใจออกมายาวๆ
ตอนที่ลู่เซิ่นไป เธอตัดสินใจไว้แล้วแท้ๆ ว่าต้องใจแข็งจนกว่าลู่เซิ่นจะเป็นฝ่ายสารภาพกับเธอก่อน จนกว่าเขาจะพูดออกมาชัดๆว่าเขาคิดยังไงกันแน่ ทำไมถึงได้วกวนซับซ้อนขนาดนี้ ฉินซีคาดเดาความรู้สึกของเขาทีไร ก็เหมือนต้องมองดูดอกไม้ในสายหมอกทุกที
แต่พอลู่เซิ่นเป็นฝ่ายโทรมาก่อน ความตั้งใจของเธอก็ถูกเบี่ยงเบนโดยไม่รู้ตัว เธอถึงได้หลุดพูด……คำพูดห่วงเป็นใยพวกนั้นออกไป
เธอเม้มริมฝีปาก ดวงตายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ว่าควรทำยังไง
เธอไม่รู้ว่าลู่เซิ่นคิดยังไง แต่เธอรู้ความคิดตัวเองเป็นอย่างดี
เธอไม่สามารถทำใจยอมรับการที่ต้องตัดขาดกับลู่เซิ่นได้
หย่ากันแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะกลับมาคบกันไม่ได้
แต่ว่าจะกลับมาได้ยังไงนั้น……เธอยังต้องรอต่อไป
รอจนกว่าเธอจะแน่ใจในความรู้สึกของลู่เซิ่น ถึงจะกล้าตัดสินใจ