บทที่ 1001 เสียทั้งแรงกายเสียทั้งแรงใจ
ในตอนที่นำหลักฐานการปลอมแปลงเอกสารการเงินของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปไปให้อานหยัน ฉินซีเคยพูดไว้แล้วว่า จะส่งคนไปสำนักงานกำกับหลักทรัพย์เพื่อเปิดโปงบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป พร้อมทั้งรายงานข่าวไปในตัว ถึงจะสามารถทำให้บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปได้รับความเสียหายอย่างสาสม
บุคคลที่เธอพิจารณาไว้ในตอนแรก ก็คือทนายจ้าว
การเปิดโปงเรื่องนี้ ขั้นตอนการดำเนินเรื่องต่างๆต้องเป็นสายตุลาการ และในบรรดาบุคคลที่ฉินซีรู้จัก ทนายจ้าวคือคนที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
เธอคิดไว้แบบนี้ และกะว่าจะทำตามที่คิดไว้ ตอนที่ขึ้นมาบนตึก เธอถึงกับถือแฟลชไดรฟ์ติดมือมาด้วยซะดิบดี
แต่หลังจากที่วันนี้ได้เจอกับทนายจ้าว เธอกลับต้องล้มเลิกความคิดนี้
ทนายจ้าวทำอะไรเพื่อเธอมามากพอแล้ว
ก่อนหน้านี้ก็ทำเรื่องการโอนสิทธิ์ผู้ถือหุ้นให้เธอ จนถูกผู้ไม่หวังดีส่งจดหมายมาข่มขู่ เรื่องแต่งงานก็ได้เขาช่วยเอาไว้ มาคราวนี้ตัวเองมุ่นอยู่กับการจัดการฉินซึ่งเทียน จนต้องพักเรื่องของเหยาหมิ่นไว้ก่อนชั่วคราว แต่เขากลับไม่ลืมที่จะสละเวลาไปสืบหาประวัติก่ออาชญากรรมของเห้อเสียงให้
พูดได้เลยว่าเขาคือ “ผู้ร่วมเดินทางที่บังเอิญได้เจอกัน” และแน่นอนว่ามันเป็นคำพูดที่ทำให้ฉินซีรู้สึกเบาใจด้วยเช่นกัน
ฉินซีพอจะจินตนาการออก ว่าเขาต้องเสียเวลาไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ถึงสามารถตามหาเบาะแสที่เป็นประโยชน์ได้เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาเรื่องแล้วเรื่องเล่า ต่างก็เป็นเรื่องที่เสียทั้งแรงกายเสียทั้งแรงใจ
เมื่อก่อนเธอคิดแค่ว่า เพราะทนายจ้าวเป็นเพื่อนสนิทของเหยาหมิ่น จึงเต็มใจอยากช่วยเธอ
แต่วันนี้หลังจากได้รู้ว่าที่เขาช่วยเป็นเพราะความรู้สึกผิดเหล่านั้นที่ก่อเกิดขึ้นมาในใจ เธอจึงไม่กล้าไปรบกวนขอให้เขาช่วยอีกแล้ว
เพราะถ้าเธอทำแบบนั้น มันก็ไม่ต่างจากการตอกย้ำว่า “เขาควรชดใช้ความผิดให้เหยาหมิ่น”
ฉินซีไม่ใช่ฉินซึ่งเทียน เธอทำลายคนอื่นแบบนี้ไม่ลงหรอก
อีกอย่างการเปิดโปงเรื่องนี้ ถึงแม้จะเป็นการรายงานโดยไม่ระบุชื่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหาเบาะแสอะไรไม่เจอ แม้ว่าทนายจ้าวจะเป็นผู้รอบรู้ในวิชาชีพ แต่ถ้าเทียบกับตระกูลฉินแล้ว ก็ยังถือว่าไม่มีอำนาจเพียงพอ
ถ้าหากบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปสืบหาเจอว่าเป็นเขาจริงๆล่ะก็ ฉินซีจินตนาการไม่ออกเลยว่า เขาจะต้องเผชิญกับเรื่องอะไรบ้าง
ดังนั้นถ้าทนายจ้าวรู้ เขาต้องรับทำเรื่องนี้ทั้งๆที่ฉินซียังไม่ได้บอกเงื่อนไขว่าเขาต้องไปทำอะไรยังไงแน่ๆ
อย่างมากก็แค่ต้องจัดการเองแล้วล่ะ
ฉินซีกำพวงมาลัยรถพร้อมกับใคร่ครวญ
ถึงยังไงก็คงถูกฉินซึ่งเทียนเล็งเป้าไว้อยู่แล้ว ก็คงไม่เลวร้ายต่างจากเรื่องนี้สักเท่าไหร่หรอก
เมื่อรถเลี้ยวเข้ามาในรีสอร์ทชิงหยวน ฉินซีก็ตัดสินใจได้
แต่เมื่อจอดรถ เธอถึงได้เพิ่งสังเกตว่า ในลานจอดรถ ยังมีรถอีกคันหนึ่งจอดอยู่ เมื่อมองดูชัดๆ ก็รู้สึกว่าไม่คุ้นเอาซะเลย
มีแขกเหรอ?
ฉินซีขมวดคิ้ว
ตอนนี้ลู่เซิ่นก็ไม่อยู่ด้วย พอมีแขกมา เธอก็ไม่รู้ว่าต้องไปต้อนรับในฐานะอะไร
แต่ไหนๆเธอก็กลับมาถึงแล้ว คงไม่มีเหตุผลอะไรให้หลบหลีก เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นฉินซีก็ก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปในตัวบ้าน
เธอเดินเข้ามาได้ไม่ทันไร พ่อบ้านก็เดินเข้ามาต้อนรับ
“ประธานลู่มาครับ!”
ประธานลู่?
ฉินซีเลิกคิ้วขึ้น
ได้ยินทีแรก ก็นึกว่าลู่เซิ่นกลับมาแล้วจริงๆ
แต่สมองของฉินซีก็ประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าลู่เซิ่นกลับมาจริงๆ พ่อบ้านจะไม่พูดว่า “ประธานลู่มาครับ” แต่จะพูดว่า “ประธานลู่กลับมาแล้วครับ”
อีกอย่างลู่เซิ่น…….ก็ไม่น่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้
ดังนั้นประธานลู่ที่ว่า จะเป็นใครคนอื่นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่……ลู่เหวย
ฉินซีรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันใด
เธอยังไม่ได้คิดเลยว่าต้องไปเจอลู่เหวยในฐานะอะไร
แต่โชคชะตากลับไม่ให้เวลาเธอได้ปรับตัวเลย
เพราะเมื่อลู่เหวยได้ยินว่ามีคนมา ก็เดินออกมาข้างนอกเอง จึงได้สบตากับฉินซีเข้าพอดี
“ฉินซี?” ลู่เหวยมีท่าทางประหลาดใจ “หนู…….”
“ตอนนี้ฉันยังไม่ได้ย้ายออกค่ะ” แม้ว่าจะดูเสียมารยาท แต่ฉินซีก็ยังตัดบทของเขาด้วยความรวดเร็ว
เพราะฉินซีรู้ว่าเขากำลังจะถามอะไร แต่พ่อบ้านยังยืนอยู่ข้างๆ
พูดออกไปก็ค่อนข้างจะรู้สึกกระดากใจ ตั้งหลายวันแล้ว แต่ฉินซีก็ยังไม่ได้บอกเขาเรื่องที่ตัวเองกับลู่เซิ่นหย่ากันแล้วเลยสักคำ
เดิมทีเธอตั้งใจเอาไว้ว่าจะบอกทุกอย่างกับพ่อบ้านในวันที่เธอย้ายออก แต่วันที่ต้องย้ายออกกลับถูกเลื่อนแล้วเลื่อนอีก เรื่องที่เธอจะบอกพ่อบ้านก็จำต้องเลื่อนเวลาออกไปเรื่อยๆเช่นเดียวกัน
ไม่รู้ว่าเพราะลู่เหวยรู้ว่าเธอกำลังติดอะไรอยู่หรือเปล่า ถึงไม่ได้ถามเรื่องนี้กับเธออีก แต่กับชี้ไปทางห้องทานอาหารแทนแล้วพูดว่า “กินข้าวหรือยัง?”
ฉินซีส่ายหน้า จากนั้นก็เดินตามลู่เหวยเข้าไปในห้องทานอาหาร
ไม่นานคนใช้ก็นำอาหารมาเสิร์ฟ จากนั้นลู่เหวยก็โบกมือส่งสัญญาณให้คนใช้ออกไปข้างนอก พร้อมทั้งปิดประตูห้องอาหารให้ด้วย
“ฉินซี” ท่าทางของลู่เหวยยังคงอบอุ่นและสง่าเหมือนอย่างเคย ทว่าในน้ำเสียงกลับจี้เอาคำตอบ “ฉันตกใจมากเลยนะ ไม่คิดเลยว่า…..หนูจะยังอยู่ที่นี่ต่อ”
เมื่อฉินซีถูกเขาพูดใส่แบบนั้น ใบหน้าก็รู้สึกแสบร้อน เธอหลุบตาลง ไม่ได้มองตาเขา “ตอนนี้ยังหาบ้านที่ถูกใจไม่เจอน่ะค่ะ……”
คำพูดของเธอ ฟังแค่ครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นแค่ข้ออ้าง
ลู่เซิ่นมีอสังหาริมทรัพย์อยู่ในครอบครองมากตั้งเท่าไหร่ ถ้าหากอยากให้ฉินซีย้ายออกไป ก็คงหาบ้านที่พอดีให้เธอได้ในทันที หรือต่อให้ฉินซีหาเอง ก็ไม่มีทางที่จะใช้เวลาหลายวันในการหาที่อยู่ และยังอาศัยอยู่ในบ้านของอดีตสามีนานขนาดนี้
ความเป็นไปได้หนึ่งเดียว ก็คืออีกคนไม่อยากให้ไป และอีกคนก็อยากอยู่ต่อ
ที่พวกเขาสองคนทำให้มันพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้ พอผู้ใหญ่เอ่ยปากถาม ก็เริ่มรู้สึกว่ามันดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่แล้ว
อีกอย่างตอนที่ฉินซีบังเอิญเจอกับลู่เหวยในครั้งก่อน เธอก็เคยเอ่ยปากออกมาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าพวกเขาทั้งสองหย่ากันแล้ว
ยังดีที่ลู่เหวยไม่ได้มีนิสัยพูดซ้ำเติมคนอื่น เห็นได้ชัดว่าเขาดูออกว่าฉินซีกำลังตบตา เขาจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจในเจตนาของเธอ ไม่ได้พูดจี้จุดอะไรออกมา “งั้นหรอกหรือ”
ฉินซีรับรู้ได้แค่ความร้อนหวือๆบริเวณข้างหู จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คุณลุงมาหาลู่เซิ่นเหรอคะ?”
ลู่เหวยพยักหน้า “เขาไม่ยอมกลับบ้านนานแล้ว ถึงยังไงเขาก็เพิ่งหย่า อารมณ์คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันเลยคิดว่ามาหาเขาเองดีกว่า”
แม้ว่าลู่เหวยไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ฉินซีก็พอจะฟังความหมายโดยนัยออก
ลู่เซิ่นอารมณ์ไม่ดี เลยไม่ได้กลับไปที่ตระกูลลู่นานแล้ว?
ฟังแล้วดูเหมือน กำลังจะบอกว่าสาเหตุมาจากเธอ?
เรื่องความรักที่เธอทิ้งไว้ข้างหลังตอนเธอตื่นขึ้นมาคราวนี้กลับย้อนเข้ามาในหัวของเธออีกครั้ง
ที่ลู่เซิ่นกับตระกูลลู่ผิดใจกัน เป็นเพราะวิธีที่คุณหญิงลู่บีบบังคับให้เธอหย่าจนทำให้เขาอึดอัด หรือเป็นเพราะตัวเธอ…..กันแน่?
ตอนนี้มีสองฝ่ายตีกันอยู่ในหัวของฉินซี จนเธอต้องห้ามมันเอาไว้
“แต่น่าเสียดาย” ฉินซีพูด “เมื่อวานเขาเพิ่งออกไปทำงานนอกสถานที่ ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ด้วยค่ะ”
แต่ลู่เหวยกลับส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ได้มาเจอหนูที่นี่แทน ก็ถือว่าไม่เสียเที่ยวล่ะนะ”
ในสายตาของฉินซีเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ลู่เหวยทำแค่ยิ้มออกมาอย่างไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ และไม่คิดจะอธิบายอะไรให้กระจ่าง
เขามาที่นี่ สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะลู่เซิ่นไม่ได้กลับไปที่บ้านนานแล้ว ยังมีอีกสาเหตุส่วนหนึ่ง……เขาจำรอยยิ้มที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้จากใบหน้าของลู่เซิ่นตอนที่ตัวเองถามเขาว่าจะหย่ากับฉินซีจริงๆใช่ไหม
ผ่านไปตั้งนาน สูหยิงก็ป่าวประกาศไปทั่วว่าลู่เซิ่นกลับมาโสดแล้ว ลู่เซิ่นรับรู้ทุกอย่าง แต่กลับไม่เคยออกมาปฏิเสธอะไร และฉินซีก็ยอมรับออกมาเองว่าหย่ากับลู่เซิ่นแล้ว
ลู่เหวยไม่เข้าใจว่าตกลงแล้วลู่เซิ่นคิดจะทำอะไรกันแน่ เขาไม่กล้าวางใจ จึงมาหาที่นี่ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป