บทที่ 933 อย่างหวุดหวิด
ชายหนุ่มหมายถึงตอนที่ฉินซีกลิ้งกับพื้นเมื่อกี้
จริงๆแล้วฉินซีเองก็แปลกใจกับตัวเองเหมือนกัน เมื่อครู่เธอหลบได้คล่องตัวมาก เหมือนร่างกายเคยผ่านการฝึกมาแล้วหลายร้อยรอบ ราวกับเป็นปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าช่วงนี้เรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเธอมีเยอะมาก ฉินซีเห็นมันครั้งแล้วครั้งเล่า จึงไม่ค่อยรู้สึกประหลาดใจเท่าไหร่แล้ว
ตอนนี้ในสถานการณ์แบบนี้ คงต้องจัดการกับคนตรงหน้าโดยด่วน
“คุณเป็นใคร?”
น้ำเสียงของฉินซีไม่ค่อยเป็นมิตรเสียเท่าไหร่
ชายหนุ่มหัวเราะเอื่อยๆออกมา “เมื่อกี้ผมช่วยคุณนะ ไม่ขอบคุณหน่อยเหรอ ไร้มารยาทเสียจริง”
ในห้องเปิดไฟเอาไว้ ฉินซีจึงสามารถมองเห็นใบหน้าค่าตาของผู้ชายตรงหน้าได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเธอจึงตกใจนิดหน่อย
เธออยู่กับลู่เซิ่นในทุกๆวัน คิดมาตลอดว่าไม่ว่าจะเจอผู้ชายหล่อแค่ไหน ตัวเธอก็คงมีภูมิต้านทานแล้ว แต่ว่าคนตรงหน้ากลับทำให้เธอตาพร่า
แม้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาดีซะจนทำให้ใครต่อใครที่ได้พบเจออยากจะลืมเลือน แต่รังสีของทั้งสองคนกลับต่างกันมาก
ลู่เซิ่นหล่อแบบสุขรุมนิ่งๆ ให้ความรู้สึกเย็นชาและห่างเหิน เหมือนรูปปั้นสลักหิน ใครๆต่างก็ไม่กล้าเข้าใกล้
แต่ว่าความหล่อของผู้ชายตรงหน้ากลับพกพาความสบายๆมาด้วย ราวกับเห็นทุกอย่างในสายตา แต่กลับไม่เก็บมาใส่ใจ
เมื่อเห็นว่าฉินซีไม่ตอบ เขาเองก็ไม่ได้หงุดหงิด พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาต่อว่า “บางทีคุณอาจจะรู้จักผมก็ได้นะ ผมชื่อหลินยี่” ฉินซีเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย
คิดไม่ถึงเลย……ว่าคนคนนี้จะคือหลินยี่ที่ลู่เซิ่นเคยเอ่ยถึง
เธอรู้สึกคุ้นๆกับชื่อนี้เป็นอย่างมาก ถึงขนาดเคยไปค้นหาข้อมูลของเขาในสายข่าว แต่เมื่อเขามายืนอยู่ต่อหน้าเธอ และเมื่อฉินซีมองหน้าของเขา ก็รู้สึกไม่คุ้นหน้าอยู่ดี
“ขอบคุณ”
ในเมื่อเป็นคนที่ลู่เซิ่นเคยพูดถึง ฉินซีก็ลดความระแวงลง แล้วเป็นฝ่ายผงกหัวทักทายอีกฝ่ายก่อน
หลินยี่กลับไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆขนาดนั้น พูดยั่วโมโหต่อว่า “ทำไม ถ้าไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ก็ไม่คิดจะขอบคุณเลยเหรอ?”
ฉินซีส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็ไม่รู้ว่าคุณมีเจตนายังไง เป็นใครก็ต้องกังวลอยู่แล้ว มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อหลินยี่เห็นว่าเธอยุไม่ขึ้น จึงรู้สึกหมดสนุก ในตอนที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ฉินซีกลับพูดขอโทษออกมาเสียงเบา แล้วเดินไปรับโทรศัพท์อีกด้าน
“ฉินซี!” เสียงของอานหยันที่ดังขึ้นมาจากปลายสายดูร้อนรนเป็นอย่างมาก “ทำไมยังไม่ลงมา!”
ฉินซีอธิบายเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ให้เธอฟังอย่างรวดเร็ว “ฉันกำลังจะออกไป เฉินยี้ก็พาคนกลับมา ฉันเลยต้องหลบ จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา”
อานหยันยังไม่วางใจ “แล้วตอนนี้ปลอดภัยดีไหม?”
ฉินซีเงยหน้าขึ้นไปมองหลินยี่ทันที พยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหาอะไร”
“ดี” อานหยันไม่มีเวลามาอึกอัก พูดด้วยน้ำเสียงเร่งรีบว่า “ส่วนกล้องวงจรปิดทางนั้นจะพยายามเปลี่ยนกล้องส่วนที่เห็นคุณออกให้เร็วที่สุด ของที่อยู่ตรงทางเดินมีคนเก็บแทนคุณแล้ว ตอนนี้คุณลงลิฟต์มาที่ลานจอดรถได้เลย คนขับรถจะรอรับคุณอยู่ตรงมุมตะวันตกเฉียงใต้”
ฉินซีรับคำ จากนั้นก็วางสาย
“จะไปแล้วเหรอ?” หลินยี่ยืนพิงอยู่ที่ประตู เงยหน้าขึ้นมามองเธอ
ฉินซีพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
แม้ว่าความรู้สึกของฉินซีจะบอกว่าเขามาดี ทั้งยังเป็นคนที่ลู่เซิ่นไว้ใจ แต่ว่าเขาโผล่มาแบบบังเอิญมากเกินไป จนทำให้เธอเริ่มสงสัยว่าไม่หลินยี่ก็ลู่เซิ่นอาจจะรู้แผนของหน่วยข่าวตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว
ความเป็นไปได้นี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นสัญชาตญาณจึงต่อต้านหลินยี่อยู่นิดหน่อยๆ
“เอาล่ะ ผมดูให้แล้ว คนข้างนอกไปแล้ว ตอนนี้คุณออกไปเถอะ ไม่มีอันตรายอะไรแล้วล่ะ” หลินยี่ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกลับท่าทางหวาดระแวงที่ฉินซีมีต่อเขา ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ
ฉินซีไม่มีเวลามาค้นหาคำตอบว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าเธอกำลังหลบคนข้างนอก ในเวลาคับขันแบบนี้ เธอทำได้แค่พยักหน้าให้หลินยี่อย่างรีบๆ จากนั้นก็เปิดประตูเดินออกไป
……
ฉินซีลงลิฟต์มายังชั้นใต้ดินตามที่อานหยันบอก
ระหว่างทางมีคนเข้ามาในลิฟต์อยู่สองสามคน แต่ไม่ได้สนใจฉินซีเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่แล้วมัวแต่คุยกันเอง ก่อนจะลงถึงชั้นใต้ดินคนพวกนั้นก็เดินออกไป
เมื่อมาถึงลานจอดรถก็หารถที่จะมารับเธอเจออย่างรวดเร็ว ฉินซีไม่อยากเสียเวลา เมื่อเปิดประตูขึ้นรถก็ปิดประตูลงทันที
คนขับรถเหยียบคันเร่ง พร้อมกับบังคับพวงมาลัยรถ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นมา จากนั้นก็ออกตัวมุ่งไปข้างหน้า
ฉินซีมองโรงแรมที่ค่อยๆไกลจากตัวเองขึ้นเรื่อยๆผ่านกระจกหลัง อารมณ์ก็ค่อยๆผ่อนคลายลง
นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะทำภารกิจนี้สำเร็จได้อย่างหวุดหวิด
คนขับรถไม่ได้กลับไปที่รีสอร์ทชิงหยวน แต่ขับมาจอดที่หน้าประตูทางเข้าบ้านของอานหยัน
ภารกิจในครั้งนี้อานหยันไม่ได้เข้าร่วมโดยตรง ตลอดกระบวนการเธอคอยออกคำสั่งอยู่ที่บ้าน
เธอมายืนรอตรงประตูอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถ ก็เดินเข้าไปหาแล้วเปิดประตูรถออก “ฉินซี คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ฉินซียิ้มให้เธอ “ก็บอกแล้วไม่เป็นอะไร”
อานหยันดึงเธอออกมา แล้วมองสำรวจเธอให้ละเอียด เมื่อแน่ใจแล้วว่าภายนอกเธอไม่มีความผิดปกติใดๆ ถึงได้เดินไปออกคำสั่งกับคนขับรถเสียงต่ำอยู่สองสามคำ
เมื่อคนขับรถขับออกไป อานหยันก็พาฉินซีเดินเข้ามาในบ้าน
“พูดมา เกิดอะไรขึ้น ฉันเห็นทุกอย่างในกล้องวงจรปิดหมดแล้ว” อานหยันจ้องตาฉินซีเขม็ง ราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่างจากสีหน้าของเธอ
ฉินซีเองก็ไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว จึงนำเรื่องราวทั้งหมดมาพูดซ้ำอีกรอบอย่างไม่มีตกหล่น
ในตอนที่พูดถึงหลินยี่ เธอยังตั้งใจสังเกตสีหน้าของอานหยันเป็นพิเศษ และผลที่ได้คืออานหยันนิ่งมากๆ ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับชื่อนี้เลย
หรือว่าอานหยันก็ไม่รู้จักเขา?
ฉินซีสงสัยอยู่ในใจ
เมื่ออานหยันได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นมานิดๆ “ทำไมบังเอิญขนาดนี้? ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่นให้คุณไปหาหลินยี่ แล้วเขาก็มาโผล่ที่ชั้นสิบพอดี เขารู้ได้ไงว่าคุณอยู่ที่ไหน แล้วรู้ได้ยังไงว่าคุณจะเจอเฉินยี้ที่นั่น?”
นี่ก็เป็นจุดที่ฉินซีเองก็ข้องใจเหมือนกัน เธอส่ายหัว “ถึงฉันจะไม่เคยพูดเรื่องนี้กับลู่เซิ่น แต่ถ้าดูจากความสามารถของลู่เซิ่นแล้ว เขาก็น่าจะสืบจนรู้ว่าฉันทำอะไรอยู่ เลยให้หลินยี่ไปรออยู่ที่นั่นล่วงหน้า ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ แต่ว่าต่อให้เขาไปถึงที่นั่นก่อน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ล่วงหน้าว่าฉันกำลังเจอปัญหาอยู่ตรงนั้น”
ทั้งสองคนหาคำตอบไม่ได้ จึงมองหน้ากันไปมา จากนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบ
สุดท้ายก็เป็นอานหยันเอ่ยปากทำลายความเงียบ “ไม่ว่าจะยังไง สุดท้ายเขาก็ช่วยคุณเอาไว้ ถ้าเขาเป็นคนของลู่เซิ่นจริงๆ ก็ไม่น่าจะมีเจตนาอื่นแอบแฝง ฉันจะรายงานกับเบื้องบนให้พวกเขาจับตามองเอาไว้ก็แล้วกัน คุณก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป เมื่อกี้พวกเขาติดต่อมา บอกว่าลบภาพในกล้องวงจรปิดที่มีคุณบนชั้นนั้นหมดแล้ว ถ้าดูจากภาพในกล้อง ก็จะเห็นแค่ตอนคุณคุยโทรศัพท์อยู่ที่เคาน์เตอร์ แล้วก็ตอนลงลิฟต์มาที่ชั้นใต้ดิน”
นั่นหมายความว่า เมื่อเฉินยี้เกิดสงสัย แล้วกลับไปดูภาพที่บันทึกไว้ในกล้อง ก็จะไม่เห็นหน้าของเธอ
ภาพจำของเธอในกล้องวงจรปิดและในสายตาของคนอื่นๆในวันนี้ ก็แค่คนที่คิดจะมาจับชู้แต่ทำไม่สำเร็จก็เท่านั้น
“เอาเป็นว่า ยินดีด้วยนะที่ทำภารกิจสำเร็จ” อานหยันพูดประโยคสุดท้ายจบ ก็อ้าแขนให้ฉินซี
ฉินซียิ้มให้เธอ แล้วตรงเข้าไปกอดเธอเบาๆ
ในใจรู้สึกผ่อนคลายอย่างพูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้