บทที่ 931 ไม่ได้เรื่องจริงๆ
เสิ่นโหลวมาที่นี่อยู่หลายครั้ง ทั้งยังมากับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า จนบริกรต่างก็คุ้นหน้าเขาไปเสียแล้ว เพราะฉะนั้นมองแค่แว็บแรกบริกรก็จำเขาได้แล้ว
เขาไม่ได้โสดนี่นา…..
แต่เมียหลวงเขาก็สวยขนาดนี้ เสิ่นโหลวยังคิดนอกใจอีกเหรอ
ผู้ชายคนนี้ ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ!
ได้มาเห็นเรื่องน่าเม้าท์แบบนี้ เขาตื่นเต้นสุดๆ เสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปด้วย แต่เขากะเอาไว้แล้วว่าจะเอากลับไปเม้าท์กับพวกเพื่อนๆ
ฉินซีคำนวณเวลาได้พอดี เมื่อเธอเดินไปถึงหน้าลิฟต์ เสิ่นโหลวก็ขึ้นลิฟต์ตัวนั้นไปก่อนแล้ว
เธอหันหน้าแล้วเดินไปหาพนักงานเคาน์เตอร์ แล้วถามด้วยน้ำเสียงร้ายๆว่า “คนเมื่อกี้จองห้องชั้นไหนไว้?”
พนักงานสะดุ้ง ส่ายหน้ารัวๆ “ขอโทษค่ะ ฉันบอกไม่ได้…..”
ฉินซีพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมจะบอกไม่ได้!”
พนักงานทำได้แค่พูดขอโทษรัวๆ ให้ตายยังไงก็หลุดปากพูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด
ฉินซีทำเป็นหอบหายใจด้วยความโกรธและร้อนใจ เดินถอยหลังออกมาไม่กี่ก้าว แล้วล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมา
ลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมามีไม่ค่อยเยอะ แต่พอเห็นท่าทางของเธอ ทุกคนก็ต่างมองมาที่เธอด้วยความสงสัย
นี่เป็นหนึ่งในแผนของฉินซีและอานหยัน ฉินซีตามเข้ามาในโรงแรมโดยใช้ข้ออ้างว่าจะมาจับชู้ มันไม่ใช่แผนแปลกใหม่อะไรหรอก ใช้วิธีนี้เพื่อให้คนอื่นเกิดภาพจำนิดๆหน่อยๆ แต่ก็ไม่ถึงกับให้สะดุดตามากเกินไป ทั้งยังช่วยปกปิดตัวตนของเธอได้ด้วย
ยังไงซะเสิ่นโหลวก็มีชู้ตั้งมากมาย มากถึงขนาดที่บางทีตัวเขาเองอาจจำชู้แต่ละคนไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าเรื่องทุกอย่างจบลงแล้วคนของบริษัทจ้าวซื่อเกิดสงสัยอยากตรวจสอบ ก็คงตรวจสอบไม่ได้ง่ายๆ
อีกอย่างเธอยังจงใจใช้ผมอำพรางใบหน้าครึ่งหนึ่งของตัวเองไว้ กล้องวงจรปิดไม่มีทางจับหน้าเต็มๆของเธอได้
“เขาขึ้นไปแล้ว! พนักงานไม่ยอมบอกว่าเขาขึ้นไปชั้นไหน เขาเดินเข้าไปเอง! ชู้ก็น่าจะรออยู่ในโรงแรมนี่แหละ!”
เธอใช้มือกุมหูฟังพร้อมกับพูดกระซิบกระซาบ คนรอบๆไม่ได้สนใจเธอแล้ว ค่อยๆสลายตัวกันออกไปช้าๆ
คนในสายไม่ใช่ใครคนอื่น แต่เป็นอานหยัน
ฉินซีเล่นละครคนเดียวไปพลาง ใช้หางตาสังเกตรอบๆไปพลาง
จนเมื่อเธอรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปแล้ว และก่อนที่คนข้างๆจะสงสัย ประตูหมุนอัตโนมัติก็ถูกผลักเข้ามา
เป้าหมายของเธอ ในที่สุดก็ปรากฏตัว
ข้างหลังเฉินยี้มีบอดี้การ์ดเดินตามอยู่สองคน รูปร่างใหญ่เทียบเท่าฉินซีสองคนรวมกัน
ดูท่าแล้วเฉินยี้จะเป็นที่ต้อนรับของที่นี่มากกว่าเสิ่นโหลว เมื่อพนักงานเคาน์เตอร์เห็นเขา ก็รีบลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็หยิบคีย์การ์ดห้องที่เตรียมพร้อมเอาไว้แล้วให้กับเขา
เมื่อตั้งใจฟังก็ได้ยินพนักงานพูดออกมาว่า “ห้องที่ชั้นสิบจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ” ฉินซีเก็บสายตากลับมา แล้ววางสายโทรศัพท์ จากนั้นก็เดินตรงไปยังลิฟต์
เธออาศัยจังหวะช่วงที่พนักงานย้ายความสนใจไปจากเธอ และในตอนที่เฉินยี้ไม่ทันได้สังเกตเห็น เดินขึ้นลิฟต์ไปก่อน
และลิฟต์ตัวซ้ายสุดก็มาหยุดที่ชั้นหนึ่งพอดี เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ฉินซีก็รีบเดินเข้าไป แล้วรีบกดปิดลิฟต์ด้วยความรวดเร็ว
ประตูลิฟต์ค่อยๆปิดเข้าหากันช้าๆ มันช้าจนฉินซีเห็นร่างของเฉินยี้และบอดี้การ์ดสองคนผ่านระหว่างช่องประตูลิฟท์เข้ามาใกล้เรื่อยๆ
แต่จริงๆแล้วขึ้นลิฟต์ด้วยกันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก เพียงแต่ว่า….ถ้าขึ้นไปยังชั้นเดียวกัน คงกลายเป็นจุดสังเกตของเฉินยี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าระวังตัวมากไป ก็ยิ่งกลายเป็นไม่ปลอดภัย
เมื่อเสียงฝีเท้าของทั้งสามเดินมาถึงหน้าประตู ช่องประตูลิฟต์ก็กำลังจะปิดเข้าหากัน
“นายครับ ทางนี้”
เสียงของบอดี้การ์ดดังขึ้นอยู่หน้าลิฟต์
หัวใจของฉินซีหล่นวูบ
“จะไปเบียดคนอื่นทำไม รอลิฟต์ตัวอื่นก็ได้!”
เสียงของเฉินยี้ดังขึ้นมาแว่วๆ เมื่อเสียงติ๊งดังขึ้นมา ประตูลิฟต์ก็ปิดลงสนิท
ฉินซีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
……
พนักงานเคาน์เตอร์ยื่นคีย์การ์ดให้กับเฉินยี้พร้อมกับมองซ้ายมองขวา จากนั้นก็พูดอย่างงงวยขึ้นมาว่า “แล้วเมียหลวงของคนนั้นล่ะ?”
เพื่อนร่วมงานส่ายหน้า “ไม่รู้สิ กลับไปแล้วเหรอ?”
พนักงานเบ้ปาก “คงไม่ใช่ว่าขึ้นไปข้างบนแล้วนะ?”
เพื่อนร่วมงานหัวเราะออกมา “ขึ้นไปแล้วยังไง เธอไม่รู้สักหน่อยว่าดาราคนนั้นอยู่ห้องไหน ไม่น่าจะก่อเรื่องอะไรได้หรอก”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา จากนั้นก็สลัดเรื่องนี้ทิ้งไม่ได้เก็บมาใส่ใจอีก
……
การรอลิฟต์เลื่อนขึ้นไปทีละชั้นๆเป็นอะไรที่ทรมานมาก
เพื่อความปลอดภัย เธอกดชั้นหกชั้นเจ็ดและชั้นสิบ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เฉินยี้เกิดความสงสัย
แต่มันก็เสี่ยงเหมือนกัน ฉินซีไม่อาจรับประกันได้เลยว่าลิฟต์ของเธอจะถึงชั้นสิบก่อนลิฟต์ของเฉินยี้ไหม
สถานการณ์แย่สุดคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เธอกับเฉินยี้ลงลิฟต์พร้อมกันหรอก แบบนั้นเธอคงทำได้แค่ดึงเสิ่นโหลวมาใช้ประโยชน์แล้ว
เธอและอานหยันรู้ตั้งแต่ตอนที่เตรียมวางแผนแล้ว ว่าเฉินยี้เป็นคนเจ้าเล่ห์และระแวงเก่งมากๆ ดังนั้นพวกเธอจึงต้องวางแผนให้รอบคอบมากกว่าเดิม ถึงจะทำให้เฉินยี้ไม่สงสัย
โชคดีที่พระเจ้าไม่ได้กลั่นแกล้งอะไรฉินซีนัก เพราะในตอนที่เธอเดินออกมาจากลิฟต์ ถึงได้พบว่าลิฟต์ตัวข้างๆเพิ่งถึงชั้นสาม
ฉินซีรู้ ประโยชน์ของเสิ่นโหลว มันจะสิ้นสุดลงที่นี่อย่างสมบูรณ์แบบ
สำหรับคนไม่เอาถ่านที่ใช้ชีวิตสนุกไปวันๆอย่างเขาแล้ว ฉินซีทำแบบนี้ ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ถึงเขาลงมาได้ยินที่คนพูด ก็คงแค่ยิ้มแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป
แบบนี้สำหรับฉินซี มันดีที่สุดแล้ว
ทางเดินมีกล้องวงจรปิด เธอจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาทำท่าคุยสายกับใครอยู่ จากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องในแผน
จากมุมของห้อง สามารถเก็บภาพเหตุการณ์ตรงบริเวณหน้าประตูห้องที่เฉินยี้จะเข้าไปได้ก็จริง
ทว่าเฉินยี้ฉลาดเลือกห้อง เพราะตรงนั้นเป็นมุมอับจากกล้องวงจรปิดตรงทางเดิน จึงไม่สามารถถ่ายภาพใบหน้าคนที่กำลังจะเข้าไปในห้องได้อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นเธอเลยต้องเสี่ยงออกมาถ่ายเองแบบนี้ไง
ฉินซีเสียบการ์ดเปิดประตู เมื่อหางตาเหลือบมองซ้ายขวาแล้วไม่เห็นใคร จึงเดินเข้าไปข้างใน
เมื่อเธอมองหามุมพอเหมาะพอเจาะในห้องตามภาพในหัวเจอ ก็นำเอากล้องรูเข็มไปวางไว้ตรงนั้น
เธอต้องรออยู่ที่นี่จนกว่าพวกเฉินยี้จะออกมา จากนั้นก็นำเอาวิดีโอจากกล้องตรงทางเดินก่อนหน้านี้กลับไปด้วย
ส่วนกล้องตัวที่ติดตั้งไว้ในห้อง อานหยันบอกแค่ว่าจะให้คนอื่นจัดการ ฉินซีจึงไม่ได้ถามอะไรอีก
ตามที่อานหยันพูดมา พวกเขาทำงานเป็นสายลับ ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันเสียเท่าไหร่ แม้ว่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนในสายข่าวไหน
คนอย่างพวกเขาทำงานร่วมกันได้ ไม่ใช่ว่าจะเห็นได้ง่ายๆ
เมื่อฉินซีตั้งกล้องเสร็จ ก็มายืนอยู่ข้างๆประตูอย่างระวังตัว เฝ้ารอความเคลื่อนไหวของเฉินยี้ในห้องตรงข้าม
ทางเดินมีพรมหนาปูยาวตลอดทาง จึงเก็บเสียงคนเดินได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีประตูกั้น ฉินซีจึงทำได้แค่ใช้สมาธิที่มีทั้งหมดพยายามจับเสียง ไม่กี่นาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงเปิดประตูพอรางๆ
ฉินซีเกาะติดตาแมวตรงประตูแล้วเริ่มมองทุกอย่างให้ถี่ถ้วน
“มีคนลงทุกชั้นเลย ผิดปกติมาก” เสียงของเฉินยี้ดังขึ้นมาแว่วๆ “เสียเวลาอยู่ตั้งนาน”
“คนฝั่งนั้นยังไม่มาครับ” เป็นเสียงของบอดี้การ์ดดังขึ้นมา
“อืม เข้าไปก่อนแล้วกัน”
เฉินยี้พยักพเยิดหน้าให้บอดี้การ์ด แต่จู่ๆบอดี้การ์ดกลับหมุนตัว แล้วเดินมาทางห้องที่ฉินซีอยู่
ห่างกันแค่ตาแมวกั้น ฉินซีแทบจะสบตาตรงๆกับบอดี้การ์ดคนนั้น
แผ่นหลังของเธอเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมาช้าๆ
ทำไมบอดี้การ์ดถึง…..เขารู้เหรอ?