บทที่ 930 โชคดีมากพอแล้ว
ฉินซึ่งเทียนเป็นคนที่หน้าไหว้หลังหลอกอย่างถึงที่สุด หลังจากที่เขาหย่ากับเหยาหมิ่นแล้ว เขาก็ไม่ได้ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ ทั้งยังแอบส่งเรื่องของเหยาหมิ่นไปให้หนังสือพิมพ์ขนาดเล็ก
ในตอนนั้นฉินซีเลือกที่จะยืนอยู่ข้างเหยาหมิ่น ฉินซึ่งเทียนจึงไม่เหลือความรักความผูกพันใด ๆ บนหนังสือพิมพ์ยังเขียนเอาไว้ว่าเขาสงสัยว่าฉินซีไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเอง ทั้งยังไม่ยอมล้างมลทินให้เธอ ตอนที่ใครหลายคนถามถึงเรื่องนี้ เขาก็เพียงทำหน้ามืดครึ้ม แต่กลับไม่ได้พูดอธิบายอะไรออกมา
ในสายตาของคนรอบข้าง การที่เขาแสดงออกแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ความอับอายจึงกลายเป็นความโมโห
ข่าวลือเกี่ยวกับฉินซีมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนของเธอก็ค่อย ๆ ตีตัวออกหาก
พวกเขาล้วนเป็นชนรุ่นหลังของตระกูลชั้นสูง ไม่สามารถคบหากับลูกนอกสมรสได้
บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า ยามตกทุกข์ได้ยากก็จะได้เห็นน้ำใจที่แท้จริงของคน
มีเพียงอานหยันแค่คนเดียวที่ยังคอยอยู่เคียงข้างฉินซี เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่คอยเข้าใจ คอยสนับสนุน และให้อภัยเธอ
บางทีอาจจะเป็นเพราะโคมไฟที่อยู่ข้างหลังส่องประกายอบอุ่น ก่อให้เกิดแสงอันนุ่มนวลยามราตรี ฉินซีจึงรู้สึกได้ว่าลู่เซิ่นกำลังจ้องมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารและอ่อนโยน
“แต่ไม่ต้องสงสารฉันหรอกนะคะ” ฉินซียกยิ้มเบา ๆ “สำหรับฉัน การได้มีเพื่อนแท้อยู่ข้างกายแค่สักคน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมากพอแล้ว”
ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไป แล้วกุมมือเธอเอาไว้
มือของฉินซีค่อนข้างเย็น ทว่าอุณหภูมิร่างกายของลู่เซิ่นกลับอบอุ่นเป็นอย่างมาก
…
เช้าวันรุ่งขึ้นลู่เซิ่นยังคงตื่นขึ้นมาตรงเวลาตามตารางการทำงานและการพักผ่อน
วันนี้ฉินซีมีภารกิจจึงต้องทำ เธอจึงไม่ได้นอนต่อตามแบบวันปกติ ดังนั้นจึงลุกขึ้นมาพร้อมเขา
เธอได้พบกับสูหวั่นอีกครั้งที่ห้องอาหาร
พอคิดดูดี ๆ แล้ว เหมือนว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยได้เจอหน้าหลินหยัง
แต่ฉินซีก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่ ในเมื่อคุณหญิงลู่หมายมั่นแล้วว่าจะยัดคนเข้าไปอยู่ข้างกายลู่เซิ่นให้ได้ ต่อให้เป็นลู่เซิ่นเองก็คงยากที่จะปฏิเสธ
สูหวั่นยังคงยืนก้มหน้าอยู่ข้างกายลู่เซิ่นเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ กับฉินซีสักนิด
แน่นอนว่าฉินซีก็ไม่ได้สนใจเธอ เพียงนั่งลงแล้วจัดการอาหารเช้าของตัวเอง
เธอค่อย ๆ เคี้ยวแล้วกินเข้าไปอย่างช้า ๆ รอลู่เซิ่นออกไปได้สักพักก็รีบกินให้เสร็จ
“ตอนเที่ยงฉันมีงานต้องทำ คงไม่ได้กลับมากินข้าวนะคะ” ฉินซีกำชับพ่อบ้านด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนตามปกติ ราวกับว่าเธอกำลังออกไปทำงานธรรมดาทั่วไปจริง ๆ “เย็นนี้ก็ไม่แน่ว่าจะกลับมาไหม เพราะอย่างนั้นไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อฉัน”
แต่ไหนแต่ไรมาพ่อบ้านก็ไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของเธอมากมาย เขาเพียงพยักหน้ารับคำ ฉินซีจึงหมุนตัวกลับขึ้นไปข้างบน เดินเข้าไปในห้องมืด
เธอจำสิ่งที่ควรจำไว้ได้หมดแล้ว การที่มาตอนนี้ก็เพียงเพื่อทำจิตใจให้สบาย
…
ตอนที่ออกมาจากตระกูลลู่ ฉินซีก็แต่งตัวตามปกติ เพียงแต่ดูประณีตงดงามมากกว่าเดิมนิดหน่อย
ชุดสูทของชาแนลเข้าคู่กับรองเท้าส้นเตี้ย ผมแต่ละเส้นถูกหวีอย่างระมัดระวัง บนใบหน้าตกแต่งด้วยเครื่องสำอางดูสวยงาม สะพายกระเป๋าหนังจระเข้
ใครก็คงคิดไม่ถึงว่าข้างในกระเป๋านี้จะไม่ใช่เครื่องสำอาง แต่เป็นกล้องSLR
นี่เป็นหนึ่งในแผนการที่เธอเคยปรึกษากับอานหยัน
โรงแรมแห่งนี้มีทางเข้าออกอยู่เพียงไม่กี่ทาง ถ้าฉินซีมัวแต่หลบ ๆ ซ่อน ๆ ก็จะทำให้คนสงสัยเอาได้ ไม่สู้เดินเข้าไปอย่างเปิดเผย แกล้งทำเป็นคุณหนูผู้ร่ำรวยที่เข้าไปดื่มน้ำชายามบ่ายข้างในโรงแรม แบบนี้จะได้ไม่ดึงดูดความสนใจมากนัก
รถที่อานหยันเตรียมเอาไว้ให้จอดรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว คนขับรถเดินเข้ามาเปิดประตูให้เธอ จากนั้นก็สตาร์ทรถแล้วขับตรงไปที่โรงแรม
“คุณฉิน” คนขับรถก็เป็นคนที่รู้เรื่องข้างใน เขาพยายามพูดเสียงเบาอย่างสุดความสามารถ “รองเท้าของคุณสะดวกไหม”
ฉินซีมองรองเท้าของตัวเองที่มีส้นสูงไม่เกินห้าเซนติเมตรแล้วพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”
หากเปลี่ยนเป็นรองเท้าส้นแบน มันก็จะทำให้รูปแบบดูมีอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร
ถึงอย่างไรฉินซีก็เป็นคนที่ออกมาจากตระกูลฉิน เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้ ทุกคนต้องแต่งหน้าแต่งตัวอย่างดีจึงจะสามารถออกมาจากประตูบ้านได้ ไม่อย่างนั้นแล้วอาจจะก่อให้เกิดจุดด่างพร้อยเอาได้
เธอไม่ใช่คนที่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง เพียงแต่ครั้งนี้คนของอีกฝ่ายระวังตัวมาก ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถเผยพิรุธออกมาได้แม้แต่นิดเดียว
คนขับรถเห็นเธอมีท่าทีแน่วแน่ จึงไม่ได้ซักไซ้ไล่ถามเธอต่อ
ผ่านไปสักพักก็ขับมาถึงหน้าประตูโรงแรม
ในชั่วพริบตาที่ฉินซีลงมาจากรถแล้วหันไปมองที่ประตูใหญ่ของโรงแรม ทันใดนั้นภาพความทรงจำเก่า ๆ มากมายก็หลั่งไหลเข้ามาในสมอง
โรงแรมได้รับการปรับปรุงจริง ๆ ด้วย ครั้งก่อนที่เธอมาประตูใหญ่ไม่ได้เป็นแบบนี้
ตอนนั้นเธอเพิ่งย้ายไปอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวนไม่นาน ทุก ๆ วันเอาแต่วางแผนว่า ทำยังไงจึงจะสามารถสืบหาความจริงแล้วแก้แค้นให้เหยาหมิ่นได้ แน่นอนว่าเธอก็คิดถึงโรงแรมนี้
แต่เธอในตอนนั้นไม่เหมือนกับเธอในตอนนี้ ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นว่ากำลังรอใครบางคนอยู่ที่โถงรับแขกของโรงแรม แล้วคอยดึงตัวพนักงานเข้ามาถาม
การสืบหาแบบนั้นจะไปมีประสิทธิภาพอะไรได้ เธอมากี่ครั้งก็ไม่เคยได้อะไรกลับไปแม้แต่นิดเดียว
“อีกสักพักผมจะไปรอรับคุณที่ประตูฝั่งตะวันตกเฉียงใต้” เสียงของคนขับรถตัดบทการรำลึกความหลังของฉินซี เธอพยักหน้าให้เขา จัดชายเสื้อให้เรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปข้างใน
คนเฝ้าประตูโรงแรมมองสีหน้าคนเก่งเป็นที่สุด เขาเห็นฉินซีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ในมือยังถือกระเป๋าใบละหลายแสน รู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เจ้านายที่จะล่วงเกินได้ง่าย ๆ จึงเปิดประตูให้เธออย่างประจบสอพลอ
เข้าไปข้างใน ฉินซีก็ตรงไปที่ร้านอาหารโดยไม่แม้แต่จะเหล่มองไปทางอื่น เลือกเก้าอี้ใกล้กำแพงที่มีทัศนวิสัยเปิดกว้างแล้วนั่งลง
ตอนที่บริกรมารินน้ำให้เธอแล้วกำลังคิดจะถามขึ้นมาว่าเธอต้องการจะสั่งอะไร ก็เห็นเธอกดรับโทรศัพท์ด้วยความไม่พอใจ “คุณจะมาเมื่อไหร่กันแน่! เกือบจะพลาดโอกาสไปแล้ว ฉันอยากจะเห็นเขากับนางเมียน้อยนั่นด้วยตาของตัวเอง!”
เสียงจากปลายสายค่อนข้างที่จะไม่ค่อยชัดเจน เมื่อเห็นฉินซีขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อย ๆ บริกรจึงดึงสติกลับมาได้
สิ่งที่โรงแรมนี้ไม่เคยขาดไปเลยก็คือพล็อตดั้งเดิมอย่างการจับเมียน้อยหน้าประตูห้อง
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงตรงหน้าก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขาส่ายหน้า วางแผนเอาไว้ว่าอีกสักพักค่อยกลับมาถามก็แล้วกัน
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของบริกรเดินทางออกไปแล้ว ฉินซีก็กดเปิดวีแชท แล้วส่งข้อความง่าย ๆ ไปหาอานหยัน “มาถึงแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างปกติดี”
อานหยันตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่า “เยี่ยม” แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
ฉินซีนั่งหลังพิงเก้าอี้ด้วยหน้าตาบูดบึ้ง ทว่าสายตากลับมองไปยังคนที่กำลังเดินเข้า ๆ ออก ๆ อย่างระมัดระวัง
ทว่าการตรวจสอบอันยาวนานก่อนหน้านี้ไม่ได้เสียเปล่า เธอรอไม่นานก็เห็นเสิ่นโหลวเดินมาจากด้าน
เสิ่นโหลวสวมหน้ากากอนามัยกับแว่นตาสีดำ หมวกแก๊ปถูกกดลงมาต่ำมาก หากไม่ใช่ว่าในช่วงสองสามวันมานี้ฉินซีพยายามสร้างความคุ้นเคยกับภาพด้านหลังของเขา ต่อให้เขาจะปลอมตัวยังไง ก็สามารถมองออกได้ในทันที ไม่อย่างนั้นแล้วเป็นไปได้ว่าเธออาจมองข้ามคนคนนี้ไปจริง ๆ
เห็นได้ชัดว่าเสิ่นโหลวเป็นแขกประจำของที่นี่ เขาทักทายกับพนักงานต้อนรับ รับคีย์การ์ดห้องพักแล้วเดินเข้าไปในลิฟต์โดยไม่หยุดมากเกินความจำเป็น
ฉินซีเลือกตำแหน่งที่นั่งได้อย่างยอดเยี่ยม จึงสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของเสิ่นโหลวได้อย่างชัดเจน
มองไปที่ชั้นลิฟต์ที่เขากดค่อย ๆ เลื่อนต่ำลงทีละน้อย ตอนที่กำลังใกล้จะถึง ฉินซีก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นก็ตะโกนใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างโมโหว่า “คุณไม่ต้องมาแล้ว! ฉันเห็นเขาเข้าไปในขึ้นลิฟต์ไปแล้ว ฉันจะไปจัดการหญิงร้ายชายเลวคู่นั้นด้วยตัวเอง!”
บริกรที่อยู่อีกด้านหนึ่งที่กำลังจะถามเธอว่าเธอจะสั่งอะไร ก็ถูกท่าทางนี้ของเธอทำให้ตกใจจนชะงักไปกลางคัน มองฉินซีวางสายโทรศัพท์แล้วเดินไปที่ลิฟต์ด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดอย่างช็อก ๆ
บริกรห้ามความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ได้ เขาจึงมองไปทางลิฟต์แวบหนึ่ง ก็เห็นเสิ่นโหลวที่แต่งตัวเต็มยศเดินเข้าไปในลิฟต์เข้าพอดี
ที่แท้ก็เป็นเขา…