บทที่ 920 ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของคุณ
ถึงอย่างทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนกันมานานหลายปี ทว่าตอนที่มอบหมายงานชิ้นนี้ให้กลับปกปิดบางอย่างเอาไว้ พอได้ยินแบบนี้แล้วก็ทำให้รู้สึกขัด ๆ หู
แต่ฉินซีก็เข้าใจอานหยัน เธอจึงไม่ได้พูดอะไรที่เป็นการตำหนิออกมา เพียงแต่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นับได้ว่ายังไม่สายเกินไปที่จะบอกความจริงฉันตอนนี้”
อานหยันกุมมือเธอไว้ “ถ้าอย่างนั้นเธอเลือกที่จะอยู่ต่อไหม”
ฉินซีรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ฉัน…ยังมีสิทธิ์เลือกอีกอย่างนั้นเหรอ”
อานหยันพยักหน้าเบา ๆ “ก่อนหน้านี้ก็มีช่างภาพที่พอได้ยินเรื่องพวกนี้ก็เลือกที่จะจากไป ถึงยังไงงานข่าวกรองก็ไม่ได้เป็นงานที่อันตรายอะไรนัก เพียงแต่บางคน…ก็แค่ไม่ค่อยสนใจในด้านนี้ ดังนั้นหากตอนนี้เธอคิดที่จะปฏิเสธ ก็ยังสามารถได้รับการยอมรับ”
ฉินซีส่ายหัวอย่างเด็ดขาด“ ฉันเลือกที่จะทำต่อ”
อานหยันมองลึกเข้าไปในตาของเธอ ทันใดนั้นก็ถามขึ้นมาว่า “ทำไมล่ะ”
ฉินซีเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ถ้าฉันได้เป็นคนของหน่วยข่าวกรอง มีความเป็นไปได้ไหมที่จะสามารถใช้ข้อมูลของหน่วยข่าวกรองเพื่อสืบหาความจริงเรื่องที่แม่ของฉันถูกใส่ร้ายได้”
คราวนี้เปลี่ยนเป็นอานหยันที่เป็นฝ่ายนิ่งเงียบไป
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็พยักหน้าเบา ๆ “ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้จะไม่มาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
ฉินซีรู้ดีว่าการที่เธอออกมาจากตระกูลฉิน แล้วยังต้องแบกหนี้สินเอาไว้มากมายแบบนี้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภายนอก ก็คงเป็นเรื่องยากจนเกินไปที่จะสืบหาข้อเท็จจริงทั้งหมดด้วยตัวเอง
ทั้งอานหยันยังคว้าโอกาสนี้มาประเคนให้เธอถึงมือ เธอจะพลาดมันไปได้อย่างไร
เธอใช้เวลาข้างในห้องมืดอยู่พักหนึ่ง หลังจากที่จัดเตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้วก็ไม่ได้รีบออกไปทันที แต่นั่งลงแล้วใช้หลังพิงกำแพง
เธอต้องการเวลาสงบจิตใจสักหน่อย
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเธอช่วยอานหยันทำภารกิจไปไม่น้อย นับได้ว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของหน่วยข่าวกรอง ความปลอดภัยของภารกิจที่ได้รับนั้นสูงมาก แทบไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการรักษาความลับเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้ติดต่อกับเครือข่ายของหน่วยข่าวกรอง เพื่อใช้มันตรวจสอบและลบล้างความผิดให้แม่ของเธอได้
จะพูดว่าไม่เสียดายเลยสักนิดก็คงเป็นไปไม่ได้
แต่ครั้งนี้ในที่สุดโอกาสก็มาถึง
เธอจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าโอกาสที่ได้รับมาอย่างยากลำบากนี้จะไม่สูญเปล่า
ข้างในห้องมืดไม่มีรูปภาพอยู่เลย มีเพียงแสงสีแดงสลัวจากโคมไฟ ฉินซีพิงกำแพงพลางขบคิด ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งอยู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
คนที่โทรมาก็คือพ่อบ้าน
“คุณนาย เย็นวันนี้คุณจะรับอาหารที่บ้านหรือเปล่า”
ฉินซีตกใจทันทีที่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นแล้ว เดาว่าพ่อบ้านเห็นเธอกลับมาแล้วแต่ว่าดันหาตัวเธอไม่เจอ ก็เลยตั้งใจโทรศัพท์มา
ฉินซีลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ฉันจะทานที่บ้านค่ะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
แต่พอเธอเดินมาถึงห้องอาหาร ก็พบว่าลู่เซิ่นกลับมาแล้ว
พอเห็นว่าฉินซีหยุดเท้า ลู่เซิ่นก็เงยหน้ามอง แล้วพูดด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า “นั่งลง”
ฉินซีเดินต่ออีกไม่กี่ก้าวก็ถึงที่นั่งของตัวเอง ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงอะไรบางอย่างที่เกือบจะลืมไปแล้วได้ ลู่เซิ่นส่งคนไปติดตามเธอ
แรงกระแทกที่เธอสามารถเข้าไปสืบหาความจริงในโรงแรมมีนั้นมากจนเกินไป เธอจึงโยนเรื่องนี้ออกจากสมองไปชั่วขณะ
เธอพบว่ามีเปลวไฟเล็ก ๆ พ่นออกมาจากหัวใจตอนที่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกติดตาม ดังนั้นเธอจึงถามตรง ๆ อย่างไม่พิรี้พิไร “คุณส่งคนไปติดตามฉันอย่างนั้นเหรอคะ”
ลู่เซิ่นได้รับรายงานที่ว่าฉินซีพบร่องรอยของพวกเขาจากพวกบอดี้การ์ดนานแล้ว ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ยังพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่”
ฉินซีไม่คิดเลยว่าเขาจะยอมรับง่าย ๆ แบบนี้ บนหน้าไม่มีความสำนึกเสียใจสักนิด จึงอดไม่ได้ที่จะพูดเสียงดังว่า “ทำไมคุณถึงต้องส่งคนไปคอยตามฉันด้วย”
“เธอเป็นภรรยาของฉัน” ลู่เซิ่นวางตะเกียบลง สีหน้าของเขาค่อนข้างที่จะเย็นเยียบ “ฉันมีหน้าที่ต้องปกป้องเธอ”
ฉินซียิ้มเยาะ “ฉันไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของคุณ ฉันต้องการความเป็นส่วนตัวของตัวเอง”
ลู่เซิ่นเม้มริมฝีปาก คล้ายกับกำลังพยายามระงับโทสะของตัวเองอยู่ “เธอเพิ่งถูกทำร้ายมา ฉันก็แค่อยากให้เธอปลอดภัย”
ฉินซีหรี่ตาลงแล้วกล่าวว่า “ฉันซาบซึ้งในความกรุณาของคุณ แต่…รบกวนว่าหากครั้งต่อไปคุณคิดจะทำเรื่องแบบนี้อีกอย่างน้อยก็บอกฉันก่อน ไม่มีใครที่อยากจะให้ตัวเองถูกติดตามโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงหรอกนะ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว สีหน้าดำมืด “ นี่เธอกำลังต่อว่าฉันอย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีเห็นเขามีสีหน้าไม่พอใจ ก็รู้ได้ทันทีว่าลู่เซิ่นไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงโกรธ ที่แท้คนที่เติบโตมาในตระกูลลู่ คิดอยากทำอะไรก็ทำตามใจตัวเอง เคยลองคำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นบ้างหรือเปล่า
ในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็อย่าเสียเวลาต่อไปจะดีกว่า
ฉินซีส่ายหน้า “เปล่าค่ะ กินข้าวกันเถอะ”
พูดจบก็ไม่ได้หันไปมองลู่เซิ่นอีก เอาแต่ก้มหน้ากินข้าวอย่างตั้งใจ
คำพูดของลู่เซิ่นถูกทำให้ติดอยู่ในลำคอ เขาพยายามอดกลั้นอยู่นาน ก่อนจะแค่นเสียงหึหนัก ๆ แล้วจับตะเกียบกินข้าวต่อ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเย็นขึ้น แต่ฉินซีไม่สนใจ
งานแรกของเธอตอนนี้คือการตรวจสอบ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ล้วนถูกจับไปไว้ข้าง ๆ ดังนั้นเรื่องที่ลู่เซิ่นจะโมโหอยู่หรือไม่นั้น สำหรับเธอแล้วตอนนี้ไม่ได้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ดังนั้นเธอจึงรีบทานอาหารให้เสร็จและกลับไปที่ห้องมืด
กว่าเธอจะทำทุกอย่างเสร็จก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว
ยกมือขึ้นบิดขี้เกียจพลางเดินเข้าไปในห้องนอน ทันทีที่เปิดประตู ก็ปะทะเข้ากับลู่เซิ่น
ความจริงแล้วฉินซีไม่ได้เอาเรื่องที่ทะเลาะกับลู่เซิ่นมาใส่ใจเลยสักนิด แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของเขาแล้ว เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเหมือนพวกเราจะกำลังทะเลาะกันอยู่
ดังนั้นเธอจึงลดการแสดงสีหน้า เดินไปอีกด้าน เตรียมตัวจะเข้าไปในห้องน้ำ
ทว่าลู่เซิ่นกลับขวางเธอเอาไว้
ฉินซีก้มหน้า พบว่าเขาถือนามบัตรใบหนึ่งเอาไว้ในมือ
“อะไรคะ”
เธอหันไปถามลู่เซิ่น
น้ำเสียงของลู่เซิ่นยังคงแข็งกร้าว “ถ้าเธอมีเรื่องเร่งด่วนแล้วติดต่อฉันไม่ได้ก็ให้ไปหาเขา เขาเป็นพี่น้องที่สนิทที่สุดของฉัน”
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็รับนามบัตรมาจากเขา
นามบัตรใบนี้เรียบง่ายมาก ข้างบนมีตัวอักษรสองตัวเขียนเอาไว้ว่า “หลินยี่” แล้วก็ตามด้วยเบอร์โทรศัพท์
ฉินซีค่อนข้างที่จะสับสน “แล้วทำไมฉันจะต้องไปหาเขาละคะ”
ลู่เซิ่นอ้าปาก แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอธิบายยังไง
เขารู้ว่าอานหยันเป็นคนของหน่วยข่าวกรอง เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ฉินซีได้ช่วยอานหยันทำงานไปไม่น้อย
ดูจากสถานการณ์ที่พวกบอดี้การ์ดรายงานให้เขาฟังในวันนี้ อานหยันรีบเรียกตัวฉินซีออกไป ทั้งฉินซียังกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เป็นไปได้มากว่าจะต้องเป็นเพราะมี ‘ภารกิจ’ แล้วแน่ ๆ
การทำงานกับหน่วยข่าวกรองไม่มีความเสี่ยงเลยสักนิด ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่นมักจะรู้สึกว่าตัวเองสามารถที่จะปกป้องฉินซีได้ แต่หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลู่เซิ่นถึงได้ตระหนักว่าตัวเองอาจจะยังดูแลเธอได้ไม่ดีพอ จึงต้องให้เธอจำชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ของหลินยี่ไว้ จะได้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่หาคนมาช่วยเหลือไม่ได้
แต่ถ้าหากเขาอธิบายเรื่องนี้ออกมา เรื่องที่เขาแอบสืบเรื่องของฉินซีกับอานหยันจะต้องถูกฉินซีค้นพบอย่างแน่นอน
เขารู้ได้ทันทีว่าฉินซีจะต้องโกรธมากแน่ ๆ
ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพิ่มน้ำเสียงลงไป “เธอจำเอาไว้ก็พอ”
ฉินซีรู้สึกได้ราง ๆ มีบางอย่างผิดปกติ แต่วันนี้เธอกับเขาทะเลาะกันไปยกนึงแล้ว ลู่เซิ่นยอมพูดก่อน ก็นับได้ว่ายอมก้มหัวอ่อนข้อให้ก่อนแล้ว