บทที่ 891 ไม่ตายใจ
ผู้จัดการพูดไปแค่ครึ่งทาง หันหน้าไปมองฉินซีที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบเก็บคำพูดกลับไปทันที มองหน้าหซู่เป่ยอย่างระมัดระวัง “พวกคุณสองคนอยู่ที่นี่ตามลำพังทำอะไรกันอ่ะ”?
หซู่เป่ยยักไหล่ “จะทำอะไรได้หล่ะ?”
คำพูดของเขาคำนี้พูดจนทำให้คนเข้าใจความหมายผิดเพี้ยนไป สีหน้าของผู้จัดการเปลี่ยนไปทันที “หซู่เป่ย ปกตินายจะเล่นยังไงฉันไม่สน แต่ทำไมแม้แต่ตากล้องนายก็ยังไม่เว้น”
สายตาของผู้จัดการมองไปที่กล้องถ่ายรูปซึ่งอยู่ในมือของฉินซี สีหน้ายิ่งดูแย่ไปใหญ่ “พวกนายคงไม่ได้ถ่ายรูปอะไรอีกแล้วนะ? กล้องถ่ายรูปเอามา ฉันขอดูสิ”
เดิมทีหซู่เป่ยแค่ล้อเล่นกับผู้จัดการเฉยๆ แต่ว่าเขาจะเอากล้องถ่ายรูป รูปภาพที่ฉินซีถ่ายเมื่อสักครู่ก็อาจจะถูกพบเห็นสินะ
เห็นว่าเรื่องราวยุ่งยากและวุ่นวายซะแล้ว เขาเก็บสายตาที่ไม่เอาถ่านเข้าไป กดไหล่ของผู้จัดการเอาไว้ “ได้โปรด เหล่าเฉิน เวลาแค่นี้ผมจะทำอะไรได้? ผมแค่ออกมาสูบบุหรี่และพบปะกับเธอพอดีก็แค่นั้นเอง ผมรู้สึกว่าตากล้องคนนี้ถ่ายได้ดีมากเลยทีเดียว อยากนัดเธอเพื่อร่วมงานกันครั้งหน้า ทำไมคุณถึงคิดไม่ซื่อหล่ะฮ่ะ”
เดิมทีฉินซีฟังคำพูดของผู้จัดการ ก็ตื่นเต้นกับผลงานของตัวเองอยู่บ้าง แต่ว่ามองดูสีหน้าของหซู่เป่ยที่พูดจาเหลวไหลอย่างสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด สีหน้าก็เลยผ่อนคลายขึ้นมา พูดกับผู้จัดการด้วยตนเองว่า “ใช่แล้ว ฉันออกมาสูดอากาศ พบปะกับคุณหซู่โดยบังเอิญและพูดว่าครั้งหน้ามีโอกาสสามารถร่วมงานกันได้”
เห็นว่าสีหน้าของฉินซีและหซู่เป่ยต่างเปิดเผยมาก สายตาของผู้จัดการถึงแม้จะมีความสงสัยอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ไม่อยากถามอีกต่อไป ดึงกระชากหซู่เป่ย และลากเขาเข้าไป
ฉินซีตั้งใจสายสักพักแล้วค่อยเดินเข้าไปข้างใน หน้าจอมือถือสว่างแป๊บนึง ได้รับข้อความนึง
เธอเปิดออกมาดูปุ๊บ หซู่เป่ยเป็นคนส่งมาเอง “รูปถ่ายคุณเก็บไว้เอง อย่าเผยแพร่ออกไปอีกนะครับ”
ฉินซียิ้มแย้มเล็กน้อย ตอบสีหน้าที่พยักหน้ากลับไป
หซู่เป่ยแตกต่างจากหซู่หนานจริงๆ ตรงไปตรงมา แม้แต่ฉินซีอยู่กับเขา ก็ยังรู้สึกผ่อนคลายมาก ไม่เหมือนตอนที่เธอคบกับลู่เซิ่นและตอนที่อยู่ด้วยกัน ต้องเดาตลอดว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่……..
ฉินซีไม่รู้ตัวว่าอารมณ์ความคิดของตัวเองกลับมาที่ลู่เซิ่น ก้มหน้าเดินไปที่กองถ่าย ยังถูกอานหยันที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันทำให้ตื่นตัวอย่างตกใจ
“คุณไม่เป็นไรนะ?” สีหน้าอานหยันเต็มไปด้วยความเป็นห่วง” ออกไปกับหซู่เป่ยตั้งนาน ฉันกลัวว่าคุณจะถูกหซู่เป่ยสั่งสอน”
ฉินซีหัวเราะ และรีบส่ายหน้า “ไม่เป็นไร หซู่เป่ยเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว เราคุยกันถูกคอ”
อานหยันมองตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นว่าเธอไม่มีอะไรแปลกๆก็เลยสบายใจขึ้นมา
ฉินซีนึกถึงกล้องถ่ายรูปที่อยู่ในมือตัวเอง ผายมือให้กับอานหยัน “ฉันพกซิมส์บันทึกข้อมูลไปได้ไหม? “
อานหยันเชื่อใจฉินซีแน่นอนอยู่แล้ว ผู้จัดการของหซู่เป่ยได้เลือกรูปภาพที่ใช้การได้เรียบร้อยแล้ว รูปถ่ายที่เหลือก็ใช้การอะไรไม่ได้ เธอจึงพยักหน้าและรับปากไป
แต่ว่าเธอกำลังทำงานอยู่ ไม่มีเวลาคุยกับฉินซี ทั้งสองคนคุยกันแค่ไม่กี่คำ เธอก็ถูกเรียกตัวไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นฉินซียังไม่ทันได้พูดด้วยซ้ำว่าเรื่องที่ตัวเองได้ถ่ายรูปให้กับหซู่เป่ย
ฉินซีมองดูอานหยันที่งานยุ่งเหยิง ไม่ไปรบกวนเธออีก วางกล้องถ่ายรูปไว้ดีๆ หยิบซิมส์บันทึกข้อมูล จึงเดินออกไปที่ข้างนอก
เดิมทีเธอคิดว่าตัวเองคงต้องเสียแรงโบกรถซะแล้ว คิดไม่ถึงรถยนต์ของลู่เจิ้นจอดอยู่ข้างนอก คนขับรถยนต์ก็รออยู่ข้างๆ
“ทำไมนายยังอยู่?” ฉินซีแปลกใจเล็กน้อย
“ประธานลู่สั่งไว้ครับ ให้รับท่านกลับไป” คนขับรถก้มหน้า อย่างมีมารยาท
ฉินซีคิดถึงตอนที่เจอกับสีหน้าที่เย็นชาของลู่เซิ่นที่เมื่อหลายชั่วโมงก่อน จึงขมวดคิ้ว
ทางกลับที่รีสอร์ทชิงหยวนนับว่าไม่ใช่ใกล้ๆเลย ท้องฟ้าข้างนอกค่อยๆมืดมน ฉินซีเหนื่อยมาทั้งวัน พิงอยู่ที่เบาะหลัง มีความเห่าง่วงเกิดขึ้นมา
ขณะที่เธอเกือบจะหลับไปแล้วนั้น คนขับรถที่เป็นคนเงียบๆมาโดยตลอดได้เอ่ยปากขึ้นมาอย่างกะทันหัน น้ำเสียงฟังขึ้นไปมีความตื่นตระหนกเล็กน้อย “คุณนายครับ เหมือนมีคนกำลังตามหลังเราอยู่นะครับ”
ฉินซีลืมตาขึ้นมา สมองยังคงเบลอๆ ตอบไปคำนึง “มีคนสะกดรอยตาม?”
คนขับรถนั่งตัวตรง ดูขึ้นไปตื่นตระหนกเล็กน้อย “ท่านนั่งดีๆนะครับ ผมขอทดลองฝ่ายตรงข้ามดูซะหน่อย”
ฉินซีเพิ่งเอ่ยปากตอบไปว่า”ดี” รถยนต์ก็ได้วิ่งไปเร็วๆอย่างกะทันหันแล้ว ปากซอยถัดไปเลี้ยวเข้าไปเร็วๆ
ดีนะตอนที่ฉินซีขึ้นรถไปได้คาดเข็มขัดนิรภัยไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นคงกระเด็นออกไปแล้ว
เธอตกใจตะโกนไปนึงครั้ง ความเห่าง่วงก็ได้กระเด็นออกไปแล้วเช่นกัน
คนขับรถพูดอย่างเสียงเบา “ขอโทษด้วยนะครับ”
แต่ว่ามือทั้งคู่ของเขายังคงจับพวงมาลัยไว้อย่างแน่นหนา จ้องกระจกหลังหลายวินาที น้ำเสียงเข้มขรึมขึ้นมา “รถยนต์คันนั้นยังตามเราอยู่นะครับ”
ฉินซีเวียนหัวเหลือเกิน “ถ้าอย่างนั้นก็มั่นใจเลยว่าถูกสะกดรอยตามแล้ว?”
คนขับรถยนต์พยักหน้า
ฉินซีกลุ้มใจขึ้นมา “สะบัดออกไปได้ไหม?”
คนขับรถยนต์บ่นอยู่ในใจคนเดียวได้สักพัก “ผมเต็มที่แล้วกันนะครับ” เขาเพิ่งพูดจบ วินาทีต่อไปก็เล็งโอกาสดีๆเลี้ยวไปทางซ้ายอย่างกะทันหัน
ความเร็วรถยนต์รวดเร็วอย่างมาก ล้อยางของรถยนต์มีการเสียดสีจึงก่อให้เกิดเสียงที่แสบหูดังออกมา
ดีนะตอนที่ออกจากบ้านเมื่อคืนลู่เซิ่นได้เลือกรถยนต์RANGE ROVER ไม่อย่างนั้นรถยนต์โดยทั่วไปไม่สามารถทนทานขนาดนี้
ฉินซีถูกสะบัดไปมาจนเบลอๆ มันสมองเหลือสติแค่นิดเดียว
สะกดรอยตาม?
ใครกันนะมาสะกดรอยตามตัวเองอย่างกะทันหัน?
สมองของเธอนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนที่ตัวเองเคยผ่านมา แล้วก็นึกถึงคำพูดของหซู่หนานตอนที่ไปบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป
หรือว่าหซู่หนานยังไม่ตายใจ ตามรังควานตัวเองอยู่ใช่มั้ยเนี่ยะ?
เธอนึกย้อนกลับไป คนขับรถพบว่าตอนที่มีคนสะกดรอยตามอยู่นั้น สถานที่พวกเขาขับรถผ่าน เหมือนจะเป็นสถานที่ที่พบปะกับหซู่หนาน
เธอก็เลยจับราวจับไว้ เอ่ยปากอย่างยากลำบาก “รถยนต์ที่สะกดรอยตามคือรถยนต์Volkwagenสีดำใช่รึเปล่า? “
คนขับรถตั้งหน้าตั้งตาขับรถยนต์ หาเวลาว่างมองไปที่กระจกหลัง พยักหน้า “ใช่แล้วครับ”
ไฟโกรธแค้นของฉินซีลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เธอรู้สึกว่าตัวเองได้พูดคำพูดที่ควรจะพูดให้กับหซู่หนานไปอย่างชัดเจนแล้ว คิดไม่ถึงหซู่หนานเป็นคนที่ดื้อรั้นเช่นนี้
” จอดรถ” ฉินซีตะโกนออกมา
ในเมื่อเป็นหซู่หนานเอง ถ้าอย่างนั้นหนีไปก็ไร้ความหมาย ครั้งนี้เธอจะต้องทำให้หซู่หนานตื่นขึ้นมาสักที
คนขับรถอึ้ง “คุณนายครับ?”
ฉินซีหันหน้าไปดูข้างหลัง แต่ว่าฟ้ามืดมิด รถข้างหลังเปิดไฟสูง ทำให้เธอมองป้ายรถยนต์ได้ไม่ชัดเจน
เธอสะดุดอย่างกระทันหัน
Volkswagenสีดำ…….. ไม่ใช่รถยนต์พิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นมีอยู่เต็มถนนใหญ่ด้วยซ้ำ
ถ้าหากไม่ใช่หซู่หนานหล่ะ?
เธอไม่พูดจาอีก คนขับรถก็ตัดสินใจไม่ได้ ขับรถช้าๆหันหน้าไปมองเธอ “คุณนายครับ?”
ระยะห่างระหว่างรถยนต์ทั้งสองคันถือว่าไม่ไกลมากนัก เขาขับช้าๆ ทำให้ระยะห่างของรถยนต์คันหลังใกล้เข้ามาแล้ว
แต่ว่ารถยนต์คันนั้นไม่มีท่าทีลดความเร็วลง เหมือนจะชนเข้ามาทีเดียว
ระหว่างแสงไฟกระพริบ ฉินซีนึกถึงคำถามนึงขึ้นมาอย่างกะทันหัน
รถยนต์ที่เธอนั่งอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่คันที่ตัวเองขับอยู่เป็นประจำ เป็นไปไม่ได้ที่หซู่หนานเลือกสะกดรอยตามรถยนต์คันนี้
——ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า รถยนต์ที่สะกดรอยตามข้างหลัง ไม่ใช่หซู่หนาน
แผ่นหลังของเธอมีเหงื่อไหลออกมาเล็กน้อย รีบสั่งการอย่างด่วน “เร็ว รีบขับเร็วๆ”