บทที่ 886 ข้อตกลงของการต่อรอง
“ผมเชื่อว่าคุณน่าจะดูออก ความเห็นในการตรวจสอบนี้ไม่เต็มใจแค่ไหน ความจริงแล้วผู้รับผิดชอบของสำนักงานบัญชีนี้ไม่ได้ตั้งใจที่จะรับธุรกิจของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปในปีนี้ เป็นเพราะฉินซึ่งเทียนให้เงินเดือนสูงเลยรั้งเขาอยู่ไว้ แต่ในปีนี้ แต่หลังจากผลการตรวจสอบในปีนี้ได้ถูกเปิดโปง เป็นไปไม่ได้ที่สำนักงานนี้จะดำเนินการตรวจสอบให้เขาอีกต่อไป เพราะจะไม่มีใครยอมเอางานที่จะถูกปรับมาเสี่ยง”
ลู่เซิ่นพูดอย่างเรียบง่าย น้ำเสียงก็นิ่ง แต่ทุกคำที่พูดเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงไปในใจของฉินซี
เมื่อเธอยังเป็นเด็กเธอมักจะรู้สึกว่าพ่อของเธอเป็นบุคคลที่เก่งที่สุดในโลก ได้ยินคนรอบข้างพูดเกี่ยวกับบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมักจะรู้สึกว่าอนาคตของบริษัทนี้ไปได้ไกลแน่นอน เธอไม่เคยเข้ามาแทรกแซงธุรกิจของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมาก่อน และเธอไม่เคยคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะมาถึงจุดนี้
ฉินซีถือรายงานไว้ เงียบไป
ลู่เซิ่นลุกขึ้นมา เดินไปข้างๆฉินซี มือวางบนไหล่ของฉินซีเบาๆ “ฉินซี คุณคิดดูดีๆ ที่คุณจะกลับไปบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป เพื่ออะไรกันแน่”
ฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจพูดออกมา “ฉัน……อยากจะแก้แค้นให้แม่ของฉัน”
ลู่เซิ่นไม่ได้ถามเธอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแก้แค้น ถามเพียงแค่ว่า “คุณเคยคิดบ้างไหม ใช้วิธีไหนแก้แค้น?”
ฉินซีครุ่นคิดอีกครั้ง
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยคิด ในอดีตเธอแค่ต้องการค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่แม่เธอถูกใส่ร้าย ต่อมาหลังจากที่เธอรู้ข่าวว่าเธอสามารถสืบทอดหุ้น ก็เลยมีความคิดที่จะยึดบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ถ้าเจ้าสามารถแย่งบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปกลับมา และไล่ทั้ง ฉินซึ่งเทียนและ หลี่เหวยออกไปได้ ก็ถือว่าเป็นการปลอบประโลมดวงวิญญาณของแม่แบบหนึ่ง
แต่ในตอนนี้ เธอกลับลังเล
บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปในตอนนี้ เป็นแค่เปลือกเน่าเท่านั้น ฉินซีรู้ว่าตัวเองไม่ใช่อัจฉริยะในด้านธุรกิจ แม้ว่าจะสามารถควบคุมบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปได้จริง แต่อาจไม่สามารถจัดการธุรกิจนี้ได้ดี
ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปถือเป็นธุรกิจครึ่งครอบครัว แม้ว่าเธอจะใช้วิธีต่างๆเพื่อไล่ฉินซึ่งเทียนออกไป แต่เธอก็ต้องเผชิญกับการถูกญาติคนอื่นๆจากบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปและคณะกรรมการที่ทำให้ลำบากใจ
แล้ว……เธอยังจะแก้แค้นอย่างไรอีก?
ฉินซีรู้สึกสับสนในขณะนั้นทันที
ลู่เซิ่นกลับไม่พูดอะไร แค่ยืนอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ
เขารอไปสักพัก ฉินซีเงยหน้าขึ้นมามองเขาตามคาด “นายมีวิธี……อะไรบ้าง”
ลู่เซิ่นยักคิ้วแล้วถามกลับ “คุณว่าไงล่ะ?”
ฉินซีแบมือออกมา “ว่ามา ฉันต้องเอาอะไรมาแลก”
สีหน้าของลู่เซิ่นกลับดูไม่ดีนัก “แลก?”
ท่าทีของฉินซีค่อนชิลล์ “ใช่สิ นายให้ฉันขึ้นมาคุยในห้องทำงานของนาย เพื่อที่จะคุยเรื่องธุรกิจไม่ใช่เหรอ? นายคงไม่บอกข่าวทั้งนี้ให้ฉันเปล่าๆหรอกนะ นายอยากได้อะไรจากฉัน ก็แค่พูดตรงๆ พูดตรงๆก็ได้แล้ว “
สีหน้าของลู่เซิ่นยังคงดูไม่ดี จ้องฉินซีเอาไว้ แต่กลับไม่พูดอะไรเลย
ฉินซีถูกเขามองจนอึดอัดเล็กน้อย “ประธานลู่ สิ่งที่ฉันมีในตอนนี้ ไม่มีอะไรที่ฉันไม่สามารถให้คุณได้ นายก็ไม่ต้องจ้องฉันแบบนี้ก็ได้มั้ง?”
ลู่เซิ่นหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง “สิ่งที่คุณมี ให้ได้หมด?”
ฉินซีไม่ค่อยเข้าใจสีหน้าของเขา แต่ก็ยังพยักหน้า “แน่นอน”
ลู่เซิ่นทำท่าโบกมือ “งั้นผมเก็บคำพูดของคุณไม้แล้วกัน รอให้ผมอยากให้ทดแทน นายอยากลืมล่ะ”
ฉินซีรู้สึกไม่ดีขึ้นมา “ทำไมต้องเก็บไว้……”
“เพราะเอาตามที่ผมว่า” สีหน้าของลู่เซิ่นกลับก้าวร้าวขึ้นมา “ถ้าเป็นว่าเธอมีวิถีต่อผมไว้ ไม่ใช่ว่าให้ผมเปิดราคาเหรอ?”
ฉินซีเป็นคนต้องให้พูดจาเพราะๆถือจะยอม เมื่อเห็นสีหน้าของลู่เซิ่น สายตาก็แหลงคมขึ้นมา “ได้สิ ฉันจะจำสัญญาของฉันไว้ ถึงเวลานั้นประธานลู่แค่บอกมาก็พอ”
อารมณ์ของลู่เซิ่นดีขึ้น เขาพยักหน้า “ตกลง”
ฉินซีตอบตกลงอย่างเรียบง่าย แต่ในใจก็รู้สึกแปลกๆ
สำหรับลู่เซิ่นแล้ว เธอยังมีของที่พิเศษล้ำค่าอะไรอีก?
เอแต่งงานกับลู่เซิ่น สิ่งที่ควรจะเกิดก็เกิดแล้ว หุ้นส่วนของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปแค่นั้นในมือเธอก็ไม่ได้สะดุดตาลู่เซิ่น แล้วยังมีอะไรที่ลู่เซิ่นยังไม่ได้อีก
แต่สำหรับความคิดของลู่เซิ่นแล้วเธอตามไม่ทัน ดังนั้นเธอเลยไม่ไปคิดเรื่องนี้ดีกว่า
“ดังนั้นนายสามารถบอกฉันได้หรือยัง ว่าจะใช้วิธีไหนถึงจะแก้แค้นได้?”ฉินซีมองลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นกลับโบกมือ “ไม่รีบ ทานข้าวก่อน”
ราวกับว่าหลินหยังจะรู้เวลา เคาะประตูเข้ามา “ประธานลู่ คุณนายลู่ ไปทานข้าวได้แล้วครับ”
ฉินซีเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองมาหาที่ลู่เซิ่น เพื่อที่จะมาทานข้าวฟรี ทำไมจุๆกลายเป็นช่วงระหว่างข้อตกลงของการต่อรองไปเลยล่ะ?
เช้านี้เธอทานอาหารที่บ้านตระกูลลู่ได้ไม่เยอะ ตอนนี้ก็เริ่มหิวแล้ว
ถือว่าเธอยังเชื่อใจลู่เซิ่น ถ้าหากเขาสัญญากับเธอไว้ว่าจะบอกวิธีให้กับเธอ ก็คงไม่ผิดสัญญา
แต่ลู่เซิ่นกลับไม่ขยับ
เขาเอาเอกสารอีกฉบับวางไว้ตรงหน้าฉินซี “ฉะนั้นตอนนี้คุณจะเซ็นได้หรือยัง?”
ฉินซีก้มหน้ามอง เป็นข้อตกลงการโอนหุ้นของเขาให้เธอที่เขายื่นให้ในรถเมื่อเช้านี้
ในตอนเช้าเธอยังพูดอย่างชัดเจนว่าการเสนอราคาของลู่เซิ่นนั้นต่ำเกินไป แต่เมื่อเธอเห็นราคานั้น ฉินซีก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล
ดังนั้นเธอก็พยักหน้าอย่างเต็มใจ
คงเป็นเพราะลู่เซิ่นรู้ว่าฝ่ายบริหารของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปวุ่นวายไปหมด ดังนั้นเขาจึงรีบที่จะปล่อยหุ้นของเขา
แต่ในขณะที่ฉินซีเซ็นสัญญาก็มองไปที่เวลาซื้อหุ้นในเอกสาร แล้วรู้สึกสับสนอีกครั้ง
ทำไมถึงเป็นเวลาที่ซื้อครั้งสุดท้าย ล่าสุดนี้เหรอ?
แต่แค่เซ็นชื่อมันจะใช้เวลามากมายอะไรกัน เธอยังไม่ทันดูให้ชัดเจน เอกสารก็ถูกลู่เซิ่นเอาไปแล้ว “ปะ ไปกินข้าว”
ฉินซีชี้ที่เอกสาร “สัญญานี้ไม่ใช่สองชุดเหรอ?ฉันอยากเก็บไว้ชุดหนึ่ง”
ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไรมาก เอาอีกชุดยื่นไปให้เธอ
แต่ว่าฉินซียังไม่มีโอกาสที่จะอ่านเอกสารดีๆ เพราะหลินหยังมาเคาะประตูอีกแล้ว “ทางภัตตาคารบอกว่าสั่งอาหารไว้ก่อนได้ครับ ถ้าไปถึงก็ทานเลย”
ฉินซีรีบเบี่ยงเบนความสนใจ รีบเอาสัญญายัดเข้าไปในกระเป๋า แล้วหันหน้าไปมองหลินหยัง “ภัตตาคารไหน? อาหารแบบไหน?”
ลู่เซิ่นเดินตามหลังเธอ เดินออกจากห้องทำงานไปด้วยกัน
……
คงเป็นเพราะเหตุผลที่ต้องไปทำงานในช่วงเย็น ภัตตาคารอยู่ไม่ไกลจากบริษัทลู่ซื่อมากนัก ฉินซีได้ศึกษาเมนูมาตลอดทาง เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาเพิ่งพบว่า จริงๆแล้วภัตตาคารอยู่ตรงหน้าของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเลย
หลินหยังเปิดประตูรถออก ลู่เซิ่นเดินลงจากรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนกับไม่รู้ว่าบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปก็อยู่แถวๆนี้
ฉินซีก็ขี้เกียจพูดเหมือนกัน เดินตามเขาเข้าไปในภัตตาคาร
ตำแหน่งที่หลินหยังจองไว้ให้พวกเขาใกล้หน้าต่าง ฉินซีแค่เอียงคอเล็กน้อยก็หน้าเห็นประตูของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าสีหน้าของลู่เซิ่นนิ่งเกินไป เธอก็คงสงสัยไปแล้วว่าลู่เซิ่นจงใจเตรียมไว้
แม้ว่าจะสั่งอาหารในระหว่างทางที่มาแล้ว แต่อาหารก็ยังไม่พร้อมเสิร์ฟไวขนาดนี้ ระหว่างที่รอ ฉินซีจ้องลู่เซิ่นไว้ รอเขาพูด
ลู่เซิ่นกลับไม่รีบไม่ช้า เอาโทรศัพท์จัดการเอกสารไปสองสามชิ้น ถึงพูดขึ้นช้าๆว่า “แย่งของที่อยู่ในมือของพวกเขามา หรือทำลายของที่อยู่ในมือของพวกเขา ก็เป็นการแก้แค้นไม่ใช่เหรอ?”
ฉินซีเบิกตากว้างอย่างตกใจ
เธอ……ยังไม่เคยคิดเลยจริงๆ