บทที่ 847 หรือว่าไม่ใช่เขาจริงๆ
พวกนักข่าวตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ร้อนใจ “เอ๊ะ! อะไรกันนี่!”
ไม่ต้องพูดถึงนักข่าว แม้แต่ฉินซีก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เดิมทีเธอเตรียมพร้อมไว้แล้วว่าจะมีนักข่าวมารุมล้อม จึงให้คนขับรถจอดใกล้ประตูมากที่สุด เธอคาดว่าตัวเองจะเข้าไปข้างในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปได้ก่อนที่นักข่าวจะเข้ามารุมล้อม แต่คาดไม่ถึงนักข่าวจะรวดเร็วกว่าเธอมากทีเดียว
เธอเพิ่งคิดว่าจะหลีกหนีอย่างไรดี ทันใดนั้นก็มีบอดี้การ์ดร่างกำยำหลายคนพุ่งพรวดเข้ามาปกป้องตัวเอง
พวกนักข่าวพยายามเบียดเสียดเข้าไปตรงกลาง เธอยืนตรงนั้นก็ไม่ห่างจากประตูใหญ่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมากนักอยู่แล้ว พวกเขายังไม่ได้ถามอะไรก็ได้แต่ยืนมองฉินซีเข้าประตูใหญ่บริษัทไปทำอะไรไม่ได้
“อะไรนี่…พวกนี้โผล่มาจากไหนกันแน่…”
พวกนักข่าวปาดเหงื่อบนหน้าผาก ต่างพากันบ่นเซ็งแซ่
ในกลุ่มพวกเขาคาดเดาไปต่างๆ นานา คนส่วนใหญ่ยังคิดว่าคนของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปส่งบอดี้การ์ดพวกนี้มา
แต่ฉินซีไม่รู้สึกอย่างนั้น
ถ้าคนของตระกูลฉินใจดีขนาดนี้ แม่ของเธอคงไม่ต้องมีจุดจบที่ขมขื่นเช่นนี้
คนที่มีความสามารถส่งบอดี้การ์ดมาได้มากขนาดนี้ ในใจของเธอย่อมรู้ว่าเขาเป็นใคร
แต่อีกใจหนึ่ง ฉินซีก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้
ลู่เซิ่นไปทำงานไม่ใช่หรือจะส่งบอดี้การ์ดมาทันเวลาได้อย่างไร
พวกบอดี้การ์ดพาฉินซีมาส่งในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปแล้วเตรียมผละไป แต่ฉินซีสายตาว่องไวคิดจะคว้ามือบอดี้การ์ดคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด “…ใครส่งพวกคุณมาคะ”
บอดี้การ์ดเหมือนจะตกใจ รีบหลบมือของเธอ เหมือนกลัวว่าเธอจะมาถูกตัว ตอบอึกๆ อักๆ “ขอโทษครับ ผมพูดไม่ได้ครับ”
พอพูดจบก็ไม่รอให้ฉินซีตอบอะไร สาวเท้ายาวจากไป
เขารูปร่างสูงใหญ่ฉินซีตามไม่ทัน ขณะที่บอดี้การ์ดคนอื่นก็หายตัวไปไม่เห็นเงาแล้ว
ฉินซีไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เธอยังมีเรื่องตรงหน้าที่สำคัญกว่าต้องจัดการ จึงได้แต่ปล่อยผ่านเรื่องนี้
เธอสูดลมหายใจลึก เดินไปหน้าลิฟต์ กดปุ่มชั้นที่จะไป
ใช่ว่าเธอจะเป็นคนแปลกหน้าในบริษัทนี้ เมื่อก่อนเธอเคยมากับฉินซึ่งเทียนหลายต่อหลายครั้ง ทว่าต่อมาความสัมพันธ์ระหว่างฉินซึ่งเทียนกับแม่ฉินนับวันห่างเหิน โอกาสที่เธอจะมาที่นี่ก็น้อยลงเรื่อยๆ
ครั้งก่อนที่เธอมาที่นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว
ขณะที่เธอก้าวเข้าไปในห้องรับรอง เสี้ยวนาทีนั้นฉินซีรู้สึกว่า สายตาทุกคู่จับจ้องที่ตัวเธอ
ฉินซึ่งเทียนยังเดินทางมาไม่ถึง คนส่วนใหญ่ที่อยู่ภายในห้องรับรองเป็นผู้ถือหุ้นที่ความสัมพันธ์ค่อนข้างห่างไกลถึงขนาดที่ในเวลาปกติแล้วไม่มาร่วมประชุมด้วยซ้ำ ครั้งนี้มาเพราะอยากดูดราม่าไม่มีคนของตระกูลฉินแต่อย่างใด
ฉินซีรู้สึกผ่อนคลาย มองไปรอบๆ หามุมหนึ่งนั่งลง
รอบตัวเธอไม่มีคนนั่งใกล้ แต่เสียงกระซิบกระซาบแทบจะล้อมตัวเธอ เมื่อชายตาดูก็มองเห็นคนทำมือปิดปากซุบซิบคุยกัน สายตามองมาทางเธอไม่หยุด
เธอขี้เกียจจะคิดเล็กคิดน้อยกับคนพวกนี้ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
ช่วงเวลาว่างเช่นนี้ เธอนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ขึ้นมาอีกครั้งถึงแม้เป็นไปได้ที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่เธอยังคงรู้สึกว่าลู่เซิ่นเป็นคนส่งบอดี้การ์ดพวกนี้มา
ลู่เซิ่นรู้ได้อย่างไรนะ
แน่นอน คำถามนี้ นอกจากตัวลู่เซิ่นเอง ก็คงไม่มีใครให้คำตอบได้
ฉินซีลังเลครู่หนึ่ง ส่งข้อความเลียบเคียงถามลู่เซิ่น
“ยุ่งมั้ยคะ”
ตามนิสัยของลู่เซิ่นแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไร เขาไม่น่าจะสนใจข้อความของเธอ
แต่ถ้าเขาเป็นคนส่งบอดี้การ์ดมาจริง ตอนนี้เขาต้องใช้วิธีอะไรสักอย่างควบคุมสถานการณ์โดยรอบ เธอส่งข้อความไปถาม น่าจะได้รับข้อความตอบกลับจากเขา
ฉินซีคิดรอบคอบ แต่เธอมองข้ามความเป็นไปได้ที่จะไม่ได้อ่านข้อความตอบกลับของลู่เซิ่น
เพราะขณะที่เธอพิมพ์ข้อความเรียบร้อยส่งออกไปนั้นก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น หลังจากนั้นเสียงซุบซิบของทุกคนก็ดังขึ้น
ฉินซีรู้ทันที ฉินซึ่งเทียนมาถึงแล้ว
ที่จริงเธอไม่สนใจที่จะเดินไปหาฉินซึ่งเทียนเพียงแค่เงยหน้ามองเท่านั้น แต่ก็สบตาเข้ากับฉินซึ่งเทียนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องรับรองพอดี
ตำแหน่งที่เขายืนสะท้อนแสงฉินซีต้องเพ่งดูถึงจะมองเห็นใบหน้าของเขาชัด
อาจเป็นเพราะช่วงนี้ทำงานหนักฉินซึ่งเทียนมีผมหงอกขึ้นแซม รอยเหี่ยวย่นที่หางตาก็มองเห็นได้ชัดเจน
ตอนที่เขายังหนุ่มถือได้ว่าเป็นคุณชายโฉมงาม ตอนนี้ค่อนข้างอ้วนลงพุงถึงวัยกลางคนแล้วจริงๆ
จู่ๆ เธอก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาบ้าง
ฉินซึ่งเทียนแก่แล้วจริงๆ
แต่อารมณ์ของเธอกลับมิได้หวั่นไหวเพราะความจริงข้อนี้
เพราะสายตาที่เธอมองฉินซึ่งเทียนเห็นเขาเป็นคนแปลกหน้ายิ่งกว่าคนแปลกหน้าทั่วไปด้วยซ้ำ
ตอนที่ฉินซีเล็กๆ ฉินซึ่งเทียนยังเรียกได้ว่าเป็นพ่อที่ใช้ได้ เขาจะกลับมาเป็นเพื่อนคุณปู่และเธอกินข้าว พอมีเวลาว่างก็พาฉินซีไปสวนสนุก หรือแม้แต่แบกเธอขึ้นบ่าทั้งที่ยังสวมเสื้อสูท หยอกล้อให้เธอหัวเราะ
แต่หลังจากที่คุณปู่ของฉินซีเสียชีวิต พวกเขาย้ายไปอยู่บ้านใหม่ในเมือง ใกล้ออฟฟิศมากกว่าเดิม แต่ฉินซึ่งเทียนยิ่งทียิ่งไม่กลับบ้าน
เมื่อก่อนฉินซีอาจจะหาข้ออ้างสารพัดให้เขา ทั้งหมดนี้ ตั้งแต่ฉินซึ่งเทียนแต่งงานกับหลี่เหวยแล้วเธอพาฉินหว่านที่อายุไล่เลี่ยกับฉินซีเข้ามาในบ้าน แถมยังประกาศว่าฉินหว่านเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฉินซึ่งเทียน ข้ออ้างนั้นก็พังทลายลงหมด
ความสุขที่เธอเคยได้รับตอนเด็กๆ ทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา หรือบางทีนี่อาจเป็นเพียงละครที่ ฉินซึ่งเทียนเล่นเพื่อเอาใจคุณปู่ของฉินซีเท่านั้น
ความไม่ซื่อสัตย์และหลอกลวงของฉินซึ่งเทียนเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนเธอยังเป็นเด็กเล็ก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สิ้นสุด
สายตาของทุกคนในที่นั้นมองไปที่ฉินซึ่งเทียนสลับกับฉินซี แต่ฉินซีเพียงมองฉินซึ่งเทียนแวบหนึ่งแววตาเรียบเฉย แล้วก็ก้มลงมองโทรศัพท์มือถือ
สังเกตอาการแก่ชราของฉินซึ่งเทียนสู้ลองดูใครคือคนที่ส่งบอดี้การ์ดมาไม่ได้
ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบกลับมา
หรือว่าไม่ใช่เขาจริงๆ
ฉินซีอยากจะถามอีก แต่เสียงของเลขานุการดังขึ้น
“การประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นกำลังจะเริ่มขึ้น ขอเชิญทุกท่านประจำที่ และขอให้รักษาความสงบ กรุณาปิดมือถือหรือปิดเสียงด้วยค่ะ”
ฉินซีปิดเสียงมือถือ แล้วตามทุกคนเข้าไปในที่ประชุม
คนที่มาเข้าร่วมประชุมครั้งนี้จำนวนมาก บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปจัดเตรียมห้องประชุมใหญ่ที่สุดฉินซีไม่ได้มาเพื่อเป็นจุดเด่น จึงเลือกที่นั่งตามสบาย
แต่ไม่มีคนกล้านั่งข้างเธอ
ตอนนี้สถานการณ์ภายในบริษัทยังไม่ชัดเจน อันที่จริงฉินซึ่งเทียนบริหารบริษัทมานานหลายปีขนาดนี้ แม้ว่าจะแบ่งหุ้นออกไปแล้ว 20% เขายังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง มีอำนาจเด็ดขาดในบริษัทเหมือนเดิม
ก่อนที่ฉินซึ่งเทียนจะแสดงท่าทีต่อการกลับเข้ามาบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปของฉินซี พวกผู้ถือหุ้นรายเล็กไม่อาจแสดงความเมตตากับฉินซีโดยไม่ระมัดระวังตัว
ฉินซีกลับไม่สนใจ เพียงแต่ชำเลืองมองนิดหนึ่ง ที่นั่งว่างรอบตัวเอง เด่นชัดยิ่งกว่านั่งด้านหน้าเสียอีกก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ฉินซึ่งเทียนเพิ่งจะนั่งลงตรงตำแหน่งประธานก็มองเห็นรอยยิ้มของเธอพอดี
ตอนนี้ในใจของเขาเหมือนถูกแทง แน่นอนเขารู้สึกว่าฉินซีไม่ว่าทำอะไรก็มุ่งเป้ามาที่เขา แม้เพียงรอยยิ้มธรรมดาๆก็ถูกฉินซึ่งเทียนมองว่าเป็นการเยาะเย้ยตัวเอง
ฉินซึ่งเทียนวางหน้าบึ้งตึงตลอด เขาไม่มีทางยอมให้ฉินซีทำท่าหยิ่งผยองต่อไปเป็นแน่