บทที่820 เธอเป็นผู้หญิงของเขามาโดยตลอด
เวินจิ้งเบิกตากว้างแล้วถามขึ้น “คุณคงไม่ใช่อาศัยจังหวะที่พี่ชายฉันไม่อยู่แล้วลักพาตัวฉันหรอกนะ”
เมื่อมองลักษณะการแต่งกายของมู่วี่สิงในวันนี้ เสื้อเชิ้ตที่ดูไม่ค่อยเป็นทางการสักเท่าไร ดูสบายๆ ลดความเย็นชาของเขาลงไม่น้อย ใบหน้ารูปงามดูสมบูรณ์แบบ
แล้วก็ก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเอง ชุดเดรสสีแดง…..ดูยังไงก็เป็นสิริมงคล
มู่วี่สิงจับแก้มเธอย่างเอ็นดู ตั้งใจทำสีหน้าไม่พอใจ “ลักพาตัวงั้นเหรอ พวกเราตอนเด็กได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะครองคู่กัน คุณเป็นของผม”
เวินจิ้ง : ….
เป็นเรื่องนานมากแล้ว แต่ผู้ชายคนนี้ยังจำได้ อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นคำมั่นสัญญา เพียงแต่เขาแค่รับปากว่าจะกลับมาหาเธอ
และเขาก็ทำตามอย่างที่พูด
“อืม” เวินจิ้งยังคงมีท่าทางที่เฉื่อยชา “แหวนอยู่ไหน”
เขาจ้องมองเธออย่างเงียบๆอยู่สักครู่ จึงพูดขึ้นอย่างใจเย็น “ลืมไว้ที่บ้าน เมื่อกลับไปจะสวมให้คุณทันที”
เวินจิ้งจึงรู้สึกเศร้าขึ้นทันใด “คุณจะไปจดทะเบียนสมรสกับฉัน แม้แต่แหวนยังไม่มี ดูเหมือนจะเรียบง่ายไปหน่อยไหม”
ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่การจดทะเบียนสมรส แต่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่ใช่หรือ
“ผมจำได้ว่าต้องเตรียมทะเบียนบ้านเท่านั้น ด้วยความตื่นเต้นจึงลืมทุกอย่างไปหมด” มู่วี่สิงยังคงพูดราบเรียบ
เขาเปิดประตูห้องผู้ป่วยแล้วเข็นเวินจิ้งออกไป
เวินจิ้งขมวดคิ้ว มีแต่ความรู้สึกว่าเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ ถึงแม้ว่าการแต่งงานจะเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว และตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้น่าปิดบังนิ
เธอหันกลับไปมองชายหนุ่มที่กำลังเข็นรถเข็น “ไม่ใช่รอให้ฉันหายดีก่อนแล้วค่อยจัดพิธีแต่งงานเหรอ”
“เมื่อคุณหายดีแล้วพวกเราก็จะจัดพิธีแต่งงานกัน”
“รอให้เสร็จพิธีงานแต่งงานก่อนแล้วค่อยจดทะเบียนสมรสไม่ได้เหรอ ทำไมถึงเร่งรีบขนาดนี้ล่ะ
ตอนนี้พี่ชายไม่อยู่ เธอก็ยังไม่ได้ปรึกษากับแม่ ทำไมรู้สึกเหมือนทำแบบหลบๆซ่อนๆ
น้ำเสียงมู่วี่สิงยังคงเฉยเมย “ผมอยากให้คุณเป็นคุณนายมู่ให้โดยเร็วที่สุด”
เวินจิ้งกลอกลูกตาของเธอด้วยความโกรธ “ในแต่ละวันคุณก็นอนติดอยู่บนเตียงกับฉัน ยังมีใครคิดว่าฉันไม่ใช่คุณนายมู่อีกเหรอ”
น้ำเสียงของชายหนุ่มจึงเปลี่ยนไปทันที “คุณไม่อยากแต่งงานกันอีกครั้งหรอ”
น้ำเสียงเย็นชาราวกับว่าหากเวินจิ้งพยักหน้านั้นเป็นการทำร้ายเขาอย่างมาก เวินจิ้งส่ายหน้าอย่างใจอ่อน “ไม่ใช่อย่างนั้น”
“อืม” สีหน้ามู่วี่สิงดูผ่อนคลายลง “เมื่อจดทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับบ้านไปพักฟื้น”
ถึงแม้ว่าจะบอกว่าเป็นการผ่าตัด แต่อาการของเวินจิ้งไม่ได้สาหัสมาก ได้รับบาดเจ็บเพียงผิวหนังภายนอก ไม่ได้กระทบกระเทือนถึงกระดูกแต่อย่างใด
เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คุณไม่บอกพี่ชายของฉันว่าจะไปจดทะเบียนสักหน่อยเหรอ แบบนี้คงไม่ดีมั้ง”
ความจริงแล้วเธอแค่อยากจะหลอกถามว่าทั้งสองคุยอะไรกันข้างนอกในวันนั้น พี่ชายมีท่าทีอย่างไรต่อมู่วี่สิงในตอนนี้
แต่เหมือนท่าทีมู่วี่สิงนั้นไม่อยากจะบอกเธอ
“ตอนเย็นผมจะให้ป้าหลี่เตรียมอาหารเพิ่มแล้วเชิญเขามาทานด้วยกัน แล้วถือโอกาสบอกเขา”
เวินจิ้งมองดูท่าทางของมู่วี่สิงที่รู้สึกลำบากใจ จึงยิ้มแล้วพูดขึ้น “แล้วถ้าพี่ชายของฉันถามว่าไปจดทะเบียนสมรสทำไมถึงไม่บอกเขาล่ะ คุณจะต้องตอบไปอย่างตรงไปตรงมานะว่าคุณบังคับฉัน เพราะตอนนี้ฉันถือว่าเป็นผู้ป่วยอัมพาตอยู่”
มู่วี่สิง : …..
ณ ที่ว่าการอำเภอ
เป็นครั้งที่สองที่มาที่นี่
สถานที่ยื่นเรื่องจดทะเบียน เนื่องด้วยเวินจิ้งยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บ มู่วี่สิงจึงยื่นทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชนของทั้งสองคนพร้อมกับเอกสารส่วนอื่น
พนักงานรับมาแล้วป้อนข้อมูลอย่างชำนาญ พร้อมถามขั้นว่า “มาจดทะเบียนหย่ากันเหรอคะ”
เวินจิ้งตกใจ อารมณ์ที่เต็มไปด้วยความดีใจในการมาจดทะเบียนสมรส คิดไม่ถึงว่าจะโดนทักขึ้นว่ามาจดทะเบียนหย่า…..
สีหน้ามู่วี่สิงตกใจเช่นกัน พูดอย่างเย็นชา “พวกเรามาจดทะเบียนสมรส”
พนักงานเป็นหญิงสาวเยาว์วัย ตกใจในความเย็นชาของมู่วี่สิง
เวินจิ้งกระแอมขึ้นเบาๆ พูดอย่างอ่อนโยน “พวกเรามาจดทะเบียนสมรสกันใหม่อีกรอบค่ะ หรือต้องใช้ใบทะเบียนหย่าด้วยคะ”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว สีหน้านิ่ง “ไม่มีใบทะเบียนหย่า”
“ตอนนั้นที่คุณมาจดใบทะเบียนหย่า เขาต้องให้ใบหย่าคุณด้วยสิ จะไม่มีได้อย่างไร”
เวินจิ้งนิ่วหน้าด้วยความสงสัย และก็ไม่ได้สนใจมู่วี่สิงอีก ยิ้มถามพนักงานที่อยู่ในสภาพเอื่อยเฉื่อย “คือ…..พวกเรามาจดทะเบียนสมรสกันอีกรอบค่ะ ต้องเตรียมเอกสารนอกจากนี้หรือเปล่าคะ”
พนักงานก้มหน้ามองดูบัตรประจำตัวประชาชนของทั้งคู่อีกครั้ง แล้วมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง แล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย “พวกคุณ…..เป็นสามีภรรยากันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”
หลักๆคือมู่วี่สิงท่าทางเย็นชาเกินไป รู้สึกเหมือนเขาพร้อมจะอารมณ์เสียได้ในวินาทีถัดไป
“ก่อนหน้านั้นพวกเราได้จดทะเบียนหย่ากันแล้วค่ะ” เวินจิ้งตอบ
พนักงานพูด “แต่ว่าในระบบแสดงผลว่าพวกคุณยังไม่ได้จดทะเบียนหย่ากันนะคะ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนซ้ำแล้วค่ะ”
เวินจิ้ง : …..
เธอเหลือบไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆทันที “เกิดอะไรขึ้น”
มู่วี่สิงก็แสดงสีหน้าออกมาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ “เกิดอะไรขึ้น”
เขายืนขึ้นอย่างใจเย็น เตรียมพร้อมที่จะเข็นเธอออกไป
“พวกเราไม่ได้จดทะเบียนหย่ากันตั้งแต่แรก อย่างนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นจดทะเบียนสมรสอีก กลับบ้านกันเถอะ”
เวินจิ้งตาเบิกกว้าง พูดด้วยเสียงสูง “ฉันได้ส่งใบเซ็นหย่าให้คุณแล้วไม่ใช่เหรอ คุณไม่ได้มาทำเรื่องหรอ”
มู่วี่สิง “…..ไม่ได้มา”
“ทำไม”
“คุณให้ผมเซ็นใบหย่า ผมต้องเซ็นเหรอ คุณก็ได้อีกแผ่นไปแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นเป็นคุณที่ต้องการหย่า ไม่ใช่ผมสักหน่อย ผมไม่อยากจะเซ็นอีกรอบ”
เขาไม่ต้องการหย่ากับเธอ
เธอเป็นผู้หญิงของเขามาโดยตลอด!
เวินจิ้งมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ฉันวางแผ่นนั้นไว้ที่ห้องหนังสือ”
มู่วี่สิงโต้ตอบกลับไปว่า “คุณเอาไปด้วย”
เธอไม่ได้เอาไปด้วยสักหน่อย…..
พนักงานมองดูคู่สามีภรรยาที่อยู่ตรงหน้าอย่างมึนงง…..ที่ไม่รู้แม้แต่ว่าตัวเองนั้นได้ทำการหย่ากันหรือยัง!
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาคนที่มาต่อคิว เธอจึงได้พูดขึ้นว่า “พวกคุณสองคน…..กลับกันได้แล้วค่ะ ถ้าไม่ได้มาจดทะเบียนสมรสหรือจดทะเบียนหย่า”
เวินจิ้งรู้สึกได้ว่าเธอถูกสายตาหลากหลายรูปแบบจ้องมองอยู่ และไม่อยากจะขายหน้าไปมากกว่านี้ เธอกระแอมสองสามครั้งแล้วดึงแขนเสื้อของชายหนุ่ม “ไปกันเถอะ”
มู่วี่สิงตอบรับอย่างแผ่วเบา และเข็นเวินจิ้งอย่างไม่รีรอ
ผ่านไปสักพักเวินจิ้งถึงจะใจเย็นลง เงยหน้ามองมู่วี่สิง สีหน้ายังคงสับสน “เพราะฉะนั้น…..พวกเราไม่เคยหย่ากัน”
ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องราวประหลาดเช่นนี้กับเธอ
เมื่อหนึ่งปีก่อน ตอนที่เธอเห็นเขากับมู้ชิงอยู่ด้วยกัน เธอคิดมาโดยตลอดว่าเขาได้ยื่นเรื่องเซ็นใบหย่าตามขั้นตอนแล้ว…..
ใบหน้าเธอมืดมน อดไม่ได้จึงพูดขึ้น “ถ้าหากตอนนั้นว่าฉันแต่งงานกับลู่เซิ่นจริงๆ…..”
มู่วี่สิงที่ไม่สามารถทนฟังคำว่า “ถ้าหาก”แบบนี้ได้ จึงได้ขัดคำพูดเธอ “คุณนายมู่ ผมก็จะฟ้องคุณโทษฐานที่แต่งงานซ้อนและจับคุณกลับมาทันที”
เวินจิ้งพูดด้วยท่าทีที่โกรธ “คุณเองก็ไม่รู้เหมือนกันนิ”
เธอตะคอกและเชิดคางขึ้น “ตอนที่ลู่เซิ่นแต่งงาน คุณยังคิดว่าเป็นฉันอยู่เลย หากคุณจะฟ้องฉันในฐานะแต่งงานซ้อนและจะจับฉันกลับมาจริงๆ…..ไม่แน่…..”
“ไม่แน่อะไร” เธอต้องการจะพูดอะไร “ถ้าหาก?”
เวินจิ้งกะพริบอย่างมีเลศนัย พูดอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่แน่ฉันอาจจะกลับมาเมื่อปีที่แล้วแล้ว”