815 ฉันอยากจะให้อภัยตัวเอง
ชายหนุ่มอุ้มเวินจิ้งลงจากรถเบาๆ เขาที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาที่ห้องรับรองแขก แวบแรกก็เห็นชายชรานั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา
บนโต๊ะยังมีแก้วชาดอกไม้อุ่นๆวางอยู่ เป็นชาที่เวินจิ้งเอามาฝาก
เมื่อได้ยินเสียง มู่เฉิงทำท่าจะเอ่ยปากพูด แต่เมื่อเห็นเวินจิ้งหลับอย่างเงียบๆในอ้อมอกของมู่วี่สิง จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “เวินจิ้งหลับแล้วเหรอ แกอุ้มเธอไปที่ห้องนอนก่อน”
มู่วี่สิงพยักหน้าเบาๆ
เมื่อออกมาป้าหลี่ก็ได้ชงชาดอกไม้ให้เขาแก้วหนึ่ง พร้อมพูดอย่างชื่นชม “ชาดอกไม้ที่คุณเวินซื้อมารสชาติสุดยอดจริงๆ คุณปู่มู่ท่านก็ชอบมากๆ”
มู่เฉิงยิ้มแฉ่งและพูดว่า “รสชาติดีจริงๆ”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว และได้ยินมู่เฉิงพูดต่อว่า “แกกับเวินจิ้งจะเอายังไงกัน ให้ฉันช่วยหาฤกษ์มงคลเพื่อนจดทะเบียนไหม จองชุดแต่งงานหรือยัง งานแต่งก็แล้วแต่พวกแกนะว่าอยากจะจัดหรือเปล่า แต่ทะเบียนสมรสต้องรีบจัดการให้เรียบร้อยนะ ไม่อย่างนั้นเมียแกหนีตามคนไปอีก”
มู่วี่สิงนิ่วหน้า แต่อารมณ์ยังคงอ่อนโยน “คุณปู่กังวลเรื่องงานแต่งงานของพวกเราเหรอครับ”
มู่เฉิงลูบคางตัวเองไปมาแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันแค่อยากเตือนแกอย่าปล่อยให้เวินจิ้งหนีไปอีก แกนะแก หลายปีที่ผ่านมาแกคงมัวแต่โทษตำหนิปู่คนนี้ ไม่แสดงความกตัญญูต่อฉันบ้างเลย แกต้องเอาเด็กอย่างเวินจิ้งเป็นแบบอย่างแล้วนะ มอบเครื่องลายครามที่ฉันชอบมากที่สุดให้กับฉัน”
ดูเหมือนมู่เฉิงจะปล่อยวางทุกอย่างแล้ว กล่าวอย่างจริงใจว่า “ฉันอายุก็ปูนนี้แล้วรู้สึกปลาบปลื้มใจจริงๆ”
มู่วี่สิงถึงกับตัวสั่นทันใด ในหัวสมองหวนคิดถึงสาวน้อยที่น่าสงสารคนนั้น…..ตอนนั้นรอยยิ้มในดวงตาของเธอดูเปล่งประกายสดใส
จู่ๆมีกระแสความอบอุ่นได้ไหลกระจายสู่หน้าอก
เขามองชายชราที่ภาคภูมิใจอยู่ข้างๆอย่างจนปัญญา จึงพูดขึ้นเบาๆ “เธอกตัญญูต่อปู่ ก็เป็นความดีความชอบของผมด้วย”
ความหมายก็คือ เป็นเพราะเขาที่หาภรรยาถึงได้มาแสดงความกตัญญูต่อคุณปู่ได้
มู่เฉิงกลับคิดว่ามู่วี่สิงนั้นหมายถึงการใช้เงินของเขา จึงพูดด้วยอารมณ์โกรธโมโหทันที “ใช้เงินแกแล้วยังไง เงินของแกแน่นอนก็ต้องให้ผู้หญิงของแกใช้สิ ถึงจะใช้เงินแกซื้อแต่เธอก็ซื้อให้ฉัน”
มู่วี่สิงเม้มปากที่บางๆ และไม่ต่อล้อต่อเถียงคุณปู่อีก “ครับ เธอมอบให้ปู่ กตัญญูต่อปู่”
เขาหรี่ตาขึ้นแล้วหวนคิดถึงเสื้อตัวนั้นที่เขาได้ลองสวม ใช่ ต้องเป็นเวินจิ้งสาวน้อยคนนี้ซื้อให้เขาแน่ๆ แล้วยังจงใจหลอกว่าเธอนั้นซื้อให้ลู่เซิ่น
เขาเรียกหาป้าหลี่
“คะ” ป้าหลี่ที่กำลังเช็ดคราบน้ำในมือ “คุณท่าน มีอะไรให้รับใช้คะ”
มู่วี่สิงขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น “สองสามวันมานี้ที่บ้านได้รับพัสดุอะไรบ้างไหม”
ป้าหลี่จึงนึกอย่างตั้งใจ ส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ได้รับพัสดุจริง แต่ว่าได้จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว”
สีหน้าชายหนุ่มดูบึ้งตึงขึ้นทันที รูปร่างสูงยาวลุกขึ้นมาจากโซฟาทันใด ด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด “จัดการแล้วงั้นเหรอ”
สีหน้าของเขาเย็นชาขึ้นฉับพลัน ใบหน้าที่น่ากลัว “ผมยังไม่รู้เลยเอาไปจัดการได้ยังไง”
ตอนนั้นเขาเกือบจะทะเลาะกับเธอด้วยเรื่องเสื้อตัวนั้น
ป้าหลี่ที่แทบจะไม่เคยเห็นมู่วี่สิงโกรธเธอถึงขนาดนี้มาก่อน เธอตกใจมากจนพูดตะกุกตะกัก “มีของขวัญส่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ท่านได้สั่งกำชับว่านอกจากเอกสารและของที่เกี่ยวข้องกับงานแล้ว พัสดุหรือของขวัญอย่างอื่นให้จัดการเรียบร้อยให้หมด เมื่อดิฉันเห็นข้างในเป็นเสื้อ คิดว่าน่าจะเป็นของขวัญที่คนอื่นมอบให้ ดิฉันจึงไม่ได้บอกท่าน…..”
คือ…..เธอก็ทำตามคำสั่งนิ
หลังจากที่มู่วี่สิงหย่าร้าง ผู้หญิงที่ชอบเขาก็มีมากจนสามารถต่อคิวจากเมืองหนานถึงเมืองเป่ยเฉิงได้เลย เฉลี่ยต่อวันมีเสื้อผ้ามาส่งตั้งหลายชุด เมื่อก่อนเขาออกจะรำคาญด้วยซ้ำ
ป้าหลี่มองใบหน้าโกรธของเขา แล้วจึงถามขั้นอย่างรวดเร็วว่า “นั่นเป็นของขวัญที่คุณเวินมอบให้เหรอคะ”
คงน่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้….เขาถึงโมโหถึงเพียงนี้
มู่วี่สิงที่ใบหน้าแสนเย็นชา ก็รู้ดีว่าไม่ใช่ความผิดของป้าหลี่ แต่ก็ถามอย่างเคร่งขรึมว่า “บอกผมมาว่าได้จัดการยังไง”
คุณปู่มู่ที่ทนดูต่อไปไม่ได้ป้าหลี่ก็อายุมากขนาดนี้ยังอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเขา ทนไม่ไหวกับอารมณ์ร้อนของเขา จึงพูดห้ามปรามทันที “พอแล้ว ก็แค่เสื้อตัวหนึ่ง เห็นแก่ที่เมียแกมอบเครื่องลายครามให้แก่ฉัน เดี๋ยวคนแก่อย่างฉันจะซื้อคืนให้แกเอง”
“ดิ…..ดิฉันบริจาคไปแล้ว…..”ป้าหลี่พูดอย่างลำบากใจ “เดี๋ยวดิฉันจะรีบติดต่อฝั่งนั้นว่าสามารถหาคืนกลับมาได้ไหม…..”
บริจาคไปแล้ว…..
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว เป็นครั้งแรกที่เขาหนังหน้าหนา กำชับขึ้นว่า “อืม รีบไปหากลับคืนให้ได้”
คุณปู่มู่ยืนดูอยู่ข้างๆอย่างอนาถใจ “มันจะไม่ดีนะ ถ้าผู้อื่นได้สวมใส่ไปแล้ว”
บริจาคไปแล้วจะเอากลับคืนมาได้อย่างไร มู่เฉิงรู้สึกว่าหลานชายคนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งไม่มีเหตุผล
มู่วี่สิงจ้องมองเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึงและพูดด้วยความโกรธว่า “ไม่หรอก!”
มู่เฉิงส่ายหน้า ไม่อยากสนใจเรื่องนี้อีก และถามต่อว่า “พวกเธอจะแต่งงานกันเมื่อไร ครั้งแรกที่พวกเธอแต่งงานก็แค่จดทะเบียนสมรสแบบกะทันหันเท่านั้น จดแบบสายฟ้าแลบด้วย ถ้าให้ฉันเดาตอนนั้นคงไม่มีการขอแต่งงานสินะ ครั้งนี้ไม่ว่าจะอย่างไรแกก็จะต้องเตรียมการขอแต่งงาน รู้ไหม”
ขอแต่งงาน
มู่วี่สิงพยักหน้า “ผมทราบแล้วครับ”
เขาจะเตรียมการขอเธอแต่งงานให้สมบูรณ์แบบที่สุด หลังจากที่จดทะเบียนสมรสแล้ว ก็จะจัดพิธีงานแต่งงานด้วยเช่นกัน
ครั้งนี้จะเป็นงานแต่งงานจริงๆของพวกเขา
เมื่อมู่เฉิงได้ยินคำตอบของหลานชาย ก็รู้สึกพอใจแล้วจากไปทันที
มู่วี่สิงกลับไปที่ห้องนอน เวินจิ้งยังคงหลับใหลอยู่ เมื่อเขาเขยิบเข้าไปใกล้ เวินจิ้งก็ได้กอดเข้าไปเอวของเขา ลูบไล้ไปมา ถามขึ้นอย่างสะลึมสะลือ “มู่วี่สิง”
“ผมอยู่นี่” เขาก้มไปจูบที่แก้มเธอเบาๆ
“ฉันรักคุณ” คำสารภาพรักอย่างกะทันหันราวกับเสียงฟ้าร้องที่ดังกระแทกเข้ามาในหู
เขาเอนกายอยู่ข้างๆเธอ นิ่งไปชั่วขณะ ไม่กล้าแม้แต่ที่จะหายใจแรง กลัวว่าจะไปรบกวนคำพูดต่อไปของเธอ
“ฉันให้อภัยมู่ซีแล้ว” เสียงทุ้มต่ำของหญิงสาวดังขึ้นรางๆ เขาแทบจะเอาหูไปแนบฟังถึงจะฟังได้อย่างชัดเจน
“เพราะว่าฉัน…..ฉันอยากจะให้อภัยตัวเอง”
“เป็นความผิดของผมเองจิ้งจิ้ง ผมไม่ควรที่จะให้คุณแบกรับเรื่องราวทั้งหมดไว้”
มู่วี่สิงก้มมองหน้าหญิงสาวที่ครึ่งหน้าหนุนนอนอยู่บนหมอน เหมือนเธอกำลังนอนฝัน มือนั้นจับเสื้อของเขาไว้อย่างแน่น เขาจึงยื่นมือไปกอดเธอไว้ในอ้อมกอด ด้วยจิตใจที่เผยอารมณ์ที่หลากหลายออกมา
เขาก้มหน้าจูบหอมหน้าผากเธออย่างนุ่มนวลครั้งแล้วครั้งเล่า “เป็นความผิดของผม เด็กโง่ ทำไมถึงคิดว่าเป็นความผิดของคุณ ไม่ใช่ความผิดขอคุณเลย”
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะจิตใจที่เคียดแค้นเคืองโกรธในตอนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่จัดการความสัมพันธ์กับหลินยี่ ถ้าไม่ใช่เพราะยินยอมให้มู่ซีอยู่บ้านตระกูลมู่ เรื่องราวทั้งหมดก็คงจะไม่เกิดขึ้น เธอก็คงไม่ถึงทางตันจนถึงกับฆ่าลูกของตัวเอง
สำหรับเขานั้นก็แค่สูญเสียลูกที่ยังไม่ได้เกิดเท่านั้น
แต่สำหรับเวินจิ้งเธอต้องแบกรับตราบาปของการเป็นฆาตกร
จิ้งจิ้งของเขา ดูเฉยเมยเย็นชาเยือกเย็น แต่ว่าหัวใจเธอใสเหมือนดั่งกระจก แข็งแกร่ง แต่อ่อนโยน