บทที่ 762 อยากจะพบเธอจริงๆ
เวินจิ้งเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ เธอเห็นหลิงเหยาหน้าถอดสี เธอจึงพูดอย่างไม่แยแสว่า “ฉันรู้เรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้เธอก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่คงด้วยความเกลียดชังที่เธอมีต่อฉันอย่างไม่เคยจางหาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะมู่วี่สิงหรือว่าหยีเป่ยโจว เธอก็เกลียดฉันเข้ากระดูกดำ ถ้าฉันไม่อยู่สักคน ผู้ชายที่เธอชอบก็คงอาจจะชายตามองเธอบ้าง ใช่แบบนี้หรือเปล่า ไอ้ฆาตกร”
หลิงเหยามองดูเธออย่างดูแคลน “เวินจิ้ง เธอต่างหากฆาตกร เป็นเธอต่างหาก เธอไม่ควรเรียนแพทย์ตั้งแต่แรก ถ้าหากเรียนทนายบางทีอาจจะสามารถช่วยแก้ต่างให้ตัวเองให้ลดโทษทางคดีได้”
เวินจิ้งยิ้มแบบไม่ใส่ใจ “จะได้ลดโทษหรือไม่นั้นฉันไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไร ว่าแต่คุณหลิงคุณควรต้องเป็นห่วงตัวเองก่อนไหม ดูซิว่ามู่วี่สิงจะตอบโต้พวกคุณอย่างไร”
เธอยักไหล่ขึ้น “ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำอะไร”
หลิงเหยายิ้มเยาะเย้ย “เขาเชื่อสนิทใจแล้วว่าเธอเป็นคนชนคนตาย ทำไมยังต้องมาตอบโต้พวกเราอีก คนฉลาดก็จะสามารถดูออกว่าเขานั้นผิดหวังกับเธอสุดๆ”
เวินจิ้งยิ้มเย้ยหยัน “คุณหลิงคุณกำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม พี่ชายเธอยังไม่สนใจที่เธอชนคนตาย เธอคิดว่ามู่วี่สิงเขาจะสนใจหรอ”
เธอทราบดีว่าที่มู่วี่สิงผิดหวังนั้น เป็นเพราะเธอไม่ได้บอก“เรื่องราวที่แท้จริง”กับเขาตั้งแต่แรก
แต่ว่าเธอก็ไม่อยากจะอธิบายอะไรอีกต่อไปแล้ว
เวินจิ้งปิดตาลงอย่างช้าๆด้วยท่าทีที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ยิ่งทำให้หลิงเหยากลับกระวนกระวายมากขึ้น
ตอนนี้ที่การ์เด้นมูเจียวาน
มู่วี่สิงเอนกายพิงโซฟาอย่างเฉื่อยเนือย ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาคือสุดยอดฝีมือช่างเทคนิคแห่งเมืองหนาน ลี่หนานเฉิงก็นั่งอยู่ข้างๆ
“คุณมู่ครับ” ชายคนนั้นได้จดจ่ออยู่ที่คอมพิวเตอร์เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม จนสุดท้ายจึงได้พูดขึ้นว่า “ผมได้ดูคลิปวิดีโอนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ คลิปไม่น่าจะมีการตัดต่อหรือดัดแปลงแต่อย่างใดครับ”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ปัจจุบันเทคโนโลยีสามารถลบบุคคลที่มีอยู่ในคลิปวิดีโอออกได้ก็จริง แต่ว่าก็เป็นการยากมากที่ในคลิปวิดีโอจะไม่ทิ้งร่องรอยเหลือไว้ อีกอย่างถ้าหากมีการดัดแปลงคลิปจริง อย่างไรผมก็ต้องดูออกอย่างแน่นอน”
ลี่หนานเฉิงถามขึ้นด้วยความหงุดหงิด “คุณแน่ใจเหรอ เวินจิ้งบอกว่าหลิงเหยาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันไปมองมู่วี่สิง “พี่น้องครับ คุณเชื่อคำพูดของเวินจิ้งไหม และตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเชื่อหรือไม่เชื่ออีกแล้ว เพราะปัญหาคือพวกเราจะผิดประเด็นอีกไม่ได้”
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เธอชนคนจนเสียชีวิต แต่เป็นเรื่องที่จะทำอย่างไรให้เธอรอดพ้นจากความผิดทางคดี
โครงหน้าอันหล่อเหลาของมู่วี่สิงที่ยังคงเฉื่อยเนือย “ถ้าเธอชนคนเสียชีวิต ผมมีแต่จะช่วยปกปิดให้ถึงที่สุด เธอไม่จำเป็นเลยที่จะต้องโกหกผม”
เธอไม่สนใจแม้แต่อยากจะอธิบายเรื่องราวให้เขาฟังด้วยซ้ำ แล้วเธอจะสามารถสร้างเรื่องหลอกลวงมาโกหกเขาได้อย่างไร
ช่างเทคนิคเกิดความสงสัยเล็กน้อย มองดูมู่วี่สิงครู่หนึ่ง
“แล้วตอนนี้เรื่องราวเป็นยังไงกันแน่ หรือสิ่งที่เห็นนั้นคือวิญญาณ” ลี่หนานเฉิงยิ่งหงุดหงิด “ผมว่านะ คุณฝีมือไม่ถึงแล้วมาหลอกลวงพวกผมหรือเปล่า”
การเป็นช่างเทคนิค สิ่งที่ไม่ควรที่สุดคือทำให้ผู้อื่นสงสัย เขาจึงพูดด้วยเสียงหนักแน่นโดยไม่สนสถานะของเขาทั้งสอง “ถ้าหากผมยังไม่สามารถมองเห็นถึงร่องรอยได้ อย่างนั้นคงไม่มีใครสามารถทำได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีที่เหมือนโดนดูถูก ลี่หนานเฉิงจึงได้หุบปากลงชั่วคราว
“พี่น้องครับ อย่างนั้นพวกเราลองถามเวินจิ้งเกี่ยวกับเรื่องราวของเหตุการณ์อย่างละเอียดก่อนดีไหม เพื่อความแน่นอน”
ลี่หนานเฉิงพูดเชิงแนะนำ “ถ้าไม่เช่นนั้น ตอนนี้พวกเราควรจะทำอย่างไรดี และเวลานี้สิ่งที่นายควรทำคือการปลอบใจบรรเทาความรู้สึกของเวินจิ้ง”
เธอต้องการการปลอบใจจากเขาหรือ?
มู่วี่สิงหัวเราะเยาะตัวเอง คงไม่จำเป็นสำหรับเธอ เพราะเธอยิ่งเป็นห่วงว่าเรื่องนี้อาจทำให้เธอยิ่งติดค้างบุญคุณเขา ดังนั้นหลังจากสองปีเธออาจไม่สามารถจากเขาไปอย่างสบายใจได้
มู่วี่สิงไม่ได้พูดใดๆ เพียงแต่ยกมือหมุนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้หันมา แล้วคลิกปุ่มเล่นคลิปอีกครั้งเพื่อทำการดูใหม่อีกที
ลี่หนานเฉิงพึมพำขึ้น “ผมว่านายดูตั้งหลายรอบแล้ว ผู้เชี่ยวชาญยังดูไม่ออก นับประสาอะไรกับพวกเรา ยิ่งดูไม่ออกเลยมั้ง”
ทันใดนั้น ผู้ชายได้หรี่ตาขึ้น น้ำเสียงโทนต่ำดังขึ้นอย่างเยือกเย็น “ส่งคนไปตรวจสอบที่สำนักงานศุลกากรว่าช่วงนี้มีรถปอร์เช่ที่คล้ายคันนั้นของผมเข้ามาหรือไม่”
“อะไรนะ”
มู่วี่สิงปิดคอมพิวเตอร์อย่างเย็นชา “อย่าพูดมาก”
แม้ลี่หนานเฉิงจะไม่เข้าใจในความหมายของมู่วี่สิง แต่เขาก็พยักหน้าตอบรับ
รถของมู่วี่สิงคันนั้นเป็นรถรุ่นสั่งทำพิเศษ ไม่มีผลิตในประเทศ
“นอกจากที่ศุลกากรแล้ว ให้ทำการตรวจที่มาที่ไปของรถรุ่นนี้ทั้งในและต่างประเทศด้วย”
ลี่หนานเฉิงพยักหน้า ดูเหมือนจะเข้าใจในความหมายของมู่วี่สิงขึ้นเล็กน้อย
ที่ห้องหนังสือได้สงบลงในทันใด มู่วี่สิงหยิบมวนบุหรี่ออกมา แต่เขาก็ยังไม่ทำการจุดในทันที
ไม่นานเสียงรำพึงรำพันก็ดังออกมาจากริมฝีปากที่บางๆ “เธอจะคิดถึงเราไหมน๊า”
สามวันผ่านไปหลังจากขึ้นชั้นศาลในวันนั้น เขาก็เกิดความเข้าใจขึ้นในฉับพลัน ก่อนหน้านี้ดูเหมือนเธอจะสามารถปล่อยวางความบาดหมางระหว่างพวกเขาได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเธอนั้นจะสามารถปล่อยวางได้จริงๆ
เธอแค่ยอมรับที่เขาบังคับให้เธออยู่ต่ออีกสองปี เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็ยังคงเฉยเมยเช่นนี้ต่อไป
ถ้าเขาเชื่อเธอ บางทีเธออาจจะรู้สึกขอบคุณ
แต่ถ้าเขาไม่เชื่อเธอ เธอก็คงจะไม่ผิดหวัง
ถ้าเขาช่วยเธอ เธอก็จะไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าหากไม่ช่วย เธอก็จะไม่ฝืนบังคับ
สักพักเขานั้นก็ทิ้งก้นบุหรี่ไป แล้วหยิบกุญแจรถขึ้นมา
ความจริงเขาไม่อยากจะไปพบเธอ เพราะกลัวว่าถ้าได้เจอเธอ เขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้
ในวันเกิดเหตุ หลิงอี้ได้วางแผนทุกอย่างไว้อย่างดิบดีแล้ว
เขาจะต้องไม่ใจร้อน ไม่ขี้โมโห และห้ามผิดพลาด
แต่ว่าเขาอยากจะพบเธอจริงๆ
เมื่อเวินจิ้งเห็นชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า เธอนั้นกำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ในมือ ใบหน้าดูนุ่มนวล ขี้เล่นและสง่างาม ทันใดนั้นเขาได้บิดขี้เกียจออกมา “ฉันคิดว่าคุณจะโกรธจนไม่อยากมาเจอฉันอีก”
อันที่จริงห้องขังที่เธออยู่ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก หรือบางทีอาจเป็นเพราะมู่วี่สิงได้สั่งกำชับไว้
แววตามู่วี่สิงตกกระทบไปที่เรือนร่างของเธอโดยไม่กะพริบตา หัวใจอันแข็งแกร่งของเขากำลังถูกเธอทำให้หวั่นไหว ก้าวเท้ายาวๆเข้าไปแล้วกอดเธอไว้ในอ้อมอกอย่างแน่น แน่นสุดๆ ราวกับว่าจะหลอมร่างอันบอบบางของเธอเข้าไปในกระดูกของตัวเองให้ได้
เสียงต่ำๆของเขาได้กระซิบข้างๆใบหูเธอ “ให้เวลาผมสักหน่อยนะ ผมจะพาคุณออกไป”
เธอถูกเขากอดไว้ในอ้อมแขน อ้อมกอดของเขาที่อบอุ่นตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เวินจิ้งถึงกับไม่มีเรี่ยวแรง พูดเพียงเบาๆว่า “อันที่จริงก็ไม่เป็นไรหรอก”
“มู่วี่สิง คุณไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองมากเกินไป” เธอซบอยู่ที่ไหล่ของเขา เป็นท่าทางที่สนิทแนบชิดและอยากพึ่งพิง แต่น้ำเสียงของเธอนั้นกลับเยือกเย็น
คำพูดของเธอกลับทำให้มู่วี่สิงโกรธเคือง เขายินดีที่จะเห็นเธอตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่าอยากจะไปจากเขา ต้องการจะหย่าจากเขามากกว่าที่จะเห็นเธอมีอารมณ์แบบนี้
เขากัดใบหูเธอด้วยความโกรธ “เวินจิ้ง ตอนที่คุณอยู่ข้างๆผม วันๆคุณมีแต่ความต้องการที่อยากจะไปจากผม ตอนนี้คุณถูกคุมขังอยู่ในที่แห่งนี้ คุณกลับบอกผมว่าคุณไม่เป็นไร นี่คุณต้องการจะยั่วโมโหผมใช่ไหม”
เวินจิ้งหัวเราะเบาๆ แล้วตบไหล่เขาพลางพูดขึ้น “ไม่ใช่แบบนั้นอย่างแน่นอน ฉันรู้ว่าคุณวิ่งเต้นทั้งวันเพื่อหาทางช่วยฉันออกไป ตอนนี้ก็ยังมาเยี่ยมฉันอีก ถ้าฉันยังยั่วโมโหคุณฉันนั้นคงไม่มีจิตใจขาดมโนธรรมแล้วแหละ”