บทที่ 756 คุณรู้ไหมว่าคุณขี้หึงมาก
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว “คุณไม่ชอบเพชรเม็ดเล็กไม่ใช่หรือ?”
แหวนที่เขาใส่ใจเตรียมมาอย่างดีถูกหญิงสาวเมินเฉย หมอมู่รู้สึกปวดร้าว
เมื่อสี่ปีที่แล้วเห็นได้ชัดว่าเธอชอบแหวนวงนี้มาก
เวินจิ้งยื่นมือออกมา “เอาไข่นกพิราบนี่ไปคืน คืนไปแบบไม่ต้องเอาสตางค์สักบาท”
“ไม่คืน”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็รีบที่จะสวมแหวนให้หญิงสาว
ถ้าคืนแหวนก็จะทำให้ราคาตก ถึงอย่างไรทั้งสองวงก็เป็นของเธออยู่ดี
เธอเพิ่งพูดเมื่อกี้ว่าผู้หญิงทุกคนก็ชอบเพชรเม็ดโตกันทั้งนั้น
“ทำไมคุณต้องซื้อแหวนสองวงด้วย?” เธอยังคงไม่เข้าใจ มันไม่ใช่ความคิดของคนปกติทั่วไปเท่าไหร่
เขามองแหวนที่สวมอยู่นิ้วเรียวของเธออย่างพึงพอใจ รอยยิ้มปรากฏอยู่บนริมฝีปากบาง “อืม นักออกแบบคนนั้นบอกว่าผู้หญิงทุกคนชอบแหวนเพชรที่มีเม็ดใหญ่ประดับ ดังนั้นผมเลยสั่งทำวงนี้”
ซื้ออะไรก็ได้ ขอแค่เธอสวมมันก็พอ
เวินจิ้ง “… …ถูกควบคุมแล้วมีความสุขนักเหรอ?” ชายหนุ่มอมยิ้ม ก่อนจะก้มลงไปจูบระหว่างคิ้วเธออย่างหลงใหล
“ถึงอย่างไรก็เป็นของคุณทั้งหมด”
“ฉันไม่ต้องการสองวงนี้หรอก ของบางอย่าง มีเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้นถึงจะดีที่สุด”
พลันดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นลึกล้ำขึ้น ถ้าหากว่าสุดท้ายเธอเลือกที่จะไปจากเขา งั้นเธอก็สามารถมีแหวนวงที่สองได้ใช่หรือไม่?
เวินจิ้งยัดเจ้าไข่นกพิราบกลับลงกล่อง ยิ้มเยาะก่อนที่จะมองไปยังเขา “ถ้าไม่คืนแหวน คุณก็เอาไว้ให้ผู้หญิงคนอื่นแล้วกัน”
มู่วี่สิง : … …
“แหวนของหลิงเหยาที่คุณเห็นเมื่อคราวก่อน ผมให้เกาเชียนไปซื้อให้ ไม่รู้ว่าดีไซต์มันเป็นแบบไหน เรื่องนี้คุณรีบลืมไปได้เลย”
แหวนที่เขาให้หลิงเหยาเธอก็ยังจำมาจนถึงตอนนี้ ถ้าจะต้องให้แหวนผู้หญิงคนอื่นอีกละก็… …
“เวินจิ้ง รู้ไหมว่าคุณขี้หึงมาก ผมให้คุณแค่คนเดียว รู้ไหม?”
เธอหลับตาลง หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ
… …
บาดแผลของมู่วี่สิงดีขึ้นมากเมื่อกลับมาถึงโรงพยาบาล งานที่กองพะเนินไว้มากพอที่จะทำให้เขายุ่งทั้งวัน ถึงแม้ว่าเขาจะหยุดรับการรักษาผู้ป่วยไปแล้ว แต่ก็ยังมีการผ่าตัดอีกไม่น้อยที่เขาต้องลงมือทำด้วยตัวเอง ยังไม่นับงานของโรงพยาบาลที่เขาต้องจัดการอีก
ถึงแม้เขาจะออกจากบ้านเช้ากลับอีกทีก็มืดค่ำ แต่เมื่อถึงเวลากินข้าวเขาจะเป็นคนโทรศัพท์กำชับให้เวินจิ้งไปกินข้าว ถ้าหากไม่โทรไปเตือน เธอเองก็จะลืมกิน ตอนกลางคืนถึงแม้ว่าเขาจะมีงานที่ต้องทำค้างไว้แค่ไหน เขาจะพาเธอไปส่งเข้านอนแทบทุกครั้ง
เวินจิ้งอยู่บ้านคนเดียวตอนกลางวัน เธอจะอ่านหนังสือ พาสุนัขไปเดินเล่น และปลูกต้นไม้ อยู่อย่างสบายใจของเธอเงียบๆ มีบางครั้งที่โทรคุยกับหลินเวย ตอนนี้สุขภาพของแม่เธอดีมาก แต่ยังคงคิดถึงหลินยี่ตลอด ทำให้บางครั้งก็รู้สึกหดหู่
เธอไม่กล้าบอกแม่ว่าพี่ชายได้จากโลกนี้ไปแล้ว เธอยังมีความหวังอยู่ในใจ บางที… …มันอาจจะมีปาฏิหาริย์
เธอสวมแหวนไว้ที่นิ้วนางตลอดเวลา
ใบหย่าที่เซ็นชื่อไว้เรียบร้อยแล้วยังคงถูกเธอวางไว้บนโต๊ะหนังสือ
มู่วี่สิงไม่รู้ บางครั้งเมื่อป้าหลี่ไม่เห็นเวินจิ้งอ่านหนังสือ เธอจะจ้องมองไปที่กระดาษแผ่นนั้นแบบใจลอย ใบหน้าของเธอไม่เห็นความหดหู่หรือความเจ็บปวดอะไรทั้งนั้น นับว่าเธอมีชีวิตอยู่บนโลกนี้มาเกินครึ่งชีวิตแล้ว แต่ก็ยังอ่านสีหน้าเวินจิ้งไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไร
มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอรู้คือ ในเมื่อคนคนหนึ่งสงบเงียบได้ถึงเพียงนี้ เป็นเพราะว่าหลายครั้งเขาได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว
“คุณผู้หญิง” ป้าหลี่ที่กำลังถูพื้นที่ห้องนั่งเล่น เอ่ยทักเมื่อเห็นท่าเวินจิ้งถือกระเป๋าหนังสือเตรียมจะออกไปข้างนอก อดไม่ได้ที่จะถามเธอว่า “จะไปข้างนอกหรือคะ?”
เวินจิ้งยิ้มรับ “ใช่แล้วค่ะ เพื่อนฉันเพิ่งจะส่งข้อความมาเชิญให้ไปพูดคุยกันที่บ้านเธอเสียหน่อย”
ช่วงนี้อั้ยเถียนมาที่เมืองหนาน อยู่คนเดียวก็เบื่อ ถามเธอว่าพอมีเวลาบ้างไหม อย่างไรเสียเธอก็กำลังว่างอยู่พอดี ก็เลยตอบรับว่าจะไป
รถของมู่วี่สิงจอดแยกต่างหากไว้ที่ลานจอด เธอปฏิเสธที่จะให้คนขับรถไปส่ง ตั้งใจขับไปเองตามโลเคชั่นที่อั้ยเถียนส่งมาให้
เวินจิ้งนำรถไปจอดไว้ที่ลานจอดใต้ดิน เมื่อเปิดประตูรถกำลังออกมา เธอก้าวขาออกมาได้ข้างเดียว พลันโสตประสาทได้ยินชัดเจนว่าเป็นเสียงรองเท้าส้นสูงกำลังเดินมาทางนี้
ตอนนี้ภายในลานจอดรถเงียบสงบ
เวินจิ้งเงยหน้า มือที่จับประตูรถชะงัก ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา เมื่อเธอลงจากรถ ริมฝีปากเกิดเป็นรอยยิ้มแสยะ “เธอนี่เองที่ตามฉันมาตลอด”
ถึงแม้ว่าเวินจิ้งจะรู้เสมอว่ามีรถตามเธอมาตลอดทาง แต่เธอก็หาได้ใส่ใจ ไม่คาดคิดว่าจะเป็นหลิงเหยา หญิงสาวคนนั้นได้เดินมาหยุดตรงหน้าเธอแล้ว
“ฉันแค่ต้องการจะคุยกับเธอเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี” หลิงเหยาพูดอย่างไม่แยแส
“โอ้ พูดสิ ฉันจะฟัง” เวินจิ้งพูดอย่างไม่สนใจ มองขึ้นไปราวกับไม่สนใจที่จะฟังสักนิด
“เวินจิ้ง วันนี้ฉันมาหาเพื่อจะปรับความเข้าใจกับเธอ” หลิงเหยาเม้มริมฝีปากแน่น
สิ้นคำ เวินจิ้งพลันขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเธอยิ้มแต่ไม่ยิ้มก่อนถาม “ปรับความเข้าใจ?”
เธอกับหลิงเหยาไม่มีความข้องเกี่ยวกันมาตั้งนานแล้ว ถ้าหากการทะเลาะ ก็คงเป็นแค่เกี่ยวกับเรื่องของหยีเป่ยโจว
“ฉันแค่หวังว่าเธอจะสามารถอธิบายให้เป่ยโจวฟังหน่อย ว่าเมื่อก่อนฉันเป็นแค่ว่าที่ภรรยาของมู่วี่สิง แต่ฉันผิดหวังกับเขามานานเหลือเกิน ฉันรับประกันได้เลยว่าหลังแต่งกับเขา ฉันจะเป็นคุณนายของตระกูลหยีด้วยความตั้งใจ”
เวินจิ้งเหลือบไปมองหลิงเหยา หน้าที่ยิ้มแต่ดูเหมือนไม่ยิ้มของเธอมันทำให้มองไม่ออกว่าเธอกำลังนึกคิดอะไรอยู่กันแน่
“เธอก็มองผู้ชายเป็นนี่นา คุณหยีเป็นผู้ชายที่ไม่เลว”
เธอรู้ว่าหลิงเหยาตัดใจจากมู่วี่สิงได้แล้ว มิฉะนั้นตอนนี้คงไม่เอาเรื่องในอดีตมาบอกให้เธอฟัง ถอนหมั้นด้วยตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นเธอช่วยฉันอธิบายให้เขาฟังหน่อยได้ไหม? ว่าฉันชอบเขาจริงๆ”
เวินจิ้งพูดเรื่อยๆว่า “หลิงเหยา ฉันไม่เคยเกลียดเธอหรอกนะ แล้วก็ไม่ทำเรื่องน่าเบื่อขนาดที่จะไปใส่ร้ายเธอต่อหน้าผู้ชายคนอื่น แต่เรื่องที่หยีเป่ยโจวจะขอเธอแต่งงานหรือเปล่านั้นมันเป็นเรื่องระหว่างเธอและเขา ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลย”
“เธอ… …” หลิงเหยารู้สึกโมโห ก่อนที่จะโวยวายด่าทอขึ้นมา เธอผลักเวินจิ้งออกไปอย่างไม่รู้ตัวราวกับแค่ระบายความโกรธ
ทันใดหลังจากนั้น รถที่พุ่งออกมาจากลานจอด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ชนเวินจิ้งอย่างจัง แต่กลับเฉี่ยวชนซีกไหล่และแขน ทั่วทั้งร่างของเวินจิ้งล้มลงไปกองกับพื้นทันทีอย่างไม่ทันระวังตัว
รถคันนั้นเบรกกะทันหัน แต่เจ้าของรถยังหลบอยู่ข้างในไม่กล้าลงมาเผชิญหน้า บรรยากาศภายนอกดูผิดปกติ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆมีคนโผล่มาตัดหน้า
แม้ว่าเวินจิ้งจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก แต่ที่แขนก็มีเลือดอาบ เวินจิ้งขมวดคิ้ว สภาพแบบนี้คงออกไปหาหลิงเหยาไม่ไหวแน่ เธอไม่อยากจะไปข้องแวะกับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว เธอหมุนตัวกลับไปยังทิศทางที่จอดรถของตัวเองเอาไว้ ตอนนี้เธอสามารถทำได้แค่โทรหามู่วี่สิงหรือไม่ก็ขับรถไปโรงพยาบาลเอง
เมื่อขึ้นมานั่งบนยานพาหนะแล้ว เธอพยายามที่จะรัดเข็มขัดนิรภัย อาการบาดเจ็บที่ไหล่และแขนทำให้เธอพูดลำบาก หลังจากลองอยู่หลายนาที เธอขมวดคิ้ว ก่อนจะปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
เธอมองออกไปด้านนอกรถอย่างเย็นชาเมื่อมองออกไปเห็นท่าทางที่ดูงุนงงของหลิงเหยา เวินจิ้งกัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์ เตรียมที่จะขับหนีไป
แต่เมื่อเธอขับรถผ่านหลิงเหยา จู่ๆเธอก็วิ่งไปเปิดประตูที่นั่งฝั่งข้างคนขับ ก่อนที่จะขึ้นมานั่ง