บทที่ 721 เป็นคนที่รักที่สุดคนนั้น
มู่วี่สิงหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าออกมา จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ เธอ “เปลี่ยนชุดเถอะ อีกสักพักฉันจะพาเธอออกไป”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “คุณหมอยังไม่ได้บอกเลยว่าฉันสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ฉันเองก็ไม่ได้อยากไป”
รอหลังจากเขาออกไปแล้ว เธอจะต้องคิดหาวิธีออกไปจากที่นี่ให้ได้
มู่วี่สิงยกมือเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วก้มตัวลงถอดชุดผู้ป่วยให้เธอ เวินจิ้งมองเขาโดยไม่แม้แต่จะขยับ
ชายหนุ่มปลดกระดุมชุดผู้ป่วยสีฟ้าขาวออก เผยให้เห็นผิวขาวใส แพขนตาของเธอขยับขึ้นลง “คุณคิดจะทำอะไร”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ลมหายใจอุ่นรินรดลงบนไหปลาร้าของเธอ “ฉันจะช่วยเธอเปลี่ยนชุด”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว มองเขาถอดเสื้อผ้าให้ตัวเองด้วยสายตาเย็นชา
นิ้วมือของมู่วี่สิงชะงัก เธอสวมชุดผู้ป่วย แต่ว่าข้างในก็ไม่ได้ใส่อะไรเพิ่มอีก
หลังจากเสื้อผ้าถูกลากออก เรือนร่างที่ขาวสะอาดและงดงามของหญิงสาวก็ปรากฏต่อสายตาของเขาอย่างสมบูรณ์
มือของเขาแข็งเกร็งทันที
บนร่วงกายของเธอยังมีร่องรอยของบาดแผลหลงเหลืออยู่ไม่น้อย ยังคงมีผ้าพันแผลพันอยู่บนข้อศอก แผ่นหลัง หัวไหล่ หรือแม้แต่กระทั่งบนหน้าผาก
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เวินจิ้งจึงเห็นเขาถอนสายตากลับไปอย่างแข็งกร้าว พูดเสียงต่ำ “ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม ครั้งหน้าก็อย่าได้ทำร้ายตัวเองอีก”
หลังจากนั้นก็หยิบชุดที่วางอยู่ข้าง ๆ มาสวมให้เธออย่างช้า ๆ
เธอยังคงไม่ขยับ มองเขาด้วยสายตาเย็นชาอย่างไม่แยแสตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าเธอจะไม่ได้มองเขา แต่เธอก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาจ้องมองเธอด้วยแววตาลึกซึ้ง
คล้ายจะเจ็บปวด แต่ก็คล้ายมีอารมณ์อื่น ๆ ร่วมด้วย
การกระทำของมู่วี่สิงเต็มไปด้วยความงุ่มง่าม ราวกับไม่รู้ว่าควรจะสวมใส่อย่างไร
เวินจิ้งสูดหายใจลึกแล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักเขาออก
เธอสวมชั้นใน จากนั้นก็หยิบสวมสเวตเตอร์สีแดงเนื้อนุ่มที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาสวม ท่อนล่างเป็นกางเกงขายาวสีอ่อนทรงหลวม
เท้าแม้แต่ข้างเดียวของเธอยังไม่ทันได้เหยียบพื้น ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ของเขาจับเอาไว้
เธอตกตะลึงเป็นอย่างมาก เผลอชักเท้ากลับมาโดยไม่รู้ตัว ทว่ามู่วี่สิงกลับจับเอาไว้แน่น “อย่าก้ม ฉันจะช่วยเธอสวมรองเท้า”
ในที่สุดเธอก็รู้สึกตัวแล้วว่าท้องของเธอบาดเจ็บ ไม่สามารถที่จะก้มลงไปได้
รองเท้าเป็นของที่เขานำมาจากคฤหาสน์ตระกูลมู่ ไม่ใช่คู่ใหม่แต่เป็นคู่ที่สวมใส่บ่อยที่สุด เพราะว่ามันสบายที่สุด
เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น เธอสามารถมองเห็นรูปหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน เพราะว่าตอนนี้เขากำลังจมอยู่ในสมาธิ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่งนั้นทำให้คนรู้สึกใจเต้นเป็นอย่างมาก
เวินจิ้งเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
เมื่อเสื้อผ้ากับรองเท้าเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปที่ห้องน้ำในห้องพักฟื้น มีเสียงกำชับเตือนของมู่วี่สิงดังขึ้นจากด้านหลัง “ระวังด้วย มีอะไรก็ให้เรียกฉัน”
เวินจิ้งไม่ได้สนใจเขา เธอเดินเข้าไปล้างหน้าแปรงฟัน ตอนที่เดินออกมาก็พบว่าในมือของเขามีเสื้อคลุมตัวหนึ่ง ทันทีที่เห็นเธอ เขานำมันมาคลุมตัวเธอไว้
“คุณจะพาฉันไปไหน” เธอก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่ตัวเองกำลังสวมอยู่ “ไม่ว่าจะไปที่หลุมศพของพี่ชายหรือว่าหลุมศพของลูก ฉันใส่เสื้อสีแดงแบบนี้ก็คงไม่ดี”
เส้นผมของเธอยาวขึ้นเรื่อย ๆ เขาผูกผ้าพันคอสีเข้มให้เธอ พูดด้วยเสียงเรียบ ๆ “พาเธอไปชมละคร”
เขาขับรถด้วยตัวเอง ไม่ได้บอกว่าจะพาเธอไปดูที่ไหน เธอเองก็ไม่ได้ถาม จนกระทั่งรถหรูจอดตรงหน้าประตูศาล เธอถึงได้รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร
คดีไม่ซับซ้อน เวยอานต้องการฟ้องร้องโม่ถิงเซินข้อหาลักพาตัว
เมื่อสองปีก่อนเป็นเพราะเวยอานเธอเลยได้พบโม่ถิงเซินอยู่หลายครั้ง แต่เธอไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรเขามากนัก รู้แค่ว่าเขาเป็นที่มีอิทธิพลและอำนาจ
หลังจากออกมาจากตระกูลนิ่ง เวยอานก็ไม่กล้าที่จะทำตัวแข็งข้อต่อหน้าโม่ถิงเซิน แต่ตอนนี้เธอกลับกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้ว
ไม่ว่าการลักพาตัวจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ด้วยการสนับสนุนของมู่วี่สิง ทำให้เวยอานมีโอกาสในการชนะคดีนี้อยู่ไม่น้อย
เธอรู้ว่าโม่ถิงเซินเป็นหนึ่งในคนที่ผลักให้พี่ชายเธอไปสู่ความตาย ดังนั้นมู่วี่สิงเลยคิดจะลงโทษเขาอย่างนั้นเหรอ
เฮ้อ
เวินจิ้งแค่นหัวเราะเสียงเย็น ถึงกระนั้นเธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ฆาตกรตัวใหญ่ที่สุดยังคงอยู่ข้างกายเธอ
เวินจิ้งดูการพิจารณาคดีจนจบ เธอไม่แปลกใจที่โม่ถิงเซินถูกตัดสินจำคุก เวินจิ้งไม่ได้ให้ความสนใจกับบทสรุปนี้
เธอเป็นห่วงเรื่องเวยอาน เมื่อออกจากประตูศาล ทั้งสองคนคล้ายใจตรงกัน เวยอานกำลังรอเวินจิ้งอยู่
เธอแกะมือของมู่วี่สิงที่โอบเอวเธอไว้ออกทันที จากนั้นก็เดินก้าวเข้าไป
“เวยอานถอดแว่นกันแดดออก ภายใต้ผมสีดำยาว ใบหน้าของเธอดูซูบผอมเสียยิ่งกว่าเวินจิ้ง “ หมอเวิน ฉันต้องไปจากที่นี่แล้ว”
เวินจิ้งมองเธออยู่นาน อยากจะเปิดปากเพื่อพูดอะไรสักอย่างออกมาอยู่หลายครั้ง อยากเอ่ยคำปลอบโยน อยากขอบคุณ อยากแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ติดใจ แต่คำพูดทั้งหมดนั้น ท้ายที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นประโยคเรียบง่ายแค่เพียงประโยคเดียว “ดีแล้ว เดินทางปลอดภัย ระวังตัวด้วย”
เวยอานสวมแว่นตากลับไปอีกครั้ง มองไปที่ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่อยู่ห่างออกไปสองเมตร เธอเอื้อมมือไปกอดเวินจิ้งแล้วพูดเสียงเบาว่า “หมอเวิน เรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของคนเราก็คือความสุข ฉันคิดว่าหลินยี่เองก็หวังว่าหลังจากนี้เธอจะมีความสุขเหมือนกัน”
ถ้าเธออยู่กับมู่วี่สิงแล้วมีความสุข เขาก็ไม่โทษเธอ
เวินจิ้งยืนมองเงาแผ่นหลังของเวยอานค่อย ๆ ไกลออกไปอยู่ตรงที่เดิม
สิ่งที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ คือความสูญเสียและความสับสนหลากหลายส่วนที่ไม่สามารถแสดงออกมาเป็นคำพูดได้
เธอรู้สึกมาตลอดว่าผู้คนและเหตุการณ์ที่ปรากฏในชีวิตของเธอค่อย ๆ พากันหายออกไป
มู่วี่สิงเดินมาหยุดที่ข้าง ๆ แล้วกอดเธอไว้ จึงได้ยินเธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “มู่วี่สิง ตอนนี้ฉันไม่ได้มีความสุขเหมือนตอนที่เรียนแพทย์อยู่ที่ประเทศFเมื่อหลายปีก่อน ถึงแม้ว่าตอนนั้น ฉันจะต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกับคนที่ฉันเกลียดที่สุดอย่างโจวเซิน แต่มันก็ยังมีความสุขกว่าตอนนี้มาก”
เพราะว่าคนที่ทำร้ายเธอไม่ใช่คนที่เธอรักที่สุด ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกอะไร
แต่ตอนนี้คนที่เธอรักที่สุดคนนั้นทำร้ายเธอมาโดยตลอด
เธอพูดจบก็ผลักแขนของเขาออกไปเบา ๆ แล้วเดินออกไปที่บันได
มู่วี่สิงถูกเธอทำให้ตกตะลึง แม้ถูกผลักออกก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทันที เงาร่างสูงใหญ่ในตอนนี้เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและเดียวดาย
พอกลับมาที่โรงพยาบาล เวินจิ้งเพิ่งเปิดประตูห้องพักฟื้นออก ไม่คิดว่าจะเจอมู่เฉิงกำลังรออยู่ที่โซฟา
สีหน้าของมู่วี่สิงเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบทันที เขาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปบนเตียงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จคงสบายตัวขึ้นสักหน่อย รอหลังจากพยาบาลเอายามาให้แล้ว ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้”
เวินจิ้งมองมู่วี่สิง พูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง “คุณปู่ของคุณมาหาคงมีเรื่องจะพูด พวกคุณไปคุยกันเถอะ ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้”
ตั้งแต่ที่พวกเขากลับมามู่เฉิงก็ถูกเมินเฉยมาตลอด ได้แต่เก็บกลั้นความโกรธเอาไว้ “วี่สิง ปู่มีเรื่องจะพูดกับแก”
มู่วี่สิงไม่แม้แต่จะมองเขา “ผมรู้ว่าปู่คิดจะพูดอะไร มันเป็นไปไม่ได้”
มู่เฉิงเพียงมองไปที่เวินจิ้ง ท่าทีอบอุ่นไม่น้อย “เวินจิ้ง ฉันมีเรื่องจะคุยกับวี่สิง เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องน้ำก่อนดีไหม”
เวินจิ้งหยิบชุดที่อยู่บนเตียงขึ้น ไม่แม้แต่จะเปิดตา “คุณกับคุณปู่ของคุณออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ ฉันนั่งเปลี่ยนบนเตียงดีกว่า”
สีหน้าของมู่เฉิงเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ แต่เวินจิ้งไม่สนใจแม้แต่น้อย