บทที่ 716 เขาเฝ้ารอมาเนิ่นนานแล้ว
ไม่ว่ามู่เฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆจะห้ามหรือแม้กระทั่งขอร้องอย่างไร แต่แรงบีบของมือคู่นั้นก็ยังคงไม่ผ่อนแรงลงเลยสักนิด
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปมู่ซีได้ถูกบีบคอจนตายแน่ๆ
“วี่สิง …… มู่ซีจะทนต่อไม่ไหวแล้ว แกปล่อยมือก่อนเถอะ หลานสาวฉันตายไปคนแล้วนะ นี่คือหลานสาวที่เหลือเพียงคนเดียวของฉันแล้ว…… แกใจเย็นหน่อย!”
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายที่กำลังตกอยู่ในความบ้าคลั่งตรงหน้านั้นไม่ฟังที่เขาพูดหรือจริงๆแล้วไม่ได้ยินกันแน่
“เฮ้ย เพื่อน” ลี่หนานเฉิงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาวางมือบนไหล่ของมู่วี่สิง ก่อนพูดเสียงเบาว่า “เวินจิ้งยังผ่าตัดอยู่นะเว้ย อย่ามาทำให้ที่นี่เกิดเรื่องเลยเพื่อน”
สิ้นคำ มือของมู่วี่สิงจึงปล่อยออก
มู่ซีรู้สึกราวกับว่าจะตายจริงๆ ความแข็งแกร่งที่พันธนาการอยู่ตรงคอของเธอค่อยๆคลายลง เธอล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ก่อนที่จะกำคอตัวเองและไอออกมาอย่างรุนแรง
มู่วี่สิงปล่อยมือตัวเองด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย หมุนตัวกลับไปยืนรอยังจุดเดิม
มู่เฉิงขมวดคิ้ว สีหน้าเครียดจัดถึงขีดสุด
มู่ซีทั้งไอและร้องไห้พลางก่อนจะพยายามอธิบายว่า “พี่วี่สิง ฉันไม่ได้ผลักเธอจริงๆนะ ฉันจะไปผลักเธอได้ยังไง……”
เธอไม่ทำอะไรแบบนี้แน่ ไม่ทำแน่นอน
เวินจิ้งยังคงเป็นคุณผู้หญิงอย่างชอบธรรมของตระกูลมู่ เธอจะมีความกล้าบ้าบิ่นไปผลักเธอลงมาได้อย่างไร และถ้ากล้าทำแบบนั้นต่อหน้ามู่วี่สิง มันก็เหมือนรนหาที่ตายชัดๆ
มู่เฉิงย้อนกลับไปนึกถึงสถานการณ์ตอนนั้น เขาแค่เห็นตอนที่เวินจิ้งพลัดตกลงมาจากด้านบน แต่ไม่เห็นว่าตกลงมาได้อย่างไร
เมื่อลองนึกถึงสภาพจิตใจของหลานชาย น้ำเสียงของเขาพลันผ่อนคลายลง “วี่สิง เรื่องนี้แกรอการตรวจสอบก่อนดีกว่าว่า จริงๆแล้วมู่ซี เป็นคนทำหรือเวินจิ้งตกลงมาเอง มันยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเลย”
คนที่อยู่อย่างสิ้นหวังสามารถทำเรื่องที่คนปกติคาดเดาไม่ได้ เช่นทำร้ายตัวเองเพื่อโยนความผิดให้ผู้อื่น เธออาจจะเป็นคนเช่นนั้นก็ได้
มู่วี่สิงยังคงไม่มองมาทางนี้ เขาแค่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทางที่ดีพวกคุณภาวนาให้เธอไม่เป็นอะไรดีกว่า ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมา ผมไม่ปล่อยพวกคุณไว้แน่”
สีหน้ามู่เฉิงพลันเปลี่ยนไป เขาพูดว่า “พวกคุณ” มันหมายความว่ารวมถึงเขาที่เป็นถึงปู่ของมู่วี่สิงด้วย
เขานึกอยากตำหนิติเตียน แต่เมื่อนึกถึงหญิงสาวที่นอนอยู่ในห้องผ่าตัดก็ห้ามตัวเองไว้ได้
เวินจิ้ง… …ไม่ว่าจะเกิดเรื่องหรือไม่ หลังจากนี้ตระกูลมู่จะไม่สงบแล้ว
มู่เฉิงมองดูท่าทางอันเย็นชาของหลานชาย เขายืนอยู่ตรงนั้น นอกจากรอผลการผ่าตัดแล้วก็ไม่ได้ทำอะไร
ตอนนี้เขาอยู่ในโลกของตัวเอง คนรอบข้างไม่สามารถเข้าไปได้อย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ในใจของมู่เฉิงสับสน งุนงง เป็นครั้งแรกที่เขาสงสัยกับตัวเองว่าจริงๆแล้วตัวเองทำผิดอยู่หรือไม่
สองชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดไฟสีแดงบนห้องผ่าตัดได้ดับลงแล้ว
เมื่อประตูถูกเปิดออก มู่วี่สิงก็รีบวิ่งเข้าไปทันที เลือดที่ติดอยู่ที่คางของเขายังไม่ถูกเช็ดออกด้วยซ้ำ ดวงตาแดงก่ำมองตรงไปยังหมอในชุดเสื้อคลุมสีขาว เสียงของเขาอู้อี้แทบฟังไม่ออกว่ากำลังจะพูดอะไร“ เธอ … เธอเป็นยังไงบ้าง เด็กล่ะ?”
น้ำเสียงของสองคำสุดท้ายของเขาสั่นไหว
แม้แต่หมอที่เคยเห็นความตายมานักต่อนักยังทนไม่ได้กับท่าทางของชายหนุ่ม “เสียใจด้วยครับ เรารักษาเด็กไว้ไม่ได้… …”
หมอขมวดคิ้วท่าทางเคร่งเครียด ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงขรึมว่า “นอกจากได้รับการกระแทกที่รุนแรงแล้ว ช่วงนี้เธอยังมีความเครียดเป็นอย่างมาก มีอารมณ์แปรปรวน และเธอก็ไม่ได้ดูแลตัวเองให้ดี ดังนั้นจึงเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ แถมตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น… ….พวกเราพยายามอย่างที่สุดแล้วครับ”
ความหมายทั้งหมดที่หมอพูดออกมาเพื่อที่จะสื่อว่า ที่รักษาเด็กไว้ไม่ได้สาเหตุไม่ใช่เพราะพวกเขา ชายหนุ่มตรงหน้าคือผู้อำนวยการของโรงพยาบาลหนานเฉิง ทั้งยังเป็นศาสตราจารย์หัวหน้าแผนก เขากลัวถ้าอารมณ์ที่ไม่เสถียรนั้นจะผลักความรับผิดชอบมาที่พวกเขา ……
เขาต้องอธิบายให้ชัดเจน
ดวงตาของมู่วี่สิงไร้ความรู้สึก ริมฝีปากของเขาสั่นระริก นานกว่าที่จะพูดออกมา “จิ้งจิ้งล่ะ?”
หมอใช้เวลาคิดสักพักก่อนจะตอบคำถามของชายหนุ่ม เกี่ยวกับจิ้งจิ้งหญิงสาวที่เมื่อครู่เขาได้ทำการผ่าตัดให้ ก่อนตอบอย่างทันทีว่า “สถานการณ์ของคนไข้ไม่นับว่าร้ายแรงครับ สมองได้รับการกระทบกระเทือนเล็กน้อย ส่วนร่างกายมีการกระแทกไม่กี่จุด แต่การสูญเสียลูกในครรภ์ทำให้ร่างกายเธอบอบช้ำมาก และนี่ยังเป็นการแท้งลูกครั้งที่สอง ต่อไปต้องดูแลรักษาร่างกายให้ดี ไม่อย่างนั้นจะมีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ในครั้งต่อไปครับ”
ลูก ไม่มีแล้ว
ไม่เหลืออะไรแล้ว
การรอคอยที่เนิ่นนานของเขา ความหวังที่จะมีลูก… …
หากว่าเขาจะสังเกตเร็วกว่านี้ ถ้าหากว่า… … ถ้า… …
ภายในห้องพักฟื้น มู่วี่สิงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย ดวงตาสีเข้มมองจ้องไปยังหญิงสาวที่นอนบนเตียงอย่างเงียบๆ ใบหน้าเธอซีดขาวราวกับเลือดในกายหยุดไหลเวียน แม้กระทั่งขนตาของเธอยังก็ยังไม่มีการขยับ
เธอแค่นอนบนเตียงเฉยๆ มีหลายครั้งที่เขาเอานิ้วไปอังจมูกของเธอเพื่อตรวจสอบว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
ภายในใจของเขาว่างเปล่า ความรู้สึกที่เสียดแทงหัวใจเมื่อครู่ได้ผ่อนคลายลงอยู่บ้าง
ลี่หนานเฉิงยืนอยู่ตรงประตู มองดูสองคนนั้นด้วยความว้าวุ่นใจ ความรู้สึกในใจหนักอึ้ง
“ตอนที่ฉันอุ้มเธอมาที่โรงพยาบาล” ทันใดเสียงแหบแห้งของมู่วี่สิงพลันดังขึ้น “น้ำตาของเธอไหลไม่หยุด”
“เธอเจ็บจนสลบไป แต่เธอก็ยังคงร้องไห้”
เขาพูดขึ้นมาทีละคำอย่างยากลำบาก “พอเธอตื่นขึ้นมา ฉันจะบอกเรื่องนี้กับเธออย่างไรดี”
ใบหน้าของเวินจิ้งถูกเขาเช็ดให้อย่างสะอาดสะอ้าน แต่ภายในสมองของเขาหวนคิดซ้ำๆไปถึงฉากที่ได้อุ้มเธออยู่ในรถ ตอนที่น้ำตาของเธอได้หยดลงมาผสมกับเลือดที่ไหลลงมาจากหน้าผาก
ลี่หนานเฉิงยังคงเงียบ เขาก็ไม่รู้ว่าจะปลอบมู่วี่สิงอย่างไร
อารมณ์ของมู่วี่สิงเจ็บปวดกว่าเขามาก
มู่วี่สิงยื่นมือไปลูบยังใบหน้าซีดขาวของเธอด้วยท่าทีที่ดูระมัดระวัง ดวงตาเขาดูคล้ายกับมีกระแสแปรปรวนอย่างหนักหน่วง ก่อนพูดอย่างเยาะเย้ยกับตัวเองว่า “เธอเกลียดทุกคน แต่คนที่เธอเกลียดที่สุดคือฉัน แค่ฉันคนเดียว”
สายตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความรักใคร่ แต่ก็ยังมีความสิ้นหวังเจือปน มันเป็นความสิ้นหวังที่สงบเงียบ ที่มักจะทำให้คนมองไม่เห็นแสงสว่าง
ลี่หนานเฉิงอยากจะตีหัวตัวเองให้คิดคำอะไรก็ได้มาปลอบใจในสถานการณ์แสนยากลำบากตรงหน้า นี้ “เรื่องเด็กจะไปโทษแกหมดเลยก็ไม่ได้นะ เธอตกลงมาก็เป็นเพราะมู่ซีพอถึงตอนนั้นนายก็ไปจัดการเรื่องนี้แล้วก็ไปสารภาพกับเวินจิ้ง ส่วนเด็ก……วี่สิง พวกแกยังมีได้อีกในอนาคต ”
ลูก……ยังมีได้อีกเหรอ
สองหนแล้ว เขา ไม่คิดที่จะกล้ามีแล้ว
มือของเขาหยุดลงบนใบหน้าของเธอ หลังจากนี้ พวกเขาจะสามารถมีลูกกันอีกได้จริงๆใช่ไหม?
เดิมทีเรื่องของเธอ เขาไม่ได้ด้วยเลห์ก็เอาด้วยกล เอาเรื่องโรงพยาบาลมาอ้างเพื่อจะบังคับให้เธออยู่ข้างๆ เธอเกลียดเขาขนาดนี้ แล้วถ้าไม่ใช่เพราะเหตุสุดวิสัยเธอจะอยากท้องกับเขาทำไม
ลี่หนานเฉิงมองดูหญิงสาวบนเตียง อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “วี่สิง ร่างกายของเวินจิ้งไม่ใช่จะหายดีในวันสองวันนะ แกกลับไปเปลี่ยนชุด หาอะไรกินหน่อย อย่าดูแลเธอจนตัวเองต้องล้มป่วยเลย”