บทที่ 654 ยังคงลุ่มหลง
ริมฝีปากของเวินจิ้งมีรสชาติเหมือนผลไม้เล็กน้อย ทันใดมู่วี่สิงกลับกลายเป็นฝ่ายรุกแทน เขากอดรัดเธอแน่นภายใต้อกแกร่ง
มู่วี่สิงค่อยๆลืมตาขึ้น มือหนึ่งจับที่ท้ายทอย ส่วนอีกมือโอบลงบนแผ่นหลังขาวนวลเนียน เขาพึมพำเสียงเบา “จิ้งจิ้ง วันนี้เริ่มก่อนเลยเหรอ?”
เธอคิดจะตอบ แต่ก็กลืนคำลงไป แต่มู่วี่สิงยังคงดึงดันที่จะถามต่อ ริมฝีปากกดยิ้มลึก “คิดจะหนีหรือไง? ไม่ทันแล้วล่ะ”
สองมือของเขาอุ้มเธอขึ้นไปนั่งที่บนเตียง Spa มองลงไปก่อนที่จะจูบที่ริมฝีปากแล้วค่อยๆเคลื่อนไปที่ใบหน้า
“ฉันก็แค่คิดถึงคุณมาก” เวินจิ้งแตะที่หน้าผากของเขา หอบหายใจเล็กน้อย ปลายนิ้วปัดไปที่ใบหน้าเขาอย่างอ่อนโยน “ทำไมเดี๋ยวนี้คุณไม่มาหาฉันบ้างล่ะ?”
มู่วี่สิงมีท่าทีแปลกใจ ดวงตาลึกล้ำมองเธออย่างมีความหมาย ก่อนที่จะจูบไปที่ริมฝีปากแดงสวยของเธอ เขาค่อยๆปล่อยเธอ และไม่ได้ตอบคำถามอะไร
“ฉันมีอะไรจะถาม” สองมือเธอยังคงโอบที่หลังคอของเขา ริมฝีปากขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ซุกซนและมีเสน่ห์
“อะไร?” ดวงตาของเขาล้ำลึกลงเรื่อยๆ ข้างนอกหน้าต่างนั้นสว่างไสวไปทั่ว แต่ตรงนี้ กลับมืดมนเหลือเกิน
“ช่างมันเถอะ” เวินจิ้งนึกคิด ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ แต่ยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้า “พองานจบคุณพอมีเวลาบ้างไหม?”
เขามองเธออย่างเฉยเมย สายตามองลงไปหยุดที่รองเท้าส้นแบนของเธอ หัวใจของเขาสั่นไหวเล็กน้อย “คุณกลับไปรอผมที่คอนโดก่อน ผมต้องกลับไปที่โรงพยาบาล ”
เวินจิ้งกะพริบตา ก่อนที่จะจูบเบาๆที่ริมฝีปากของเขา กระซิบสียงเบาว่า “ฉันจะรอ”
เมื่อมู่วี่สิงกลับมาถึงห้องโถงใหญ่ เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าเนคไทที่อยู่บนคอของตัวเองค่อนข้างยุ่งเหยิง
วันนี้จิตใจของเขาไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว จึงไม่ได้สังเกตสีหน้าประหลาดของเหล่าผู้คนที่เข้ามาพูดคุย
สุดท้ายเกาเชียนจึงได้เข้ามาเตือนเขาด้วยท่าทีอึกอักว่า “เอ่อ ประธานมู่ เนคไทของคุณเบี้ยวครับ”
มู่วี่สิงก้มลงไปมอง แต่ที่เห็นคือรอยลิปสติกแดงจางๆประทับอยู่ ทันใดเขาก็กลั้นยิ้มไม่ไหว
“กลับไปโรงพยาบาลก่อนเลย ฉันมีเรื่องที่จะต้องจัดการ” มู่วี่สิงไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงต่อ
หลังจากที่มู่วี่สิงออกไป เวินจิ้งจึงจัดการเสื้อผ้าของตัวเองอย่างช้าๆ ความอ่อนโยนอ่อนหวานเมื่อครู่ได้กระจัดกระจายหายไปทันที
ใบหน้าที่เรียบเฉยค่อยๆเดินออกมาจาก Spa เป็นเวลานานทีเดียว ก่อนที่จะมีเสียงฝีเท้าดังตามหลังมา
ชายหนุ่มใบหน้าที่คุ้นเคยเดินใกล้เข้ามา
“เวินจิ้ง ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”มีความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดในน้ำเสียงของหลิงอี้
“แบบไหนล่ะคะ?” เวินจิ้งหมุนตัว หันกลับไปมองอย่างเฉยเมย
“ทำไมถึงยอมที่จะเป็นมือที่สาม?” เขาถามอย่างเย็นชา
ผู้หญิงที่สวยงามและไม่อาจแตะต้องได้คนนี้เคยอยู่ในใจของเขา
แต่ตอนนี้ เธอเป็นแค่ผู้หญิงที่ต่ำช้าเลวทราม
ฟังจบ เวินจิ้งค่อยๆยิ้มอย่างนิ่มนวล “คุณหลิงไม่ใช่ว่ามีคำตอบในใจแล้วหรือคะ”
ไม่อย่างนั้น คงไม่ถามคำถามเธอด้วยน้ำเสียงตำหนิแบบนี้ เขาคงรู้เรื่องทุกอย่างแล้วแน่ๆ
“แต่ผมไม่เชื่อ ตอนนี้มู่วี่สิงกับเหยาเหยากำลังไปกันด้วยดีนะเวินจิ้ง คุณอย่าทำแบบนี้เลย” หลิงอี้พูดเสียงเศร้า
“คุณหลิงลืมไปแล้วหรือคะ ที่นี่คือประเทศFไม่ใช่เมืองหนาน ฉันอยู่ที่นี่ มีชีวิตที่นี่ หรือว่าคุณอยากให้ฉันตายไปสะ?” เวินจิ้งพูดท่าทีเงียบสงบ ไม่มีความร้อนใจในคำพูด
ร่างกายหลิงอี้สั่นสะท้านไปทั้งตัว
ผู้หญิงที่ยืนตรงหน้าเขาตอนนี้กับเวินจิ้งที่เขาเคยรู้จัก ไม่เหมือนกันเลยสักนิด
ทว่าใบหน้าที่เรียบเฉยเย็นชานั้น ยังคงทำให้เขาหลงใหลอย่างไม่เสื่อมคลาย
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” หลิงอี้มีความขุ่นเคืองในน้ำเสียง “ผมแค่หวังว่าคุณจะรักตัวเองสักนิด”
“ฉันรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”
“ทำอย่างไรคุณถึงจะยอมถอย” หลิงอี้หรี่ตา เดินเข้ามาใกล้
เวินจิ้งจ้องตาหลิงอี้กลับอย่างไม่เกรงกลัว “ทำไมฉันต้องถอย”
“หรือว่าคุณต้องการที่จะกลับไปหามู่วี่สิง……”
“ใช่” เธอตอบกลับไปย่างรวดเร็ว “ฉันอยากให้เขากับหลิงเหยาเลิกกัน”
“เวินจิ้ง! พวกเขาพึ่งคบกัน”
“เท่าที่ฉันรู้ ดูเหมือนมู่วี่สิงจะชักช้ากับการแต่งหลิงเหยาเข้าบ้านนะ” เวินจิ้งพูดอย่างใจเย็น
“ปีหน้าพวกเขาจะแต่งงานกัน” หลิงอี้พูดอย่างโมโห “คุณรู้ไหม ว่าลูกพวกเขามีอายุได้สองขวบแล้ว”
“ลูก……” เวินจิ้งยิ้มเหยียดขึ้นมาทันที “ฉันก็เพิ่งจะท้องกับเขาเหมือนกัน คุณว่า เขาจะเปลี่ยนใจมาแต่งกับฉันแทนไหมล่ะ?”
วินาทีนั้น เวินจิ้งยังไม่ทันได้ระวังตัว หลิงอี้กลับตบหน้าเธออย่างรุนแรงทันที
ข้างหลังเวินจิ้งคือบันได เธอจับราวไม่ทัน ทันใดคนทั้งหมดเห็นเวินจิ้งกลิ้งตกลงมา หลิงอี้ตกตะลึง รีบยื่นมาไปคว้าไว้ ทว่าก็สายไปเสียแล้ว
เขากำหมัดแน่น มองต่ำลงไปยังเวินจิ้งสายตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น หลิงเหยารอมู่วี่สิงมาสามปีเต็ม เขาไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาแทรกกลางระหว่างเหยาเหยาและมู่วี่สิงได้
ถึงแม้จะเป็นเธอ ผู้หญิงที่เขาเคยชอบก็ตาม
เวินจิ้งรู้สึกปวดหัวอย่างหนัก เธอนอนขดตัวอยู่บนพื้น พลางคลำหาโทรศัพท์ในกระเป๋าอย่างทุลักทุเล เธอกดโทรหาหยูจิ่งห้วนทันที
เมื่อต่อสายได้แล้ว เธอกลั้นใจพูดด้วยความเจ็บปวด เสียงสั่นเทาเปล่งออกมา “จิ่งห้วน พาฉันส่งไปโรงพยาบาลหน่อย”
มู่วี่สิงพึ่งออกมาจากโรงแรม ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับไว้ เขาเอนกายพิงผนังเบาะในรถอย่างเกียจคร้าน ก่อนถาม
“การประชุมผ่านวิดีโอของแผนกระบบประสาทจะเริ่มกี่โมง?”
แต่ไหนแต่ไรมา เกาเชียนเป็นคนที่ช่างสังเกตมาตลอด เขารู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้านายของตัวเอง เกาเชียนก้มมองตารางเวลาอย่างรวดเร็วก่อน “เริ่มประชุมสามทุ่มครึ่งครับ แต่ว่าท่านต้องรีบหน่อย แต่สามารถให้หมอท่านอื่นเริ่มประชุมก่อนได้”
มู่วี่สิงพยักหน้าตอบรับ สายตาเหลือบไปเห็นข้างนอกมีรถพยาบาลวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาขมวดคิ้วสงสัย สายตามองไปที่แสงน้ำเงินแดงของรถโรงพยาบาลอย่างครุ่นคิด
เมื่อเขาถึงโรงพยาบาลหนานเฉิง ก็มีสายติดต่อเข้ามา
มู่วี่สิงก้มลงไปมองเบอร์ที่โทรเข้ามา เขาเหยียดริมฝีปากขึ้น ก่อนจะรับสาย
แต่กลับได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคยแทน ปลายสายพูดไม่กี่คำก่อนที่จะวางสายไป
“ประธานมู่ ถึงแล้วครับ” เกาเชียนกระแอมในลำคอก่อนจะพูดเตือนเจ้านายที่เบาะหลัง
แต่เขายังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ชายหนุ่มใช้นิ้วคลึงหว่างคิ้วเบาๆ สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชาจนจับกระดูก
มู่วี่สิงเปิดประตูลงจากรถไปทันที ลากคนขับรถลงมาจากอีกฝั่ง เกาเชียนที่นั่งฝั่งข้างคนขับรีบลงมาจากรถอย่างรู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร ยังไม่ทันได้ปิดประตูดี รถเก๋งคันงามก็เลี้ยวออกไปอย่างเร็ว เสียงล้อบดถนนดังแสบแก้วหู ฝุ่นตลบอบอวล
ยานพาหนะคันเดิมขับออกมาจากลานจอด มุ่งเข้าสู่ถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว
เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว แต่การจราจรตอนนี้ของประเทศFยังคงแน่นขนัด รถติดเป็นอัมพาต
ใบหน้าของมู่วี่สิงเต็มไปด้วยความร้อนรน ใจหวนไปคิดถึงรถพยาบาลที่เห็นเมื่อครู่
ตอนนั้นเขาเริ่มจะรู้สึกสังหรณ์บางอย่างแล้ว แต่ไม่ทันคิดว่าจะเป็น…เธอ