บทที่ 575 เขาบอกว่าเขาเสียใจ
ตกดึกหลังจากที่มู่วี่สิงดูทะเบียนคนไข้เสร็จ เขาก็นวดหว่างคิ้วเบาๆ ก่อนจะเอนหลังไปพิงเก้าอี้
ในหัวของเขามีแต่เรื่องของเวินจิ้ง สลัดยังไงก็สลัดไม่ออก
พรุ่งนี้เวินจิ้งมีเรียน เวลานี้เธอน่าจะอยู่ที่มหาลัยF
พอคิดถึงตรงนี้เขาก็หยิบกุญแจรถขึ้นมา ก่อนจะขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
ล้อรถมาจอดลงตรงหน้าหอ แต่เขาก็ไม่ได้ขึ้นไปชั้น 5 ไม่มีแสงสว่างของไฟออกมา หรือเวินจิ้งจะหลับแล้ว หรือว่าเธอจะยังไม่ได้กลับมา
ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เป็นโจวหย่านส่งข้อความมาหา
เขาไม่ได้ดู เขาวางโทรศัพท์ลงอย่างเดิม และอยู่ตรงนั้นจนรุ่งสาง
เวินจิ้งกลับมาที่มหาลัยในตอนเช้า ก่อนจะมาที่ห้องทดลองซึ่งก็มีมู่วี่สิงใส่เสื้อกาวน์รออยู่ก่อนแล้ว
เธอหลับหูหลับตาเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ
วิชานี้ยังมีนักเรียนคนอื่น ในห้องทดลองจึงครึกครื้นมาก
เวินจิ้งต้องมีปฏิสัมพันธ์กับมู่วี่สิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อฟังเขาบรรยายความคิดของเธอก็ได้แต่หลุดลอยไปไกล
จนกระทั่งเพื่อนข้างๆเรียกเธอ เธอถึงได้ดึงสติกลับมา เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาก็ปะทะสายตากับมู่วี่สิง ที่กำลังจ้องเธอเขม่นอยู่
เวินจิ้งกัดริมฝีปากด้วยความอึดอัดใจ
“เวินจิ้งคุณมานั่งใกล้ๆผมนี่” มู่วี่สิงพูดออกไปตรงๆ
เธอตอบรับ จากนั้นจึงย้ายไปนั่งข้างๆมู่วี่สิง และจำเป็นต้องทำสมาธิตั้งใจเรียนอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตอนที่มู่วี่สิงยื่นมือออกมา เวินจิ้งก็ตั้งใจหลบจึงทำให้มือไปโดนสารละลายที่ตั้งไว้
“ขอโทษ” เธอรีบก้มลงไปแต่ก็มีมือคู่หนึ่งรีบจับเธอไว้
“อย่าขยับ” เขาสั่งพร้อมให้นักเรียนคนอื่นทำความสะอาดบริเวณนั้น
อารมณ์ของเวินจิ้งแปลกๆ
ครึ่งหลังของการเรียน เวินจิ้งก็ยังดึงสติกลับมาไม่ได้ แต่ตราบใดที่เธอเข้าใกล้มู่วี่สิงมากเกินไป เธอก็จะถอยออกมาในทันที
และเมื่อเรียนเสร็จ เธอก็เป็นคนแรกที่เดินออกจากห้อง
ที่จริงเธออยากเจอมู่วี่สิงมาก แต่เมื่อเห็นเขาเธอก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมาก
เธอเดินก้มหน้าเคาะหัวตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินไปที่โรงอาหาร และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเธอก็ชนเข้ากับแผงอกอันคุ้นเคยอย่างจัง
“มู่วี่สิง” เธอจ้องเขาอย่างรำคาญเล็กน้อย
แต่เขากลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นๆ “เสียใจไหม”
“เสียใจ…”
เขาพูดเรื่องอะไร
ใบหน้าของเธอไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา เธอไม่อยากสนใจเขา
แต่มู่วี่สิงเร็วกว่าจึงคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ ทำให้เวินจิ้งขยับไม่ได้
“ที่นี่คือมหาลัย อาจารย์มู่วี่สิงกรุณาอยู่ในระเบียบด้วย”เวินจิ้งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยงนักศึกษาเดินไปมาไม่น้อย และเธอกับมู่วี่สิงก็ยืนอยู่ขวางทางเดิน
“โกรธหรอ จิ้งจิ้ง ผมถามคุณว่าเสียใจไหม” น้ำเสียงของเขาก็เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาไม่น้อย
แม้แต่เวินจิ้งก็ได้ยินความเจ็บปวดที่แผ่ออกมาจากน้ำเสียงนั้น
เธอต้องฟังผิดแล้วแน่ๆมู่วี่สิงจะมีอารมณ์แบบนี้ได้ยังไง
เธอยิ้มออกมาเล็กน้อย “ทำไมฉันต้องเสียใจด้วย”
เธอใช้แรงดึงมือออกมามากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถดันมู่วี่สิงออกไปได้
สายตาของเขาล้ำลึกขึ้น เพราะเวินจิ้งขัดขืน
“ผมเสียใจ”พอพูดประโยคนี้จบ มู่วี่สิงก็หันหลังจากไปด้วยความเย็นชา
ทิ้งเวินจิ้งไว้กับบรรยากาศอันเย็นชา
เธอตะลึงจนตาร้อนผ่าวไปหมด
แน่นอนสิ…เธอก็เสียใจเหมือนกัน
เมื่อนึกได้เธอก็รีบเดินตามเขา แต่เพียงแค่นักศึกษาหนึ่งคนเดินผ่านไป ทำให้เธอต้องหยุดเดิน และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเธอก็ไม่เห็นเขาแล้ว
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ตอนนี้เธอไม่ได้รู้สึกหิวอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงเดินกลับหอและเมื่อถึงตอนบ่ายถึงแม้เธอจะไม่มีความสุข แต่เธอก็ยังต้องไปที่โรงพยาบาลหนานเฉิง เพื่อไปฝึกงานกับเขา
ในตอนบ่าย เวินจิ้งมีอาการง่วงซึมเล็กน้อย
ก่อนที่เธอจะไปห้องทำงานของมู่วี่สิง เธอก็มาที่ห้องของเจียงฉีก่อน
ผลการรักษาแผลของเขาออกมาแล้ว หลังจากการรักษาตอนนี้อาการของเขาก็ดีขึ้น
“เวินจิ้งเธอกับมู่วี่สิงดีกันหรือยัง” เจียงฉีถาม
เมื่อฟังประโยคนี้จบ สีหน้าของเวินจิ้งก็เปลี่ยนไป
“ฉันกับเขาดีกันมาโดยตลอด” เธอยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนี้ช่างดูฝืนๆ
“เวินจิ้งถ้าเป็นเพราะว่าฉัน….”
“ไม่ใช่เพราะนาย” เวินจิ้งรีบพูดตัดประโยคที่เจียงฉีจะพูดในทันที
“เจียงฉีไม่เกี่ยวอะไรกับนายเลย” เวินจิ้งพูดเสียงเบา
เมื่อคิดถึงประโยคที่มู่วี่สิงถามตอนบ่ายเธอก็รู้สึกเสียใจ
เขาบอกว่าเขาเสียใจ
หัวใจของเวินจิ้งบีบแน่น
เมื่อมาถึงห้องทำงาน โจวหย่าน ก็เดินออกมาจากข้างใน ในมือของเธอถือกล่องข้าวสีชมพูดออกมาด้วยหนึ่งกล่อง
แต่ว่าในกล่องอาหารกลับว่างเปล่า
“เมื่อกี้ฉันกินข้าวกับหมอมู่ ตอนนี้คาดว่าเขาน่าจะต้องพักผ่อนแล้ว เธอย่ามารบกวนเขาเลย” น้ำเสียงของ โจวหย่านเต็มไปด้วยความยิ่งยโส
“ฉันไม่ได้มารบกวนเขา” เวินจิ้งพูดออกมาหนึ่งประโยคแล้วก็ไม่สนใจ โจวหย่าน อีกก่อนจะดันประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
แต่บนโต๊ะทำงานของมู่วี่สิงกลับมีกล่องอาหารลักษณะเดียวกับที่โจวหย่าน ถือออกไปเมื่อสักครู่ เพียงแต่ว่าเป็นสีฟ้าเท่านั้น
ในกล่องอาหารนั้นว่างเปล่า แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขากินข้าวเสร็จแล้ว
ใบหน้าของเวินจิ้งมืดลงมาทันที
“ฉันมารายงาน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“อืม อีกครึ่งชั่วโมงค่อยมารายงาน พวกนี้เอาไปดูด้วย” มู่วี่สิงยังคงไม่มองเธอเหมือนเดิม
เวินจิ้งรับเอกสารเสร็จก็เดินออกไป จริงๆแล้วเธอมีห้องพักของตนเอง แต่ตอนนี้เธอยังไม่อยากกลับไป เธออยากหาคนคุยด้วยสักคนหนึ่ง
เธอเดินผ่านห้องของเจียงฉี เธอจึงเดินเข้าไป
“ฉันไม่ได้มารบกวนเวลาพักผ่อนนายใช่ไหม” เวินจิ้งมองเจียงฉีที่เกือบจะหลับอยู่แล้ว
“แน่นอนว่าไม่ เธอมาอยู่เป็นเพื่อนฉันรู้สึกดีมาก ฉันอยู่คนเดียวเบื่อมาก” เจียงฉียิ้ม
เวินจิ้งรู้สึกสบายใจไม่น้อยที่ได้คุยกับเจียงฉีสักครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นว่าผ่านมานานแล้ว
ตอนบ่ายมู่วี่สิงอยู่รักษาที่โรงพยาบาลหนานเฉิง เวินจิ้งรู้สึกไม่ค่อยชินกับความกดดันในงานประเภทนี้ และตอนนี้มู่วี่สิงก็ไม่ได้ดูแลเธอดีอย่างเมื่อก่อน
เวินจิ้งรู้สึกได้
ถ้าเป็นเมื่อก่อน มู่วี่สิงจะดูแลเธอเป็นอย่างดี
เธอหลุบตาลงด้วยสีหน้าซีดเผือด
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มู่วี่สิงทำการรักษาหลังจากที่ลาออกจากโรงพยาบาล ดังนั้นจึงมีข่าวกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงจะมีคนไข้ไม่มากนักแต่มีแฟนคลับอย่างมากมาย
หลังจากที่ตรวจมาทั้งบ่าย และรู้ว่ามู่วี่สิงไม่รับของขวัญ แต่ตรงทางเดินก็มีของขวัญทั้งเล็กใหญ่มากมายไปหมด
เวินจิ้งปวดหัวขึ้นมาทันที เพิ่งจะย้ายกล่องของขวัญกล่องหนึ่งเสร็จ ก็มีจดหมายตกลงมาที่ข้างๆเท้าของเธอ
ตรงหน้าปกมีภาพที่เป็นรูปวาดด้วยมือสีฟ้าอ่อนคล้ายกับภาพของมู่วี่สิงมาก
คุณหมอมู่ ฉันชอบคุณมาหลายปีแล้ว และจะชอบคุณตลอดไป
เวินจิ้งตะลึง จริงๆแล้วแฟนคลับประเภทนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ในตอนนี้เวินจิ้งอดที่จะรู้สึกมีปฏิกิริยาตอบสนองไม่ได้
ผู้ชายที่เธอชอบก็มีผู้หญิงมากมายชอบเหมือนกัน
เธอแอบหึงในใจไม่น้อย
ทันใดนั้นมู่วี่สิงที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่ตอนไหนก็ได้เห็นจดหมายในมือของเธอ
เขายกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเย็นชา ก่อนจะหยิบจดหมายนั้นขึ้นมาเก็บไว้ในกระเป๋า
“ของขวัญพวกนี้บริจาคให้หมด ส่วนจดหมายเอามาให้ผม”
“ทำไม คุณจะตอบผู้หญิงพวกนั้นหรอ” เวินจิ้งถามเสียงเย็น
“ใช่ เป็นอย่างนั้นแหละ”
เวินจิ้งโมโหแล้วจึงยื่นมือออกไปเพื่อคว้าจดหมายรักจากมู่วี่สิง แต่ก็ไม่สำเร็จ เป็นเธอเองที่ดันตกไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา
เขากอดเธอไว้แน่น
ลมหายใจของผู้ชายที่คุ้นเคยดังอยู่ข้างหูของเธอ ทำให้เธอทั้งสดชื่นและมึนเมา