บทที่ 526 เธอเข้ามาเปลี่ยนแปลงผม
เวินจิ้งกัดริมฝีปาก ไม่อยากทะเลาะกับมู่วี่สิงเพราะเรื่องของหลิงเหยาเลย
หรือว่า อาทิตย์นี้เธอควรกลับไปอยู่ที่ตระกูลหลิน แล้วพาหลิงเหยาไปอยู่กับเธอที่นั่นด้วยดีไหม
“งั้นฉันพาหลิงเหยาไปอยู่ที่ตระกูลหลินก็ได้”
“อยู่ที่การ์เด้นมู่เจียวานนี่แหละ” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว
ได้ยินแบบนั้น เวินจิ้งก็นิ่งไป เมื่อมองใบหน้าหล่อเขาที่ยังคงเครียดเขม็งของมู่วี่สิง ก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังประนีประนอมให้
เธอจึงคล้องแขนของเขาเอาไว้อย่างออดอ้อน “รู้อยู่แล้วล่ะว่าคุณมู่น่ะใจดีที่สุดเลย”
สีหน้าของมู่วี่สิงอ่อนลงเล็กน้อย แต่ระหว่างคิ้วก็ยังคงมีความเคร่งขรึมอยู่ตลอด
ช่วงใกล้ค่ำก็ได้เวลาเลิกคลาส เนื่องจากมีคนใช้อยู่ที่การ์เด้นมู่เจียวานด้วย ดังนั้นตอนเวินจิ้งกลับมาจึงเห็นว่าคนใช้เตรียมอาหารเย็นไว้ให้แล้ว ด้านมู่วี่สิงคืนนี้มีผ่าตัด เกรงว่าคงกลับมาตอนดึกๆ
หลิงเหยานั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา แต่ทว่าสายตาของเธอกลับไม่มีจุดโฟกัสเลย ราวกับว่าไม่ได้มองเนื้อหาในทีวีอย่างไรอย่างนั้น
เวินจิ้งเดินเข้าไปหาอย่างเป็นห่วง “เหยาเหยา”
เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นมา หลิงเหยาก็เปลี่ยนสีหน้า ใบหน้าของเธอดูซีดขาวมาก สภาพทางจิตใจดูแย่ยิ่งกว่าเดิม
และในตอนนี้เอง ที่โทรศัพท์ของหลิงเหยาดังขึ้น เป็นเจียงฉีที่โทรมา
ช่วงนี้เจียงฉีตามหาหลิงเหยาอยู่ตลอดอย่างไม่ยอมลดละ เพียงแต่ว่าหลิงเหยาไม่เคยรับโทรศัพท์ของเขาเลย
เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เธอก็กดบล็อกเบอร์ของเจียงฉีในทันที ด้วยท่าทางนิ่งๆ
“แกกับเจียงฉี เลิกกันจริงๆเหรอ?”
“อืม เลิกแล้ว” หลิงเหยาพูดอย่างไม่ยี่หระ
ตอนแรกหลิงเหยารักเจียงฉีมากแค่ไหน เธอเห็นอยู่กับตา
ดังนั้นพอได้มาเห็นเพื่อนมีท่าทีสงบแบบนี้ เธอจึงแปลกใจมาก
แล้วที่ไปเมาอยู่ที่ร้านเหล้าเมื่อวาน ตกลงเธอไปเพราะของเรื่องเจียงฉี หรือเพราะเด็กที่จากไปอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่กันแน่?
ตอนนี้เวินจิ้งเดาอะไรไม่ออกเลย
หลิงเหยาในตอนนี้ มักจะทำให้เธอมีความรู้สึกราวกับเป็นคนแปลกหน้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ตอนที่รู้ว่าท้องเด็กคนนั้น ฉันก็ไม่ได้รักเขาอีกต่อไปแล้ว ฉันก็เลยไม่อยากเก็บเด็กคนนั้นเอาไว้”
เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของเวินจิ้ง หลิงเหยาก็ยิ้มออกมาอย่างซีดเซียว “แกคงคิดว่าฉันไร้หัวใจใช่ไหม?”
“เปล่านะ เพียงแต่ว่า ถึงยังไงมันก็ชีวิตของคนคนหนึ่งเลยนะ แต่เขาก็มาผิดเวลาด้วยแหละ” เวินจิ้งพูดพึมพำ
“ใช่ ถึงยังไงมันก็ชีวิตของคนคนหนึ่ง” หลิงเหยาพูดเสียงหนัก ความหดหู่ระหว่างหัวคิ้วยิ่งแพร่กระจายไปกว้าง
“เรื่องนี้ที่บ้านยังไม่รู้ พี่ชายของฉันช่วยปิดมันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ฉันคงไม่ได้อยู่ที่เมืองหนานเฉิงหรอก” เดิมทีบ้านหลิงก็ไม่ชอบขี้หน้าเจียงฉีสักเท่าไหร่ ถ้าหากรู้ว่าหลิงเหยาท้องลูกของเขา คงไม่ใช่แค่เจียงฉีถูกทำลาย แม้แต่ตัวเองหลิงเหยาเองก็อาจจะไม่ได้อยู่ที่เมืองหนานเฉิงอีกต่อไป
“ในวันหน้าเวลาไปมหาลัย ยังไงแกก็เลี่ยงเจอเจียงฉีไม่ได้หรอก แทนที่จะเอาแต่หลบหน้าเขา ไปพูดกันให้เคลียร์จะไม่ดีกว่าเหรอ” เวินจิ้งพูดโน้มน้าว
“ฉันก็ว่าฉันพูดเคลียร์แล้วนะ เขาจะไม่เชื่อก็ช่าง ฉันไม่เหมือนเดิมแล้ว หรือบางที ฉันอาจจะไม่ได้ชอบเขามาตั้งแต่แรกก็ได้” หลิงเหยาหลุบตาลง เธอเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ในดวงตา
เวินจิ้งนิ่งไป เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกสะเทือนใจไปด้วย
แต่ในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของหลิงเหยา เธอก็จะเคารพมัน
“อนาคตมันต้องดีขึ้นแน่ๆ”
“อืม มันต้องดีขึ้น ฉันจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของฉัน กลับคืนมาให้ได้” น้ำเสียงของหลิงเหยาปะปนไปด้วยความเยือกเย็น
กลางดึก เวินจิ้งนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องรับแขก พร้อมทั้งรอมู่วี่สิงไปด้วย
หลิงเหยาสวมใส่ชุดนอนแบบเดรสเดินออกมานั่งลงข้างๆเวินจิ้ง
“มู่วี่สิงยังไม่กลับมาเหรอ?”
“อืม น่าจะใกล้กลับมาแล้วล่ะ”
“มู่วี่สิงก็อยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์กลาง แกไม่ได้ฝึกงานกับเขาเหรอ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอาจารย์ที่ปรึกษาของฉันต้องเป็นโจวเซินด้วย” เวินจิ้งรำคาญสุดๆ
นอกจากวิชาทฤษฎีแล้ว เธอก็ยังต้องทำงานร่วมกับโจวเซินที่โรงพยาบาลอีกด้วย
พูดจบ โจวเซินก็ส่งวีแชทมาหาเธอ แต่ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว เวินจิ้งไม่คิดจะเปิดอ่านหรอก
หลิงเหยาแลตามอง “โจวเซินคงกำลังจีบแกอยู่สินะ”
“เปล่านะ” เวินจิ้งขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกรำคาญใจยิ่งกว่าเดิม
“เออ ไหนๆตอนนี้แกก็ยังไม่ได้แต่งงานกับมู่วี่สิงใหม่อีกรอบ ก็ลองทำความรู้จักกับโจวเซินไว้เยอะๆสิ ผู้หญิงอย่างเราเนี่ยนะ เวลาเลือกคู่ชีวิตต้องรอบคอบเข้าไว้ อย่างการแต่งงานสายฟ้าแลบของแกกับมู่วี่สิงเหมือนที่ผ่านมาน่ะ มันไม่เวิร์คหรอก”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว “แต่ว่า ฉันก็ยังยินดีกับการตัดสินใจของฉันในตอนนั้นนะ ฉันไม่เคยเสียใจที่ได้แต่งงานกับมู่วี่สิงเลยสักนิด”
อย่างน้อย เธอก็ไม่ได้เสียเขาไป
อีกอย่างตอนนี้เธอเองก็มั่นใจ ว่าในอนาคตเธอและเขาต้องได้แต่งงานกันอีกครั้ง และได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
“โจวเซินก็ถือเป็นคนเก่งคนหนึ่งเลยนะ เขาก็ไม่น่าจะด้อยกว่ามู่วี่สิงสักเท่าไหร่หรอก เพราะแกเป็นเพื่อนฉันหรอกนะฉันถึงได้บอกแก เวินจิ้ง แกต้องทำความเข้าใจผู้ชายคนนี้ให้ดีเสียก่อน ถึงจะไปเข้าพิธีแต่งงานกับเขาได้” หลิงเหยาพูดออกมาอย่างมีความหมาย
“แกลองคิดดูนะ ว่าแกรู้จักมู่วี่สิงจริงๆหรือยัง? รู้เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาของเขาทั้งหมดหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เวินจิ้งก็ขมวดคิ้ว เธอรู้จักกับมู่วี่สิงได้สองปีแล้ว ยังไงเธอก็ต้องเข้าใจมู่วี่สิงดีอยู่แล้ว
คำพูดของหลิงเหยาดังอยู่ในหู จนเวินจิ้งนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น
จนกระทั่งมู่วี่สิงกลับมา เวินจิ้งถึงได้เงยหน้าขึ้นไปมองเขา เธอคิดว่าตัวเองรู้จักมู่วี่สิงดี
“กลับมาแล้วเหรอ” เธอวิ่งเข้าไปหา แล้วกระโดดเกาะมู่วี่สิงเอาไว้เหมือนหมีโคอาล่าเกาะต้นไม้
ชายหนุ่มไม่สามารถปกปิดความเหนื่อยล้าบนใบหน้าเอาไว้ได้ เขากอดเวินจิ้งเอาไว้ แล้วจึงพบว่าเธอไม่ใส่รองเท้าแตะ
เขาทำหน้าบึ้ง จากนั้นก็อุ้มเธอไปนั่งบนโซฟา หยิบเอารองเท้าแตะมา แล้วโค้งตัวลงไปสวมให้กับเธอ
“มู่วี่สิง มันมีพรมอยู่ไม่ใช่เหรอ” เวินจิ้งพึมพำ
“ถึงจะมีพรมแต่เท้าก็เย็นได้” มู่วี่สิงโต้กลับอย่างไม่ยอม
“มู่วี่สิง คุณมีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้บอกฉันไหม” เวินจิ้งมองชายหนุ่มรูปหล่อข้างๆอย่างตาไม่กะพริบ
เธอไม่ได้สงสัยอะไรเขา ก็แค่อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมู่วี่สิงให้มากขึ้นกว่านี้
คิดไปคิดมา เธอก็ยังไม่รู้เลยว่าวัยเด็กของเขาเป็นยังไงบ้าง
“คุณอยากรู้อะไรล่ะ”
“อืม อย่างเช่นวัยเด็กของคุณ……”
“ผมใช้ชีวิตวัยเด็กที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า” เสียงของมู่วี่สิงเรียบนิ่ง
“อะไรนะ สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าเหรอ? คุณไม่ได้อยู่ตระกูลมู่เหรอ?”
เรื่องนี้ทำเวินจิ้งเซอร์ไพรส์ขั้นสุด
“ตอนเป็นเด็กแม่ของผมกลัวว่าผมจะเดือดร้อน เพราะงั้นตอนเกิดได้ไม่นานผมก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศ แต่ต่อมาก็คิดว่าสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าปลอดภัยที่สุดแล้ว ผมก็เลยอยู่ที่นั่นประมาณห้าปีได้”
เวินจิ้งสะเทือนใจเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนพ่อเคยทำงานที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า ดังนั้นเธอเลยได้ไปที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าบ่อยๆ
เด็กๆที่อยู่สถานสงเคราะห์ ต่างก็มีนิสัยขาดความอบอุ่นอย่างไม่อาจลีกเลี่ยงได้ และก็เข้ากับเด็กคนอื่นๆรอบกายได้ยากมากๆ
ในความทรงจำ เธอยังจำเด็กผู้ชายที่ชอบสันโดษคนนั้นได้ เด็กคนนั้นหน้าตาดี แต่มักจะอยู่คนเดียวตลอด ทั้งยังชอบหายตัวไปบ่อยๆ จนทำให้คุณพ่อปวดหัวอยู่หลายครั้ง
แต่ในทุกครั้ง เธอก็จะเป็นคนที่หาเด็กคนนั้นเจอ
เพียงแต่ว่าหลังจากนั้น เขาก็ถูกรับไป ทั้งสองจึงขาดการติดต่อกัน
“ตอนนั้น คุณมีความสุขไหม?” เวินจิ้งถามขึ้นมาอย่างสงสาร
“มีสิ” มู่วี่สิงพูดขึ้นมา มุมปากพกพารอยยิ้มมาด้วย
เพราะมีความทรงจำอะไรดีๆหรือเปล่า?
“งั้นก็ดีแล้ว เมื่อก่อนฉันเคยสนิทกับพวกเด็กๆที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ละคนเอาแต่ทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอดเลย” เวินจิ้งถอนหายใจออกมา
อีกอย่างพวกเด็กๆจะชอบทำตัวให้ดูน่าสงสาร เพื่อที่ตัวเองจะได้ถูกรับไปเลี้ยงในครอบครัวที่มีฐานะดี เด็กอายุน้อยขนาดนั้นแต่กลับแก่แดดได้ถึงขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยจริงๆ
“งั้นเหรอ? เมื่อก่อนผมก็แบบนั้นแหละ ไม่ยิ้มไม่หัวเราะ แต่ว่ากลับมีคนคนหนึ่ง เธอเข้ามาเปลี่ยนแปลงผม” สายตาของมู่วี่สิงทอดมองเวินจิ้ง นัยน์ตาแฝงไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง ที่แทบจะล้นออกมา