บทที่ 522 เราเลิกกันเถอะ
การแข่งขันมีทั้งหมดสองรอบ ใช้เวลาต่อเนื่องกันคร่าวๆสามชั่วโมง
สถานที่จัดการแข่งขันคือห้องประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย ภายในสถานที่แข่งมีนักศึกษาที่เข้าร่วมชมการแข่งขันนั่งอยู่เต็ม
เมื่อเห็นว่ามีผู้ชมเยอะขนาดนี้ เวินจิ้งก็กำฝ่ามือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อแน่นโดยอัตโนมัติ
โจวเซินอยู่ข้างๆเธอ อารมณ์ห่วงใยล้นออกมาจากดวงตา
“เวินจิ้ง คุณทำได้” เสียงพูดให้กำลังใจของเขาดังขึ้นอยู่ข้างๆเธอ
เวินจิ้งเงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วพยักหน้าให้เบาๆ เมื่อหาที่นั่งของตัวเองเจอ ก็มองไปยังเหล่านักศึกษาที่อยู่ข้างล่างเวที สายตาของเธอกลับหยุดอยู่ตรงตำแหน่งแถบๆทางซ้าย
ทั้งๆที่ระยะห่างห่างกันถึงขนาดนี้ แต่แค่มองไปเพียงแวบเดียวเธอก็เห็นชายหนุ่มรูปหล่อที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวได้อย่างชัดเจน โครงหน้าที่สมบูรณ์แบบช่างเหมือนกับภาพสเก็ตช์ของพระเจ้า โดดเด่นเกินกว่าใคร
เมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเขา อารมณ์ของเวินจิ้งก็สงบลงอย่างแปลกประหลาด
เมื่อโจวเซินมองตามสายตาของเวินจิ้งไป ก็มองเห็นมู่วี่สิง ความเยือกเย็นในดวงตาก็ปรากฏออกมา
การแข่งขันโต้วาทีเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะรู้ว่ามู่วี่สิงอยู่ที่นี่ เวินจิ้งถึงได้พูดออกมาได้เป็นอย่างดี การแข่งขันรอบแรกดำเนินไปอย่างราบรื่น ต่อไปจะเป็นการแข่งขันรอบที่สอง มีเวลาให้พักครึ่งชั่วโมง
เวินจิ้งลงจากเวที แล้วมองไปยังทิศทางของมู่วี่สิง ถ้าเดินไปหา ต้องยุ่งยากมากแน่ๆ คงทำได้แค่รอให้การแข่งขันสิ้นสุดลงอย่างเดียวแล้วล่ะ
ในตอนนี้เอง ที่โจวเซินเดินเข้ามา “หลิงเหยาผ่าตัดเสร็จแล้วนะ”
“เธอเป็นยังไงบ้าง?” เวินจิ้งรีบเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“รอให้การแข่งขันจบก่อน แล้วคุณค่อยไปเยี่ยมเธอก็แล้วกัน” โจวเซินไม่ได้พูดอะไรต่อ
แต่เมื่อเวินจิ้งได้ยินน้ำเสียงของเขา ก็พอจะเข้าใจได้
เด็กคงไม่อยู่แล้ว
ร่างกายของเธอสั่นขึ้นมานิดหน่อย ใบหน้าก็เริ่มซีดขาว
แต่ถ้านี่คือสิ่งที่หลิงเหยาเลือกแล้ว เธอก็จะเคารพการตัดสินใจของเพื่อน
ต่อมาการแข่งขันก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง เวินจิ้งปรับอารมณ์ให้ดี พยายามแสดงออกไปด้วยท่าทางที่ดีที่สุด
เพียงแต่ว่า ศักยภาพของทีมฝ่ายตรงข้ามก็แข็งแกร่งพอๆกัน การแข่งขันโต้วาทีจึงยืดเยื้ออยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายก็เป็นโจวเซินที่โต้ความคิดเห็นข้อสุดท้ายกลับไปจนได้รับชัยชนะมา
เวินจิ้งค่อนข้างจะประหลาดใจ ตอนแรกเหมือนทีมของฝ่ายตรงข้ามจะกุมชัยชนะเอาไว้ในมือแล้วซะอีก แต่โจวเซินกลับพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ได้ ชัยชนะในการแข่งขันโต้วาทีจึงได้มาอย่างกะทันหันเช่นนี้
“รุ่นพี่โจว คุณเก่งสุดๆไปเลย!” เพื่อนนักศึกษาค่อยๆทยอยเข้ามายกนิ้วโป้งให้กับโจวเซิน
การแข่งขันในครั้งนี้ โจวเซินได้ทำความดีงามครั้งใหญ่เอาไว้
เวินจิ้งจึงกล่าวชื่นชมเขา แต่สำหรับโจวเซินแล้ว ท่าทีของเธอก็ยังคงดูไม่แยแสเขาเหมือนเดิม หลังจากรับรางวัลเสร็จ เธอก็รีบตรงไปที่โรงพยาบาลอย่างอดรนทนรอไม่ไหว
ตอนที่กำลังเดินอยู่บนถนนเธอก็โทรหามู่วี่สิง คิดไม่ถึงว่าเขาจะขับรถมาด้วย
เมื่อเวินจิ้งนั่งประจำบนเบาะข้างคนขับ ก็พูดขึ้นว่า “หลิงเหยาอยู่ที่โรงพยาบาล พวกเรารีบไปกันเถอะ”
“อืม” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว
“เธอคงไม่เป็นอันตรายอะไรแล้วใช่ไหม?” เวินจิ้งถามกระวนกระวาย
มู่วี่สิงเพิ่งจะได้รู้เรื่องนี้ เพราะมู่ซือซือเป็นคนบอกเขาให้เขาเตรียมหมอไว้ให้
แต่โจวเซินส่งหมอไปก่อนหน้านั้นแล้ว
“ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่หลังจากผ่าตัดทำแท้ง คงต้องใช้เวลาฟื้นตัวอย่างน้อยครึ่งเดือน”
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล มู่วี่สิงก็พาเวินจิ้งไปยังห้องพักผู้ป่วย แต่เขาเลือกยืนรออยู่หน้าประตู
มู่ซือซือก็มาถึงที่นี่แล้ว กำลังนั่งเฝ้าหลิงเหยาอยู่ ด้านหลิงเหยาก็ไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้
เวินจิ้งเดินเข้าไปใกล้ๆ เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของหลิงเหยา ก็รู้สึกสงสารขึ้นมา
“พวกแกกลับไปเถอะ ไม่ต้องมาปลอบใจฉันหรอก ฉันไม่เป็นอะไร” หลิงเหยายิ้มออกมาอย่างฝืนๆ
“เหยาเหยา ทำไมแกต้องทำแบบนี้…….” มู่ซือซือร้องไห้ จนตาแดงไปหมดแล้ว
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลิงเหยาก็หลุบตาลง หางตาเหลือบมองไปทางมู่วี่สิงที่อยู่ข้างนอกโดยอัตโนมัติ
“ฉันยังเรียนอยู่ แล้วจะมีลูกได้ยังไง”
“แต่ว่า…ถ้าท้องก็ยังสามารถเรียนต่อได้นะ”
“ฉันต้องอยู่ที่โรงพยาบาลประจำ ตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงฝึกงาน มีลูกคงไม่สะดวกเท่าไหร่ พวกแกวางใจเถอะ ฉันรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร”
ตอนนี้ดึกมากแล้ว มู่ซือซือกับเวินจิ้งจึงไม่ได้อยู่ค้างนาน เจียงฉีไม่ได้มาหาเพราะกำลังโกรธ แต่มู่ซือซือก็โทรไปหาเขา
เรื่องที่หลิงเหยาท้องจนถึงแท้ง เจียงฉีถูกเธอปิดบังเอาไว้ทั้งหมด แบบนี้แล้วเขาจะโกรธไม่ได้เลยเหหรอ?
แต่สุดท้ายก็ใจอ่อน เขาไม่ได้ไปไหนเลย แค่นั่งรออยู่ชั้นหนึ่งของโรงพยาบาล
จนกระทั่งถึงช่วงฟ้าใกล้สาง เจียงฉีถึงได้ขึ้นไป
หลิงเหยาไม่ได้นอน นัยน์ตาไร้ชีวิตชีวามองออกไปนอกหน้าต่าง ขนาดเจียงฉีเข้ามาในห้องแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
“เหยาเหยา” เมื่อเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาที่ข้างหู
หลิงเหยาถึงได้ค่อยๆหันกลับมา
ใบหน้าของเธอไม่มีความรู้สึกใดๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่เวลาเธอได้เจอเจียงฉีเธอมักจะเผยรอยยิ้มสดใสออกมา
“คุณไม่ต้องการลูกของเราขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสียงของเจียงฉีสั่นๆเหมือนจะร้องไห้
เด็กคนนั้น ไม่ได้ผิดอะไรเลย
“ใช่” หลิงเหยาพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว
เจียงฉีเบิกตากว้าง ใบหน้าปกคลุมไปด้วยความหม่นหมอง
เขากำหมัดแน่น แล้วเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าว ในดวงตาแดงฉานไปหมด
แต่หลิงเหยากลับทำเหมือนไม่เห็น ถึงขนาดที่เขาเข้ามาใกล้ ก็ยังทำแค่ผลักเขาออก
“เจียงฉี เราเลิกกันเถอะ” ประโยคนี้ถูกพูดออกมาจากปากของเธอ อย่างเรียบนิ่ง
“คุณว่าอะไรนะ?”
“ฉันพูดว่า เราเลิกกันเถอะ” น้ำเสียงและท่าทางของหลิงเหยาดูเย็นชาถึงขั้นสุด
เจียงฉีเนื้อตัวสั่น แทบจะสะเทือนไปทั้งตัว
“ผมไม่ยอม!” เจียงฉีตะคอกออกมา กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดผุดขึ้นมา
หลิงเหยานอนหันหลังให้ ไม่สนใจชายหนุ่มที่หัวใจกำลังแตกสลายอยู่ข้างหลัง
เมื่อหลับตาลง หยดน้ำตาก็ค่อยๆกลิ้งลงมาจากหางตาของเธอช้าๆ
ผ่านไปพักใหญ่ เสียงฝีเท้าของคนเบื้องหลังก็ค่อยๆไกลออกไป หลิงเหยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็คลำหาโทรศัพท์แล้วต่อสายหาพี่ชาย
“พี่คะ ฉันจำเรื่องในอดีตได้แล้ว พี่อย่าโกหกฉันอีกเลย”
……
เวินจิ้งไม่สบายใจเรื่องของหลิงเหยาเลยสักนิด เมื่อเข้ามานั่งในรถก็เอาแต่บอกไม่ให้มู่วี่สิงออกรถไปไหน
จนกระทั่งเห็นเจียงฉีเดินออกมาอย่างหมดกำลังใจ เธอถึงได้เปิดประตูรถลงไป
“เจียงฉี หลิงเหยาเป็นยังไงบ้าง?”
“ผมไม่รู้ เราเลิกกันแล้ว”
“เลิกเหรอ?” เวินจิ้งนิ่งอึ้ง ช่วงที่ผ่านมาหลิงเหยากับเจียงฉีก็ดูรักกันดีมาตลอด แต่ตอนนี้ต้องมาเลิกกันเพราะเรื่องลูกงั้นเหรอ?
“คุณเป็นคนบอกเลิกหรือเปล่า?” สีหน้าของเวินจิ้งขุ่นมัวลง
“เปล่า เหยาเหยาเป็นคนบอกเอง เธอ….เธออยากเลิกกับผม!” พูดจบ เจียงฉีก็เกินจากไปอย่างเยือกเย็น
เมื่อเวินจิ้งกลับเข้ามาในรถ เสียงของมู่วี่สิงที่อยู่ข้างๆก็ดังขึ้นมา “พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ”
“รบกวนคุณแย่” เวินจิ้งถอนหายใจออกมา
พรุ่งนี้มีเรียน แต่เธอก็ลาไว้แล้วล่ะ ตอนเช้ามาเยี่ยมหลิงเหยาแล้วค่อยกลับไปเรียนก็แล้วกัน
“คุณไม่ต้องกังวลเรื่องของหลิงเหยาขนาดนั้นก็ได้ เข้าใจไหม?” มู่วี่สิงพูดเสียงเข้ม
“เธอเป็นเพื่อนฉันนะ ฉันจะไม่กังวลเรื่องของเธอได้ยังไงกัน!” เวินจิ้งพึมพำเสียงเบา
“หลายเรื่อง ก็เป็นเธอที่หาเรื่องใส่ตัวเองทั้งนั้น” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว
“มู่วี่สิง คุณหมายความว่ายังไง?” เวินจิ้งมองเขางุนงง
แต่มู่วี่สิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เวินจิ้งกลับรู้สึกว่าท่าทีของมู่วี่สิงดูแปลกๆไป
แต่เมื่อความง่วงเข้ามาจู่โจม สมองของเธอเริ่มจะไม่รับรู้อะไรแล้ว คิดอะไรไม่ออกแล้วเหมือนกัน
วันรุ่งขึ้น มู่วี่สิงมาส่งเธอที่โรงพยาบาล “คุณกลับไปที่โรงพยาบาลเถอะ เดี๋ยวอีกสักหน่อยฉันกลับไปมหาลัยเอง”
เวินจิ้งไม่อยากให้มันกระทบกับงานของมู่วี่สิง
“ผมจะรอคุณ”
เวินจิ้งรู้ว่าคงแย้งเขาไม่ได้ จึงรีบไปที่ห้องพักผู้ป่วย
ในตอนนี้เอง ที่โทรศัพท์ของมู่วี่สิงส่งเสียงขึ้นมา เมื่อเห็นเป็นสายจากหลิงอี้ เขาจึงมุ่นคิ้วน้อยๆ
“มู่วี่สิง อยู่ให้ห่างจากน้องสาวผมนะ!”