บทที่ 439 ฉันคือสามีในอนาคตของเธอ
วินาทีถัดมา มู่เหิงทั้งร่างนั้นราวกับไม่มีแรงยืน ล้มลงบนโซฟา มือสั่นเทาก็ชี้หน้ามู่เหิง
มู่เหิงก็ตกใจ มันไปกระทบต่อสภาพจิตใจของปู่ เขาก็รีบเขาไปพยุงคุณปู่ทันที คนรับใช้ก็รีบวิ่งไปเอายามาทันที พอกินยา อารมณ์ของคุณปู่ก็เหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย
“คนที่จะสืบทอดบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป มีแค่มู่วี่สิง!” มู่เฉิงอาการดีขึ้นเล็กน้อย พูดเสียงดังฟังชัด
“คุณปู่ ปู่ก็รู้ดีว่าคุณทวดออกกฎของผู้สืบทอดบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปไว้ตั้งนานแล้ว จะเปลี่ยนไม่ได้”
“ทวดของแกไม่อยู่ ตอนนี้ฉันมีสิทธิ์เปลี่ยน!”
มู่เหิงกัดปาก ความโกรธภายในตาก็ลอยขึ้นมา
“คุณปู่ ดูเหมือนว่าปู่จะไม่สนใจใยดีผมกับคุณพ่อแล้วจริงๆ ”
“หลายปีที่ผ่านมาเรื่องที่พวกแกสองคนทำล้วนอยู่ในสายตาฉัน!ตระกูลมู่ถูกพวกแกทำเละเทะ แกยังจะกล้าพูด!” มู่เฉิงกระแทกไม้เท้าลงอย่างแรง
“ถ้าหากคุณปู่ทำตามธรรมเนียมเดิมให้ผมสืบทอดบริษัทต่อไป ก็คงไม่เกิดเรื่องพวกนี้” มู่เหิงบ่น
“ออกไปซะ” มู่เฉิงโกรธ จนไม่อยากจะพูดต่อ
มู่วี่สิงก็กลับมาพอดี ก็มีอีกเรื่องนึง
ใครก็ไม่สนใจ มู่เหิงเดินขึ้นชั้นบนไปเอง
เพราะว่าเมื่อก่อนมู่วี่สิงไม่ยอมลาออกจากโรงพยาบาล ทำให้มู่เฉิงยังโกรธอยู่ถึงทุกวันนี้
“ไอ้น้อง งานเลี้ยงวันนั้นกลับซะเร็ว งานสนุกมั้ย?” มู่เหิงเดินเข้ามา
“นายอยากจะแสดงให้คนภายนอกว่าความสัมพันธ์ในตระกูลมู่ของพวกเรานั้นแน่นแฟ้น ฉันก็ร่วมมือด้วยแล้ว” มู่วี่สิงไม่ได้ตอบคำถามของเขา
มู่เหิงคิด เขารู้ดีทุกอย่าง
“เหอะๆ ไอ้น้องชายนี่ฉลาดดี สถานการณ์ของมู่ซื่อกรุ๊ปตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีสินะ พ่อไม่ได้ออกมาวันนึง ชื่อเสียงก็ยิ่งตกต่ำนะ”
ยังไงมู่เฟิงก็เป็นคนตระกูลมู่ เขาเกิดเรื่อง บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปก็ต้องได้รับผลกระทบ อีกอย่างตอนนี้คำสารภาพของมู่เฟิงก็ชี้ไปที่การยักยอกเงินของมู่วี่สิง สถานการณ์ของมู่ซื่อกรุ๊ปเลยยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก
“นายอยากจะช่วยมู่เฟิง นายก็ไปรับผิดเอง” มู่วี่สิงยังคงทำหน้านิ่ง
“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับฉันนี่ อีกอย่างไอ้น้องชาย นายคงจะต้องระวังให้มากๆ นะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนที่เข้าไปอาจจะเป็นนาย” มู่เหิงพูดอย่างเยือกเย็น
มู่วี่สิงหรี่ตา ในตานั้นเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งจะเกาะ
ตกเย็น มู่วี่สิงไปประชุมที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป
ประชุมเสร็จก็มืดแล้ว เกาเซียนยังมีเรื่องอีกมากจะรายงาน
“คุณมู่ เกี่ยวกับเรื่องที่มู่เฟิงให้ร้ายว่าคุณยักยอกเงิน ผมได้ให้หลักฐานกับสถานีตำรวจไปแล้ว พรุ่งนี้จะยื่นให้ทนาย”
มู่วี่สิงออกคำสั่ง “พรุ่งนี้ควบคุมการออกความเห็นด้วย มู่เหิงคงไม่ปล่อยไปเฉยๆ แน่”
ที่ชั้นหนึ่ง
เวินจิ้งลงจากรถ มองไปที่สถาปัตย์กรรมตึกสูงระฟ้า ถึงแม้จะมืดแล้ว แต่ว่าทั้งตึกก็ยังคงเปิดไฟสว่างอยู่
ตอนกลางวันนัดหลิงเหยาไปกินข้าว แถวๆ ตึกบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป เวินจิ้งเลยมาเสี่ยงโชค ดูว่าจะได้เจอกับมู่วี่สิงรึเปล่า
แต่ว่าวันนี้เขาพามู่ซือซือไปที่ศาล กลัวว่าตอนนี้อาจจะยังอยู่ที่บ้านเก่า
พอคิดแบบนี้ เวินจิ้งเลยถอยหลังออกมา
โทรไปหาเลยแล้วกัน
แต่แค่กดโทรออก ด้านหน้าก็มีเงาร่างโผล่มา และกลิ่นที่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก
งงอยู่สักพัก โทรศัพท์ก็โดนชายหนุ่มแย่งไป
“นี่!”
เงยหน้าขึ้น จ้องตาก็มู่วี่สิง เสียงก็หยุดชะงักไปอีกรอบ
“มาหาฉันเหรอ?” มู่วี่สิงมองเธอ
เวินจิ้งพยักหน้า “ฉันเพิ่งไปกินข้าวกับหลิงเหยามา”
“ฉันยังไม่ได้กินเลย” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว แล้วเอาโทรศัพท์ใส่ลงกระเป๋าของเธอ
“งั้นฉันพานายไปกิน” เวินจิ้งคล้องแขนของมู่วี่สิงก่อน
แต่พอนึกได้ว่าที่นี่มันบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป เลยรีบปล่อยมือทันที
แต่มู่วี่สิงก็ล็อกแขนของเธอไว้ เวินจิ้งโดนดึงเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
ผู้ร่วมงานที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องค่อยๆ จับจ้องมา เวินจิ้งก้มหน้า ไม่อายคนอื่นบ้างเลย……
“มู่วี่สิง ปล่อยฉัน”
ถึงแม้เธอจะมาทำงานที่บริษัทมู่ซื่อได้ไม่นาน แต่ก็พอมีเพื่อนร่วมงานที่รู้จักบ้าง
“เธอเป็นแฟนฉัน ทำไมฉันต้องปล่อย” มู่วี่สิงเริ่มจะไม่แฮปปี้เท่าไหร่นัก
“นายคือประธานมู่ไง!” เวินจิ้งย้ำ
เขาคือ……บุคคลที่มีตำแหน่งสูง
ตอนนี้เธอก็เป็นแค่เด็กที่ยังเรียนไม่จบ เธอไม่อยากจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของทั้งสอง
“ฉันเป็นสามีในอนาคตของเธอ”
พูดจบ มู่วี่สิงก็เดินเข้าไปในตึกสูงข้างหน้าเธอ
เดินมาจนถึงในลิฟต์ ดิ้นยังไงเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือ
จ้องไปที่เขาอย่างไม่พอใจนัก แต่ใครบางคนก็ยังคงทำหน้าเย็นชา
เขาโกรธแล้ว
แต่เธอก็โกรธอยู่เหมือนกัน
ทั้งสองไม่มีใครพูด จนถึงชั้นบนสุด มู่วี่สิงพาเวินจิ้งไปที่ห้องทำงาน จากนั้นก็ไปทำงานของตน
ตอนแรกเวินจิ้งอยากจะถามเขาว่าทำไมถึงรู้ว่าเธออยู่ด้านล่าง แต่เห็นสีหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงแล้ว เลยไม่ได้ถาม
นั่งลงบนโซฟา นึกขึ้นได้ว่ามู่วี่สิงยังไม่ได้กินข้าว เลยจะสั่งอาหารให้เขา
เธอรู้รสปากของมู่วี่สิง หลังจากที่เลือกแล้วก็เหลือแต่ร้านอาหารในโรงแรมที่มีระดับ กัดฟันสั่งสปาเกตตี เวินจิ้งเงยหน้า ภาพของมู่วี่สิงที่นั่งทำงานตึงเครียดก็เข้ามาในสายตาเธอ
พอนึกถึงการกระทำที่ก้าวร้าวของเขาเมื่อกี้ อารมณ์ก็ไม่ดีอีกครั้ง
อุณหภูมิในห้องทำงานกำลังดี โซฟาก็ทำจากหนังที่นำเข้าจากอิตาลี ทั้งนุ่มและสบาย บรรยากาศแบบนี้ แถมเพิ่งจะกินอิ่มเวินจิ้งเลยค่อยๆ โดนความง่วงเข้าครอบงำ
ง่วงจัง
หนังตาจะเบิกไม่ขึ้นแล้ว
ตอนที่มู่วี่สิงเงยหน้า ก็เห็นเวินจิ้งอยากจะลืมตาแต่ก็ลืมไม่ขึ้น
ปากบางก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย เขาหยิบชุดสูทด้านข้างแล้วเดินเข้าไป คลุมให้เวินจิ้งที่สวมเสื้อบางๆ
แล้วนั่งยองลงข้างเธอ ไม่ได้ขมวดคิ้วแต่อย่างใด
“จิ้งจิ้ง”
เธอหลับแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เวินจิ้งก็โดนเสียงเคาะประตูปลุกให้ตื่น แล้วลุกขึ้นนั่ง เสื้อสูทบนร่างเลยหล่นลงมา
เธอหยิบขึ้นมาแล้วไปเปิดประตูทันที เป็นเกาเซียนที่เอาอาหารมาส่ง
“คุณเวิน”
เวินจิ้งรับกล่องข้าวมา แล้วเดินไปที่ข้างโต๊ะ มู่วี่สิงยังคงก้มหน้าทำงานอยู่
“มู่วี่สิง” เธอเรียกเขา
“อืม” ใครบางคนก็ยังคงเย็นชาไม่เงยหน้า
เวินจิ้งทำแก้มป่อง แล้วงอเอว “กินข้าวก่อนดีมั้ย?”
“วางไว้”
“กินตอนนี้เลยนะ?”
เวินจิ้งคิดว่าอารมณ์ที่ดีๆ ของตนเอามาใช้ง้อผู้ชายคนนี้หมดแล้ว
ถ้าเขายังจะเล่นแบบนี้……งั้นเธอจะโกรธจริงๆ แล้วนะ!
ในที่สุด มู่วี่สิงก็เงยหน้า
มองไปที่หน้าของเธอที่ฉีกยิ้มออกมา แล้วขมวดคิ้ว
“ฉันไม่หิว”
เวินจิ้ง:……
ไม่ง้อแล้ว!
“ไม่กินก็ตามใจ”
พูดจบ เวินจิ้งก็โยนเสื้อสูทลงตรงหน้าเขา แล้วคิดจะกลับบ้านตระกูลหลิน!
แต่พอเดินถึงประตู มู่วี่สิงก็กดรีโมตล็อกประตู
อีกนิดเดียวเวินจิ้งก็จะชนเข้ากับประตูแล้ว หันกลับมา สายตานั้นโมโหมาก
ปากบางของมู่วี่สิงนั้นเกิดรอยยิ้ม แล้วเดินเข้ามาโอบเธอ
ผลักออกหน่อย เวินจิ้งก็โดนเขาอุ้มมาพิงที่กำแพง
“ห้ามไป จิ้งจิ้ง” เขาพูดเสียงเบา
ปากบางก็จูบลงไปที่ต้นคอของเธอ แล้วไล่ขึ้นมาด้านบน จับแก้มแดงๆ ของเธอไว้
เวินจิ้งรู้สึกอ่อนยวบไปทั้งตัว มู่วี่สิงมักจะมีฝีมืออยู่เสมอ
แต่เธอไม่ลืม ว่าตัวเองยังโกรธอยู่!
มองมู่วี่สิง แล้วสะบัดหน้าหนี “ฉันจะกลับบ้านแล้ว”