บทที่ 367 เขาจะต้องถูกกรรมตามสนอง (7)
ณ มหาวิทยาลัยหลินไห่
เวินจิ้งเรียนเสร็จครบทุกวิชาของวันนี้แล้ว เมื่อกลับมาถึงยังหอพัก หลินเวยก็โทรศัพท์มาหาเธอหลายครั้งแล้ว
“แม่เหรอคะ”
“ฉีเซินฟื้นแล้วล่ะ หนูอยากแวะมาดูเขาหน่อยไหม” น้ำเสียงของหลินเวยไม่อาจซ่อนความเหนื่อยล้าเอาไว้ได้
“หนูไม่สนิทกับเขา ไม่ไปดีกว่าค่ะ” เวินจิ้งกล่าวอย่างเฉยชา
“ตกลง งั้นหนูแวะมากินข้าวด้วยกันที่บ้านสุดสัปดาห์นี้ไหม”
“เดี๋ยวหนูขอดูเวลาก่อนนะคะ”
เมื่อวางสาย หลินเวยจึงเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย
หลังจากที่ฉีเซินเพิ่งบันทึกคำสารภาพเสร็จ เขาก็เตรียมตัวที่จะฟ้องร้องมู่ซือซือ
หลินเวยกลับไม่เห็นด้วย “ฉีเซิน ตอนนั้นลูกไปทำร้ายเด็กคนนั้นก่อนนะ แล้วลูกยังจะแก้แค้นเธออีกเหรอ”
“เธอทำร้ายผมจนกลายเป็นแบบนี้ แม่คิดว่าเธอจะปล่อยผมไปเหรอครับ ไม่มีทางหรอก แม่ครับ ผมแค่อยากจะให้เธอเข้าไปอยู่ในคุก เธอจะได้รู้จักประพฤติตัวให้ถูกต้องเสียที” ฉีเซินกล่าวด้วยความขุ่นเคือง
ตอนที่มู่ซือซือตีเขานั้น เธออยากตีให้เขาตายอย่างแน่นอน
เธอไม่มีวันยอมปล่อยเขาไปแน่
ถ้าอย่างนั้น เขาจึงจำต้องลงมือก่อนถึงจะได้เปรียบ
“ถ้าลูกทำแบบนี้ มีแต่จะยั่วให้ตระกูลมู่โมโหมากยิ่งขึ้น”
“อย่างไรก็ตาม ผมกับตระกูลมู่ก็เข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับน้ำมันมาตั้งนานแล้ว”
“แม่แค่หวังดีกับลูก ตอนนี้ลูกก็รู้ดีว่าสถานการณ์ของบริษัทฉีซื่อกรุ๊ปเป็นยังไง ถ้าหากลูกปล่อยวางจากมู่ซือซือได้ ไม่แน่ตระกูลมู่อาจจะไม่มาโจมตีลูกแล้วก็ได้นะ”
“แม่ครับ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว แต่ตระกูลมู่ก็ไม่มีทางปล่อยผมไปแน่นอน มันมีแต่จะยิ่งเลวร้ายลงมากขึ้นเท่านั้น!”
หลินเวยนิ่งเงียบ ไม่ว่ายังไง เรื่องของมู่ซือซือก็จะต้องจบลงในไม่ช้าก็เร็ว
“ลูกต้องการฟ้องร้องจริง ๆ ใช่ไหม”
“ครับ!”
ในไม่ช้า ตระกูลมู่ก็ได้รู้เรื่องการฟ้องร้องอย่างรวดเร็ว
วันนั้นในตอนบ่าย มู่ซือซือถูกพาตัวไปยังสถานีตำรวจ
มู่วี่สิงรีบไปที่นั่นในทันที แต่ทว่ามู่ซือซือต้องถูกควบคุมตัวชั่วคราว และไม่สามารถประกันตัวได้
เมื่อเวินจิ้งรู้เรื่องนี้ ยังเป็นหลินเวยบอกให้เขาในช่วงสุดสัปดาห์ที่นัดกินข้าวกัน
“ฉันก็โน้มน้าวเจ้าฉีเซินแล้ว แต่เขายังคงยืนกรานจะทำแบบนั้น”
เธอไม่ต้องการให้ความบาดหมางระหว่างตระกูลมู่และตระกูลฉีต้องเข้มข้นมากไปกว่านี้ แต่ว่าไม่ว่าใครก็ไม่มีทางยอมลดราวาศอกให้อีกฝ่ายเอาเสียเลย
“มู่ซือซือจะติดคุกไหมคะ” เวินจิ้งเป็นกังวลเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้ว ตอนที่มู่ซือซือถูกทำร้าย เธอต้องทุกข์ทรมานด้วยโรคทางจิตมาโดยตลอด เธอจะทนรับโทษโดยการติดคุกได้อย่างไรกัน
“ฉีเซินจ้างทนายที่ดีที่สุดเอาไว้แล้ว”
เวินจิ้งเข้าใจแล้ว
เกรงว่าเขาต้องการให้มู่ซือซือติดคุกจนออกมาไม่ได้นานอีกหลายปี
“ตอนนั้น ทำไมเขาถึงทำเรื่องแบบนั้นขึ้นมากันคะ” เวินจิ้งถามด้วยความตึงเครียด
“นั่นเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฉีเซินดื่มเหล้ามา ในตอนนั้นเขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นแบบนั้นแล้ว ในตอนนั้นฉีเซินต้องสืบทอดกิจการของบริษัทฉีซื่อกรุ๊ป ไม่สามารถมีข่าวอื้อฉาวใด ๆ ได้ ตระกูลฉีจึงปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เสีย แต่ทว่าตระกูลมู่กลับแค้นใจในเรื่องนั้นมาโดยตลอด” หลินเวยกล่าวด้วยเสียงทอดถอนใจ
“หากมู่ซือซือถูกตัดสินให้รับโทษ ต่อไปชีวิตของฉีเซินคงไม่มีวันอยู่อย่างสงบสุขได้” เวินจิ้งขมวดคิ้ว
เธอรู้ดีว่ามู่วี่สิงจะต้องแก้แค้นให้มู่ซือซืออย่างแน่นอน
“แม่รู้ดี แต่เจ้าเด็กนั่นมันหัวดื้อ ยังไงเรื่องนี้แม่ก็ช่วยจัดการอะไรไม่ได้แล้ว”
ทันทีที่ออกจากบ้านของตระกูลหลินก็เป็นเวลาเย็นแล้ว หลิงอี้เดินมาพอดี และเมื่อพบเข้ากับเวินจิ้งโดยบังเอิญ จึงอาสาพาเธอไปส่งในทันที
เวินจิ้งนั่งอยู่ภายในรถยนต์ และไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“พวกเธอคุยกันเรื่องอะไรเหรอ เรื่องไม่ดีอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เวินจิ้งส่ายหัวปฏิเสธ ไม่อยากพูดอะไรมาก
“เกี่ยวกับเรื่องของมู่ซือซือหรือเปล่า” หลิงอี้กลับคาดเดาได้ถูกต้อง
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องของตระกูลมู่ขึ้นมา เป็นเพราะผู้ชายคนนั้น เวินจิ้งจึงรู้สึกเป็นห่วงอยู่เสมอมา
“คุณคิดมากเกินไปแล้ว”
“เวินจิ้ง พวกเราสองคนจำเป็นต้องเย็นชาใส่กันขนาดนี้ไหม” หลิวอี้เบรกรถอย่างกะทันหัน
เวินจิ้งชะงักไปครู่หนึ่ง และกลับมาตั้งสติ
“ขอโทษด้วยนะ เย็นนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” เวินจิ้งฉีกยิ้มออกมา
แต่เธอเองก็รู้ดีว่ามันคงน่าเกลียดน่าดู
หลิงอี้ขมวดคิ้ว และถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“ผมหวังว่าคุณจะมีความสุขได้”
เวินจิ้งยิ้ม และใช้ปลายนิ้วฉีกยิ้มที่ริมฝีปากของตัวเองให้กว้างขึ้น
ท่าทางที่ดูตึงเครียดของหลิงอี้กลายเป็นอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
เขาเอื้อมมือออกมา แต่กลับถูกตัวเขาเองควบคุมเอาไว้เสีย
เมื่อกลับถึงหอพัก ก็เป็นเวลาดึกสงัดมากแล้ว แต่หลิงเหยากลับยังไม่เข้านอน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีร่างของใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นตาปรากฏขึ้นด้วย
มู่ซือซือเหรอ
เวินจิ้งมองเห็นเธอเข้าโดยบังเอิญ แต่ทว่าเธออยู่กลับในที่นั่งของหลิงเหยา สงสัยคงจะมาหาตัวเธอละมั้ง
“เวินจิ้ง คืนนี้ซือซือจะนอนที่นี่นะ เธอ….เธอคงไม่รังเกียจใช่ไหม” หลิงเหยาถามด้วยความประหม่า
มู่ซือซือมาถึงแล้ว ถึงจะบอกเธอ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังอารมณ์ไม่ดี และก็ไม่อยากปฏิเสธหลิงเหยาด้วย
“ฉันไม่รังเกียจหรอก พวกเธอคุยกันไปก่อน ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ”
มู่ซือซือมองดูเวินจิ้ง และไม่พูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน
“ซือซือ หรือว่าพวกเราไปนอนโรงแรมกันดีกว่านะ……” หลิงเหยาขมวดคิ้ว
“ช่างเถอะ ฉันกลับบ้านดีกว่า พรุ่งนี้เธอต้องไปเรียนแต่เช้า ฉันไม่อยากรบกวนเธอ” มู่ซือซือกล่าวอย่างผิดหวัง
เมื่อรู้ว่าฉีเซินต้องการฟ้องร้องเธอ เธอจึงรีบเดินทางมาที่นี่ในทันที
หลิงเหยาเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ เธอวาดหวังอยากได้คำปลอบโยนและการอยู่เป็นเพื่อนจากเธอ
เมื่อได้ระบายความทุกข์ออกมาเมื่อครู่นี้ อันที่จริง หลิงเหยาก็รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว
“ซือซือ เดี๋ยวฉันจะโทรบอกมู่วี่สิงให้มารับเธอนะ” หลิงเหยายังคงไม่สบายใจนัก
“คนขับรถรออยู่ข้างล่างแล้วล่ะ เธอไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันไม่กลัวฉีเซิน” มู่ซือซือกล่าวอย่างเย็นชา
หลิงเหยาเดินลงไปส่งเธอที่ชั้นล่าง และตบบ่าของมู่ซือซืออย่างเบามือ เพื่อเป็นการปลอบขวัญเธอ
สักพักหนึ่ง นัยน์ตาของมู่ซือซือก็อดไม่ได้ที่จะแดงก่ำขึ้นมา
“เหยาเหยา ฉันไม่มีทางปล่อยให้ฉีเซินลอยนวลไปได้ เขาจะต้องได้รับการแก้แค้นอย่างสาสมใช่ไหม……”
“ใช่ จะต้องได้รับอย่างสาสมแน่นอน”
ความรู้สึกของหลิงเหยาหนักอึ้งเป็นอย่างมาก ฉีเซินต้องการฟ้องร้องมู่ซือซือ ตอนนี้มีหลักฐานมัดตัวแน่ชัดแล้ว
อีกไม่นานจะมีการพิจารณาคดีเกิดขึ้น มู่ซือซือมีเจตนาทำร้ายเขา ถ้าหากฉีเซินยังคงตัดสินใจแน่วแน่เช่นเดิม เกรงว่ามู่ซือซือคงจะต้องเข้าคุกเป็นแน่แท้
เมื่อกลับมาถึงหอพัก เวินจิ้งก็อาบน้ำเสร็จออกมาแล้ว และกำลังเช็ดผมของเธออยู่
เมื่อไม่เห็นมู่ซือซือ เธอจึงถามอย่างเรียบเฉยว่า “คืนนี้เธอจะนอนที่นี่ไม่ใช่เหรอ”
“เธอกลับไปแล้วล่ะ”
“เวินจิ้ง ตอนนี้ฉีเซินเป็นยังไงบ้าง เธอรู้บ้างไหม” หลิงเหยาถาม
เวินจิ้งขมวดคิ้ว “ตอนนี้เขากำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ แต่ทว่าสมองของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เป็นไปได้ว่าอาจจะต้องใช้เวลานานสักหน่อย อาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างรุนแรงมากทีเดียว”
“เธอทำให้เขาถอนฟ้องได้ไหม”
เวินจิ้งเข้าใจในความคิดของหลิงเหยา ความจริงแล้ว เธอเองก็ไม่ต้องการให้มู่ซือซือถูกฟ้องร้องเช่นกัน
แต่ทว่าวันนี้ หลินเวยได้บอกกับเธอแล้วว่า ฉีเซินต้องการทำเช่นนี้
“เท่าที่ดูตอนนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้”
“มู่วี่สิงจะต้องคิดหาวิธีได้อย่างแน่นอน” หลิงเหยามั่นใจ
เมื่อได้ยินชื่อนี้เข้า เวินจิ้งจึงชะงักไปครู่หนึ่ง พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์ มู่วี่สิงคงจะมาเข้าเรียนเป็นแน่แท้
อย่างน้อยในตอนนี้ เธอก็ยังไม่ได้รับแจ้งหยุดเรียน และเขาเองก็ออกจากโรงพยาบาลแล้วด้วย
เช้าวันต่อมา เวินจิ้งตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า และไปที่โรงอาหารเพื่อซื้ออาหารเช้าก่อน เหมือนที่เธออยู่เป็นประจำ
แต่ทว่าในตอนนั้น มีคนจำนวนหนึ่งกำลังยืมล้อมรอบร่างอันสูงใหญ่อยู่ไม่ไกลนัก
ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่แผ่นหลัง แต่เธอก็รู้ดีว่านั่นคือมู่วี่สิง
เขามาที่โรงอาหารด้วยเหรอ
เขาคุ้นชินกับรสอาหารของที่นี่หรือเปล่านะ
เวินจิ้งไม่ได้สนใจนัก จึงหาที่นั่งด้านข้าง พร้อมกับนั่งลงเสีย แต่ทว่ามู่วี่สิงตาดีและมองเห็นเธออย่างรวดเร็ว
เขาก้าวขายาว ๆ ของเขามุ่งตรงไปหาเธอ เวินจิ้งจ้องมองชายหนุ่ม ที่กำลังนั่งลงตรงข้ามเธอด้วยความงงงวย
“มู่วี่สิง คุณทำอะไรน่ะ”
“กินข้าวเช้า” เขากล่าวอย่างสุขุมนุ่มลึก
“ตรงนั้นมีที่ว่างตั้งเยอะ!” เวินจิ้งรู้สึกโกรธเคืองขึ้นมาเล็กน้อย
สายตาที่จ้องมองมาของบรรดาแฟนคลับของเขา ทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเป็นอย่างมาก……
“ผมอยากกินข้าวเช้ากับคุณ” คำพูดของมู่วี่สิงช่างแสนอ่อนโยน และน่าดึงดูดเสียเหลือเกิน