บทที่ 362 ไม่ใช่เพื่อนหรือว่าคู่รัก (2)
เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองคนกำลังกอดกันอยู่ที่พื้น คำพูดของคุณหมอก็หยุดชะงักไปในทันที
“นี่……”
เวินจิ้งรู้สึกอายมากจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เธอไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่เดินเข้ามาอยู่ด้านหลัง ความรู้สึกของการถูกคนยืนล้อมวงมุงดูนั้นช่างแย่เหลือเกิน
“ประคองผมยืนขึ้นที” มู่วี่สิงกระซิบด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ข้างหูของเวินจิ้ง
เวินจิ้งตั้งสติกลับมาได้ จึงรีบลุกขึ้นยืนก่อน ในตอนนั้น คุณหมอถึงเพิ่งจะเดินมาและช่วยประคองมู่วี่สิงให้ลุกขึ้นยืน พร้อมกับตรวจร่างกายของเขา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีบาดแผลฉีกขาด จึงออกจากห้องไป
ใบหน้าของเวินจิ้งล้วนแต่มีสภาพร้อนผ่าวราวกับโดนต้มสุก……..
“คุณยังไม่ได้จ้างพยาบาลอีกเหรอ” เวินจิ้งถามอย่างกังวล
ด้วยสภาพของมู่วี่สิงที่เป็นเช่นนี้ การใช้ชีวิตของเขาล้วนแต่ยากที่จะดูแลตัวเองได้
เกาเชียนเป็นผู้ช่วยด้านการงานของเขา เกรงว่าจะไม่เหมาะกับการดูแลเขาเสียเท่าไหร่
“ไม่จ้าง” มู่วี่สิงตอบกลับอย่างเยือกเย็น
เวินจิ้งเงียบ
“คุณปู่วานให้คุณมาดูแลผมไม่ใช่เหรอ” เขากล่าว
“ฉัน…..ฉันไม่เหมาะกับงานนี้หรอก”
“ถ้าจ่ายเงินเดือนให้ด้วยล่ะ” มู่วี่สิงมองดูหญิงสาว
“มู่วี่สิง คุณต้องการฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ” เวินจิ้งเงยหน้าขึ้นมาอย่างงงงวย
เธอชักจะเดาทางเขาไม่ออกมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ทว่า เธอรู้ดีว่าตัวเองนั้นอยากที่จะใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา
“ใช่” มู่วี่สิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“ฉันจะดูแลคุณในช่วงที่คุณยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลนี้ ถือเสียว่าเห็นแก่คุณปู่ท่าน คุณไม่ต้องให้ค่าจ้างรายเดือนฉันหรอกนะ”
“เวินจิ้ง เรื่องที่ผมพูดไป คุณกลับไปคิดให้ดีเถอะ” มู่วี่สิงยกคางของเธอขึ้น แววตาของเขาลึกซึ้ง
เวินจิ้งตะลึงงันไปชั่วครู่ หรือว่าเรื่องที่มู่วี่สิงพูดถึง…..คือเรื่องแต่งงานใหม่อย่างนั้นเหรอ
“เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องที่เรากลับมาแต่งงานกัน”
“คุณอย่าล้อฉันเล่นสิ” เวินจิ้งผลักเขาออกไป
แต่ทว่ามู่วี่สิงกลับคว้าตัวเธอเข้าไปในอ้อมแขนอีกครั้ง “ในตอนนั้น ผมไม่มีทางเลือก คุณรู้ไหมว่าความปลอดภัยของคุณย่อมต้องมาเป็นอันดับแรกเสมอ”
เวินจิ้งมองดูเขาอย่างแน่วแน่ หัวใจของเธอในตอนนี้รู้สึกตกตะลึง
ทัศนคติของมู่วี่สิงก่อนหน้านี้ เธอทำได้แต่เพียงคาดเดาอยู่เสมอ คาดเดาว่าเขาทำลงไปเพื่อความปลอดภัยของเธอ ถึงได้ตัดสินใจหย่าร้างกัน
เธอกลับไม่เต็มใจที่จะเชื่อเขาเหมือนเช่นเคย
แต่ทว่าในตอนนี้ เมื่อได้ยินเขาพูดออกมาจากปากของเขาเอง ความรู้สึกทั้งหมดนั้นล้วนแต่แตกต่างออกไป
แต่ทว่าในตอนนี้ สถานการณ์มันต่างออกไปตั้งแต่แรกแล้ว
“ฉันไม่ต้องการให้การแต่งงานมายุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของฉันอีกแล้ว มู่วี่สิง” เธอพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ในตอนแรก เธอตัดสินใจแต่งงานสายฟ้าแลบนั้น ก็เพื่อเป็นการทำให้รู้สึกสบายใจเท่านั้น
“เวินจิ้ง สิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่การแต่งงานมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากแต่เป็นคุณเท่านั้น”
……
ตอนค่ำ เวินจิ้งนั่งอย่างเหม่อลอยอยู่ที่หอพัก
คำพูดของมู่วี่สิงยังคงดังกังวานอยู่ภายในหัวของเธอ
เขาต้องการเธอ
รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาที่มุมปากโดยไม่รู้ตัว หลิงเหยาที่อยู่ข้าง ๆ มองดูรอยยิ้มอันแสนเพี้ยนของเวินจิ้ง พร้อมกับเดินเข้ามาแตะหน้าผากของเธอ “เธอไม่ได้มีไข้ใช่ไหม”
เมื่อได้ยินดังนั้น เวินจิ้งจึงรีบหุบรอยยิ้มเก็บเข้าไปในทันที “ไม่ได้เป็นไข้แน่นอน!”
“ฉันนึกว่าเธอเป็นไข้จนเพี้ยนไปเสียแล้ว” หลิงเหยาหยอกล้อ
“ช่วงนี้ฉันต้องไปที่โรงพยาบาลทุกวันน่ะ” เวินจิ้งกล่าว
อย่างไรเสีย เมื่อได้มาอาศัยอยู่กับหลิงเหยาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองในช่วงนี้ ก็เริ่มดีมากขึ้นเรื่อย ๆ
“อื้อ ตอนนี้เธอก็ไปที่นั่นเกือบทุกวันแล้วนี่นา”
เวินจิ้งเงียบ
เพราะว่ามู่วี่สิงยังคงไม่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ชั้นเรียนของเขาในทุกวันศุกร์จึงต้องถูกระงับเป็นการชั่วคราว ไป๋สือจึงต้องเข้าชดเชยคาบเรียนที่เวินจิ้งขาดไปเมื่อก่อนหน้านี้
“มู่วี่สิงเป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บสาหัสเลยเหรอ” ไป๋สือถาม
“ดูเหมือนว่าจะสาหัสมากทีเดียว ดูท่าว่าจะต้องนอนโรงพยาบาลยาวหนึ่งเดือน”
“ความรู้สึกระหว่างเธอกับเขาในช่วงนี้เป็นไปด้วยดีใช่ไหม”
เมื่อได้ยินดังนั้น เวินจิ้งจึงตะลึงงันไปชั่วครู่
“ฉันกับเขา…..ก็เป็นแบบนั้น” เวินจิ้งไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี
ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมู่วี่สิง ไม่ใช่เพื่อนหรือว่าคู่รักกันแต่อย่างใด
ไป๋สือกลับยิ้มขึ้นมา เวินจิ้งไม่เคยเก็บซ่อนความคิดของเธอเอาไว้ได้ มักจะแสดงออกมาผ่านทางใบหน้าเสมอ
เมื่อเลิกเรียนในช่วงบ่ายแล้ว เวินจิ้งจึงเดินทางไปที่โรงพยาบาล
เธอแวะสั่งอาหารให้มู่วี่สิงก่อน แล้วจึงค่อยไปที่นั่น
ภายในห้องผู้ป่วย เกาเชียนกำลังรายงานสถานการณ์ของบริษัทให้กับมู่วี่สิงฟังอยู่พอดี
“ประธานมู่ครับ วันจันทร์หน้ามีการประชุมผู้ถือหุ้น ปัจจุบัน จำนวนหุ้นที่มู่เหิงถืออยู่มีมากกว่า 30% แล้วครับ”
“อืม” มู่วี่สิงนิ่งเฉยเป็นอย่างมาก
เกาเชียนกลับรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย “ประธานมู่ คุณจะไม่เข้าร่วมการประชุมเหรอครับ”
เขารู้อาการของมู่วี่สิงดี เขาสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทุกเมื่อ……
เพียงแต่ตั้งใจนอนอยู่ที่นี่ เพื่อให้เวินจิ้งคอยมาดูแลเขาอยู่เสมอเท่านั้น……
“เข้าร่วมสิ”
“ผมจะรีบแจ้งทางบริษัทไปครับ”
“ได้ข่าวฉินเฟยบ้างไหม” มู่วี่สิงถาม
“ไม่เลยครับ” สีหน้าของเกาเชียนดูไม่ดีเป็นอย่างมาก “ผมตรวจสอบจากทางมู่เหิงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเบาะแสอะไรเหมือนเดิมครับ”
“ไปตรวจสอบจากมู่เฟิงดู” มู่วี่สิงกลับกล่าวออกมาเช่นนั้น
“เข้าใจแล้วครับ”
เมื่อเกาเชียนเดินออกมาจากห้อง เวินจิ้งกำลังยืนอยู่ที่หน้าห้องพอดี
คำพูดของเกาเชียนเมื่อสักครู่นี้ เธอได้ยินเข้าเพียงส่วนหนึ่ง
“ฉินเฟยเป็นอะไรไปเหรอคะ” เวินจิ้งถาม
ในตอนนี้ เธอเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าข่าวที่เธอถูกใส่ร้ายป้ายสีเมื่อก่อนหน้านี้ ล้วนแต่ถูกออกไปจนหมดแล้ว
และก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวในครั้งนั้น สุดท้ายแล้ว มีความคืบหน้าอย่างไรต่อไปบ้าง
“เธอหายตัวไป”
“ฉันเคยพบกับเธอเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้……” เวินจิ้งพึมพำออกมา
“ตอนนี้ไม่มีข่าวคราวอื่นใด คดีของเธอเองก็ถูกระงับเอาไว้” มู่วี่สิงกล่าว
“คุณรู้สาเหตุไหมคะ”
“มีแต่คนตระกูลมู่ที่อยู่ไม่สุขเท่านั้น” น้ำเสียงของมู่วี่สิงไร้ซึ่งความกระตือรือร้น
เวินจิ้งเองก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตระกูลมู่ ดูเหมือนว่าจะซับซ้อนเป็นอย่างมาก
เมื่อเปิดกล่องข้าวออก เธอจึงส่งตะเกียบให้กับมู่วี่สิง
มู่วี่สิงหันหน้าจอโน้ตบุ๊คหันมาหาเธอ “ช่วยอ่านให้ผมฟังหน่อย”
เวินจิ้งเงียบ
“คุณกินข้าวแบบสบาย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม”
“ไม่อย่างนั้น แม้แต่เวลากินข้าว ผมคงจะไม่มี”
น้ำเสียงของเวินจิ้งไพเราะน่าฟังเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่ดังฟังชัดมีความแหบแห้งปะปนอยู่บ้างเล็กน้อย แววตาของมู่วี่สิงค่อย ๆ ร้อนผ่าวขึ้นเรื่อย ๆ ทีละน้อย
เดิมทีสายตาของเขาจ้องมองไปที่กล่องข้าว แต่ตอนนี้กลับหันไปมองที่ใบหน้าของเวินจิ้งอย่างช้า ๆ
เวินจิ้งรับรู้ได้ตามธรรมชาติ ใบหน้าของเธอจึงแดงก่ำขึ้นมาอย่างผิดปกติ
“รีบกินข้าวเร็วเข้าสิ”
“กินไม่อิ่ม”
เวินจิ้งตะลึงงัน
วินาทีที่เงยหน้าขึ้นมา คางกลับถูกปลายนิ้วของใครบางคนจับเชิดขึ้นมา และตามมาด้วยจูบอันเร่าร้อนดั่งเปลวไฟ แทบจะทำให้เวินจิ้งต้านทานเอาไว้ไม่อยู่
เธอถูกเขาอุ้มไปวางบนเตียง ทั่วทั้งร่างกายถูกกดเอาไว้ภายในอ้อมแขนโดยสมบูรณ์
พลังกายของคนป่วยนี่มันช่างมากเสียเหลือเกิน……
ในเบื้องต้น มู่วี่สิงไม่ได้ให้โอกาสเวินจิ้งได้คิดอะไรเสียก่อน เพื่อกันไม่ให้เธอได้ว่อกแว่ก จากนั้น เขาจึงเข้าโจมตีระยะประชิดและบุกยึดเมืองเสีย
ใบหน้าของเวินจิ้งแดงก่ำราวกับลูกมะเขือเทศ……
“มู่วี่สิง!” ไม่ง่ายนักที่มู่วี่สิงจะปล่อยเธอไป เวินจิ้งหายใจหืดหอบด้วยความขุ่นเคือง
แวดล้อมไปด้วยลมหายใจอันแรงกล้าของมู่วี่สิง ที่ยังคงแผ่ซ่านไปทั่วอยู่เป็นเวลานาน
“เวินจิ้ง คุณกำลังยั่วยวนผม” น้ำเสียงของมู่วี่สิงประกาศกร้าว
เวินจิ้งงงงวย เธอยั่วยวนเขาเมื่อไหร่กัน
เธอใช้แรงผลักเขาออกไป “นั่นมันคุณต่างหากเล่า”
เธอถอยหลังไปยังบริเวณที่ตัวเองคิดว่าปลอดภัย ทว่ามู่วี่สิงกลับพูดขึ้นมาว่า “ประคองผมหน่อย”
เวินจิ้งมองดูเขาอย่างระมัดระวังตัว
แต่เมื่อนัยน์ตาเห็นว่ามู่วี่สิงต้องการลงจากเตียง เธอก็ยังคงรีบวิ่งตรงไปหาเขาในทันที
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงถูกมู่วี่สิงคว้าตัวเข้าไปกอดเอาไว้แน่นในอ้อมแขนอีกครั้ง
“คุณ…….” เวินจิ้งรู้สึกหงุดหงิด ผู้ชายคนนี้ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนป่วยอีกไหมเนี่ย!
“อย่าขยับ ให้ผมได้กอดคุณหน่อยนะ” น้ำเสียงอันทุ้มต่ำของเขาทำให้เธอไม่อาจขัดขืนได้
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ทันใดนั้น มือของเธอกดเข้าให้ที่ขาของมู่วี่สิงอย่างรุนแรง แต่ทว่ามู่วี่สิงเพียงแต่ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น
“หยุดกวนผมได้แล้ว”
ความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตาของเวินจิ้ง
เธอผลักเขาออกไป “ฉันจะไปอ่านหนังสือตรงนั้น คุณก็ทำงานของคุณไปแล้วกัน”