บทที่ 351 ครอบงำ
ได้ยินดังนั้น มู่วี่สิงได้ขมวดคิ้ว
“เหตุผล”
“ฉันอยากเหมือนพี่ เป็นหมอที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง”
“หมอ ในใจจะต้องมีจิตวิทยาที่ดี”
“ฉันจะปรับมัน!”
“รอให้เธอสอบได้ก่อนค่อยมาพูด” น้ำเสียงของมู่วี่สิงเอื่อยๆ
มู่ซือซือได้ยินที่เขาไม่ค่อยจะเชื่อ ก็เริ่มโกรธ
“พี่คิดว่าฉันจะสอบไม่ได้ใช่ไหม!”
“ซือซือ อย่าทำไปเพียงเพราะใจร้อน คิดให้ดีว่าเธอเองต้องการมันจริงๆหรือเปล่า” มู่วี่สิงไม่ได้ไม่เชื่อ ในทางกลับกัน นิสัยของมู่ซือซือคล้ายกับเขามาก อยากจะทำสิ่งใด ก็ต้องทำให้สำเร็จ ต้องสำเร็จเท่านั้น
ดังนั้น เขาหวังว่าเธอจะคิดอย่างรอบคอบ
ได้ยินดังนั้น มู่ซือซือก็นิ่งเงียบ
ตั้งแต่เล็กจนโต พี่ชายก็เป็นไอดอลของเธอ เธอต้องการจะเดินตามรอยเขาเพื่อเป็นหมอ
ความคิดนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่ก่อนหน้านี้ เธอแค่ไม่เคยมีความกล้าใดเลยๆ
“ฉันอยากเป็นแบบนั้นจริงๆ” มู่ซือซือพูดย้ำคำอย่างจริงจัง
“ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาจะมาสอนเธอ ถ้าเธอตัดสินใจแล้ว ก็แค่ให้ส้งวี่มาจัดการคลาสเรียนให้เธอ”
เมื่อได้ยิน “ส้งวี่” ชื่อนี้แล้ว มู่ซือซือก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
“ไม่เอา ฉันไม่เอา! ฉันทบทวนเองได้ พี่ไม่ต้องไปบอกเขา” มู่ซือซือถึงกับเริ่มเป็นกังวล
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว “แต่ฉันไม่คิดว่าจะมีอาจารย์คนไหนเหมาะสมไปกว่าเขา”
“ฉันทบทวนเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาเป็นคนติวให้” มู่ซือซือโผงผาง
“แล้วแต่เธอ”
………..
“เมื่อกี้ซือซือไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม” หลิงเหยามองดูเวินจิ้งอย่างกังวล
เธอถูกเสียงมู่ซือซือปลุกให้ตื่น เธอเพิ่งจะอธิบายเรื่องทั้งหมด ก่อนที่ความขุ่นเคืองของมู่ซือซือจะลงลด
แต่เธอยังคงมีอคติกับเวินจิ้งอยู่
เวินจิ้งส่ายหัว “ฉันไม่เป็นอะไร”
“ขอโทษนะ ทำให้เธอต้องเดือดร้อนเลย”
“เป็นฉันทำให้เธอต้องเดือดร้อน เหยาเหยา ฉันไม่รู้ว่าเธอจะมีเรื่องฝังใจ……”
“เธอดูสิ ตอนนี้ฉันก็ไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันสามารถทำให้ตัวเองแข็งแกร่งได้มากแล้ว” หลิงเหยายิ้มออกมาก
ไม่นานนัก หลิงอี้ก็กลับมา หลิงเหยากินอะไรเสร็จแล้ว ก็อยากจะกลับไปมหาวิทยาลัยแล้ว
หลิงอี้ได้ช่วยเธอจัดการเรียบร้อยแล้ว และส่งทั้งสองคนกลับไป
คราวนี้หลิงอี้ได้เตรียมรถมาหลายคันเพื่อป้องกันก่อนและหลัง หลิงเหยาจึงผ่อนคลายมาก
“เวินจิ้ง เหยาเหยาอาจจะต้องการให้คุณดูแลหน่อยนะ” หลิงอี้กำชับ
เกรงว่าหลายวันมานี้ การเป็นอยู่ของหลิงเหยาอาจจะยังไม่ค่อยดี
“ฉันเข้าใจค่ะ”
“ได้แล้ว พี่จู้จี้ฉันมากไปแล้ว ฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”
“ถ้ามีเรื่องอะไร อย่าลืมโทรหาผมนะ” จนกว่าจะเห็นทั้งสองขึ้นรถ หลิงอี้จึงออกไป
สายตาที่ดูน่ากลัวก็แพร่กระจายออกไป เขาโทรศัพท์ด่วน “ผมต้องการรู้ความเคลื่อนไหวของคนในตระกูลฟู่ทั้งหมด”
เมื่อกลับถึงหอพัก เวินจิ้งมองดูตารางเวลา วันนี้เป็นวันจันทร์ ……. แต่เดิมจะต้องไปหามู่วี่สิงเพื่อส่งบทเรียน
แต่ตอนนี้เธอยังทำไม่เสร็จ ดูเหมือนว่าเป็นการผัดวันประกันพรุ่งที่จะตั้งใจทำมันเสียแล้ว
พรุ่งนี้เธอมีเรียนเต็ม หากที่ผ่านมาต้องไปที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป เหมือนว่าจะเป็นแค่เช้าวันพุธเท่านั้น
แต่ดูเหมือนว่ามู่วี่สิงยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้
แต่หลังจากที่เขาได้เป็นศาสตราจารย์ เธอก็ไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟังเขา
เมื่อคิดดูแล้ว หรือจะเอาบทเรียนที่ทำเสร็จแล้วส่งให้เขา และไม่ต้องไปหาเขาแล้ว
เมื่อคืน เวินจิ้งเกือบจะทั้งคืน เกือบจะเช้าตรู่ในที่สุดก็ทำบทเรียนจนเสร็จ และส่งไปทางอีเมลของมู่วี่สิง พร้อมเขียนข้อความไว้
แต่อีกไม่กี่วันข้างหน้า ก็ไม่ได้มีการตอบกลับของมู่วี่สิง
จนกระทั่งวันศุกร์ที่ผ่านมาที่เข้ามารอเรียน ถึงได้ยินนักศึกษาสองสามคนที่อยู่ข้างๆพูดคุยกัน
“วันนี้ศาสตราจารย์มู่ไม่มาแล้ว น่าจะมีอาจารย์มาสอนแทนรึเปล่า”
“ฉันคิดว่ามาสอนคาบนี้ไม่ไหวแล้ว คลาสของศาสตราจารย์มู่ก็ไม่มีคนมาแทนได้ใช่ไหม”
“ศาสตราจารย์เป็นอะไรเหรอ …..ทำไมเขามาไม่ได้แล้วล่ะ”
“ฉันได้ยินมาว่าเขาป่วยหน่ะ ป่วยมาหลายวันแล้ว อยากไปเยี่ยมศาสตราจารย์มู่จัง……”
ได้ยินดังนั้น เวินจิ้งก็ได้ขมวดคิ้ว มู่วี่สิงป่วยเหรอ”
ไม่น่าแปลกใจ เธอถึงยังไม่ได้อีเมลตอบกลับ
“เขาเป็นอะไรเหรอ” เวินจิ้งก็เข้าพูดคุยด้วยอย่างอัตโนมัติ
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่พ่อของฉันอยู่ที่โรงพยาบาล เขาบอกว่ามู่วี่สิงอยู่ที่โรงพยาบาล”
“อยู่โรงพยาบาลไหนหรอ” ถามนักศึกษาหลายคนด้วยความกังวล
“โรงพยาบาลหมายเลขสอง”
“ถ้าไม่มีศาสตราจารย์มาสอนแทน งั้นพวกเราไปกันเถอะ!”
“เวินจิ้ง เธอไปด้วยไหม” มีเพื่อนร่วมชั้นถาม
เวินจิ้งนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อสติกลับมาก็รีบส่ายหัวทันที “ฉันไม่ไปแล้ว”
มู่วี่สิงป่วย ดูเหมือนว่ายังไม่ถึงตาของเธอที่ต้องสนใจ……
ถ้าคาบเรียนนี้ไม่ได้เรียนแล้ว หรือว่ามู่วี่สิงกำลังป่วยหนักจริงๆ
เวินจิ้งขมวดคิ้ว แต่มันก็ยากที่จะนิ่งเฉย
โรงพยาบาลหมายเลขสอง ……
ห่างจากมหาวิทยาลัยก็ไม่ไกล ไม่อย่างนั้นลองไปเยี่ยมดูสักหน่อยดีไหม
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เวินจิ้งได้ยืนอยู่หน้าประตูโรงพยาบาล
เมื่อครู่นี้มีนักศึกษาจำนวนมากต่างก็มากัน และมีเพียงนักศึกษาไม่กี่คนตามหาห้องผู้ป่วยของมู่วี่สิงได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อออกมากจากลิฟต์ เวินจิ้งก็หยุดก้าวเท้า เพียงไม่กี่ก้าว มู่ซือซือที่นั่งอยู่บนรถเข็นได้มาขวางกั้นนักเรียนทุกคน
“คุณมาเยี่ยมพี่ชายของฉัน พวกคุณเป็นเพื่อนของเขารึเปล่า”
“พวกเรา…..พวกเราเป็นนักศึกษาของเขา!”
“พี่ของฉันต้องการพักผ่อน พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ”
“แต่ว่า ….. พวกเราเป็นห่วงศาสตราจารย์มากๆนะ”
นักศึกษาร่วมชั้นหลายคนต่างก็ซื้ออาหารมากเป็นจำนวนมาก ถือกันมาเต็มไม้เต็มมือ
มู่ซือซือขมวดคิ้ว “พวกคุณจะรบกวนพี่ชายของฉันนะ”
“งั้น……” นักศึกษาร่วมชั้นหลายคนต่างมองกันไปมา “งั้นรบกวนคุณเอาของกินพวกนี้ของพวกเราช่วยเอาเข้าไปหน่อยได้ไหม”
“ได้ ฉันขอบคุณพวกคุณแทนพี่ชายของฉันนะ” มู่ซือซือสั่งให้บอดี้การ์ดทั้งหมดไปรับของมา
ไม่นานนัก ผู้คนที่อยู่ทางเดินระเบียงก็น้อยลง และจึงเงียบสงบลง
แต่มู่ซือซือก็มองไปเห็นเวินจิ้งเข้า
“เธอก็มาเยี่ยมมาชายฉันด้วยเหรอ” มู่ซือซือถาม
เวินจิ้งเม้มริมฝีปาก เมื่อกี้นี้มีโอกาสมากมายที่จะเดินจากไป แต่เธอกลับก้าวเท้าไปออก
ก็…….
“มาเถอะ”
“เขาโอเคไหม” เวินจิ้งถามด้วยความวิตกกังวล
สุขภาพของมู่วี่สิงดีมาตลอด ทำไมถึงมาป่วยอยู่โรงพยาบาลซะล่ะ……
“ยังไม่ตาย”
เวินจิ้ง : ………
หรือว่าอาการหนัก
ยืนอยู่หน้าประตูห้องผู้ป่วย เวินจิ้งก็มีความรู้สึกกลัวขึ้นมา
ในหัวก็คิดขึ้นมาอย่างอัตโนมัติว่ามู่วี่สิงจะมีการเจ็บป่วยที่รุนแรง และพันด้วยผ้าก๊อซทั่วไปทั้งร่าง อีกทั้งยังยากที่จะลุกลงจากเตียง……
เมื่อมู่ซือซือผลักประตูออก ภาพที่ปรากฏในดวงตากลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
มีคนกำลังเอนตัวนอนอยู่ครึ่งหนึ่งบนเตียงผู้ป่วย พร้อมกับแล็ปท็อปวางอยู่ข้างหน้า ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขานั้นไม่ได้แสดงอาการที่ได้รับบาดเจ็บออกมา ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีร่องรอยที่ได้รับบาดเจ็บเลย
สรุปแล้วเกิดปัญหาจากที่ไหนกัน……
เมื่อเห็นเวินจิ้ง มู่วี่สิงก็ไม่ได้แปลกใจ เงยหน้าขึ้น อีกทั้งยังยิ้มให้
“มาได้ยังไง” อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงของเขายังคงอ่อนโยน
เวินจิ้งทำปากแบะ “ฉันได้ยินมาว่า……คุณป่วย”
“ได้ยินใครพูดเหรอ”
“เพื่อนร่วมชั้น”
“อืม”
เวินจิ้งมองดูเขาดูเหมือนว่าเขากลับไม่เป็นอะไร คิ้วที่สวยงามนั้นก็ขมวดขึ้น
“คุณเจ็บตรงไหนเหรอ”
“คุณเป็นห่วงเหรอ” มู่วี่สิงมองไปที่เธอ
“ฉันเปล่า” เวินจิ้งปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว
“งั้นจะมาทำไม”
เวินจิ้งนิ่งเงียบ คำถามนี้ เธอก็หาคำตอบไม่ได้
ครอบงำ