บทที่ 289 นี่มันแค่ข้ออ้างของคุณ
หลินเวยกำลังนั่งเล่นไพ่กับแขกพิเศษ เรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงกว่าจะได้ยินถึงหูก็มืดค่ำแล้ว ตอนกำลังจะกลับ เวินจิ้งกับมู่วี่สิงกลับไปก่อนแล้ว
เธอโทรหาลูกสาว
“เสี่ยวจิ้ง ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลินเวยถามด้วยถามเป็นห่วง
“หนูไม่เป็นไรค่ะแม่ หนูกลับมาก่อน”
“แม่รู้แล้วล่ะ มู่วี่สิงอยู่ข้างกายลูก แม่ก็สบายใจ”
พอวางสาย เวินจิ้งมองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ เขามองแท็บเล็ตที่อยู่ในมือ ยังมีเรื่องส่วนรวมที่ต้องจัดการอีกเยอะ
“ช่วงนี้ทางเมืองหนานเฉิงเป็นยังไงบ้าง” เวินจิ้งถาม
มู่วี่สิงอยู่ที่ ประเทศBตลอดเวลา เดี๋ยวนี้อายุของมู่เฉิงก็มากขึ้นเรื่อยๆ แทบจะไม่ค่อยได้ยุ่งกับงานของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปเท่าไร เขาไม่อยู่ได้หรอ?
“อืม เดี๋ยวนี้บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป มีมู่เฟิงกับมู่เหิงอยู่” มู่วี่สิงพูดเสียงเรียบ
“มู่เหิง? เขากับคุณมีความสัมพันธ์อะไรกัน?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เวินจิ้งได้ยินชื่อนี้
“ลูกของมู่เฟิง”
เวินจิ้ง : ??
ถ้างั้นก็เป็นพี่ชายหรือน้องชายของมู่วี่สิงล่ะสิ แต่มู่วี่สิงดูห่างเหินกับเขามาก
“พวกเขาทำไมถึงกลับมา?”
เธอจำได้ว่ามู่วี่สิงเคยบอกว่า ต้นตระกูลของตระกูลมู่อยู่ที่ประเทศC ญาติส่วนใหญ่ก็จะอยู่ทางนู้นหมด
งานแต่งมู่วี่สิง มู่เหิงก็ไม่มา ทำไมถึงกลับมาตอนนี้?
“คุณปู่อยู่ทางนี้ เขาคงนั่งไม่ติดแล้วมั้ง” มู่วี่สิงแสยะยิ้ม
เวินจิ้งชะงัก วินาทีนี้สีหน้าน้ำเสียงของมู่วี่สิงดูน่ากลัว
เธอไม่ได้ถามอีก
คืนนี้หลิงอี้ไม่ได้กลับมา ต่อจากนี้หลายวัน เวินจิ้งคงไม่ได้เห็นหน้าเขา ผลการทดลองครั้งที่สี่ออกมาแล้ว ยังคงมีปฏิกิริยาต่อต้านเช่นเคย
ทุกคนตกอยู่ในสภาพที่กังวลอึดอัด ซึ่งหมายความว่าโครงการนี้จะล่าช้า
หลิงอี้รับผิดชอบตรวจควบคุมโครงการนี้ ในวันนั้นได้รีบเรียกทุกคนเข้าประชุม
เขาเสนอที่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมประชุม แต่กลับถูกลู่หวั่นปฏิเสธ
“ประธานหลิง ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว พึ่งจะเชิญคนมาคงไม่เหมาะมั้ง
ฉันไม่คิดว่าปัญหาจะอยู่ที่ความสามารถของนักวิจัยเรา
“งั้นคุณคิดว่า ปัญหาคืออะไร?”
“ตรงกันข้าม มีพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องมากเกินไป รบกวนกระบวนการวิจัยพัฒนาทั้งหมด กระทบถึงแนวคิด”
ทันใดนั้น สายตาเกือบทั้งหมดมองมาที่เวินจิ้ง
ช่วงเวลานี้ มีเธอคนเดียวที่พึ่งจะเข้าร่วมกระบวนการขั้นตอนสุดท้าย
“ลู่หวั่น นี่เป็นเพียงข้ออ้างของคุณ”
“ใช่หรอ ช่วงเวลานี้คุณหนูเวินทำอะไรอยู่ล่ะ? ไม่ได้ช่วยอะไรในโครงการเลย มักจะเสนอถามแต่ข้อสงสัยต่างๆนาๆ สุดท้ายฉันก็ต้องเสียเวลาอันมีค่าของฉัน ไปแก้ไขข้อสงสัยของคุณ เวลาของฉันไม่ใช่เอามาใช้กับเรื่องพวกนี้นะ
“คุณหนูลู่ ในเมื่อเวลานี้ฉันเป็นคนรับผิดชอบของบริษัทหลินซื่อ ฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องการจัดการกิจการของยาตัวนี้ทั้งหมด ถ้าหากคุณหลีกเลี่ยง ก็แสดงว่าคุณมีปัญหา”
“คุณพูดอะไร?” ลู่หวั่นชักสีหน้า
“หยุดก่อน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาถกเถียงกัน ฮาต๋า จะวางตลาดแล้ว ยังมีเวลาอีกสองเดือน ลู่หวั่น ไม่ว่ายังไงผมต้องการให้ยานี้ผ่านการทดสอบอย่างราบรื่นแล้ว” หลิงอี้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ขอเพียงแค่เวินจิ้งไม่สร้างความยุ่งยากให้ฉันเพิ่ม ฉันรับรองว่าจะไม่มีปัญหา”
เวินจิ้งยิ้มเย้ย “งั้นคงเป็นไปไม่ได้”
“ประธานหลิง หากความคืบหน้าช้าลง คุณอย่ามาโทษฉันนะ”
พูดจบ ลู่หวั่นเขวี้ยงเอกสารออกไป
ทุกคนมองหน้ากัน ใครๆก็รู้ดีว่าลู่หวั่นเป็นคนสำคัญของโครงการนี้ ถ้าเธอไม่ร่วมมือ เกรงว่าการวิจัยพัฒนานั้นยากที่ดำเนินการต่อไปได้
เรื่องนี้ไปถึงหูของหลินเจิ้งอย่างรวดเร็ว เขาโกรธจนเกือบล้มป่วย
หลิงอี้รีบกลับมาปลอบเขา
“คุณปู่ ฮาต๋าวางตลาดไม่มีปัญหาแน่นอน”
“เดี๋ยวนี้ลู่หวั่นไม่ให้ความร่วมมือ นายวางแผนจะทำยังไงต่อ?”
“ผมได้พูดคุยกับเธอเรียบร้อยแล้ว เธอจะทำโครงการนี้ให้เสร็จสิ้น”
“ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักชั่วดี” หลินเจิ้งพูดด้วยความโกรธ
“หลานได้รับความลำบากใจรึเปล่า?” หลินเจิ้งถามด้วยความเป็นห่วง
แต่ไหนแต่ไรคนที่เขาห่วงใยที่สุดก็คือเวินจิ้ง
“เธอไม่ใช่คนที่จะได้รับความลำบากใจได้ง่ายๆ” หลิงอี้ยกริมฝีปากขึ้น
ตกค่ำ เวินจิ้งอยู่ในห้องทดลองตลอด
ตอนมู่วี่สิงโทรมาก็ดึกมากแล้ว เธอเดินออกจากห้องทดลอง
“ผมมารับคุณ”
เวินจิ้งมองดูเวลา แล้วสะดุ้ง
“ดีค่ะ อีกสักพักฉันก็จะกลับแล้ว”
รู้สึกหิวตั้งนานแล้ว เวินจิ้งเก็บข้าวของ เอาแฟ้มรายงานกลับบ้านด้วย
ตอนออกไป ลู่หวั่นก็เลิกงานพอดี
“มู่วี่สิงมารับคุณหรอ?” น้ำเสียงของลู่หวั่นนิ่ง
“อืม” น้ำเสียงของเวินจิ้งก็นิ่งเหมือนกัน
“คิดไม่ถึงช่วงเวลาที่เธออยู่เคียงข้างเขาก็นานพอสมควรนะ” ลู่หวั่นพูดด้วยน้ำเสียงประชด ไม่แปลกที่ลู่หวั่นโกรธ เหมือนตัวเองกำลังต่อยปุยฝ้ายหนึ่งหมัด
“คิดไม่ถึง ว่าเธอเป็นคนของตระกูลหลิน ตอนแรกฉันคิดว่าที่มู่วี่สิงแต่งงานกับเธอ เกรงว่าเขาจะรู้ฐานะเธอตั้งนานแล้วหลอกใช้เธอ”
เวินจิ้งยังคงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
เวลานี้ ลิฟต์สั่นสะเทือนน่ากลัว เวินจิ้งหน้าซีดเซียว ค่อยๆจับกำแพงลิฟต์ไว้
ลู่หวั่นก็กลัวเหมือนกัน แอบอยู่ที่มุมของลิฟต์ ไฟที่อยู่ข้างบนค่อยๆดับลง
เวินจิ้งได้สติ รีบไปกดกริ่งขอความช่วยเหลือ
“มีคนไหมคะ!”
แต่ว่า ไม่มีการตอบรับใดๆ
“อยู่กับเธอทีไรโชคร้ายตลอด” ลู่หวั่นพูดด้วยน้ำเสียงโกรธ
“ฉันก็ไม่อยากอยู่ร่วมกับเธอ แต่ว่าตอนนี้ พวกเราต้องรีบคิดหาทางออกก่อน” เวินจิ้งพูดเสียงเย็นชา
หามือถือออกมา ที่นี่ไม่มีสัญญาณแม้แต่นิดเดียว
รอบด้านมืดไปสนิท เวินจิ้งหดตัวรู้สึกกลัวมาก
แต่ข้างๆ ลู่หวั่นหน้าซีดเซียวนั่งยองๆอยู่ที่มุมลิฟต์ ปากก็บ่นพึมพำ “อย่าเข้ามานะ….อย่าเข้ามา กรี๊ด….”
“เธอปล่อยฉัน!”
ลู่หวั่นกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ของตัวเอง ดึงผมตัวเองไม่หยุด
เวินจิ้งเปิดไฟฉายในมือถือ ยิ่งทำให้ลู่หวั่นร้องเสียงหลง
เธอโผเข้าหา กอดเวินจิ้งไว้แน่นทันที
“ช่วยฉันด้วย…ช่วยฉัน…”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ถึงแม้จะมีอคติกับลู่หวั่น แต่ ณ เวลานี้ เผยด้านความอ่อนแอออกมา เธอกลัวจริงๆ
เธอพูดน้ำเสียงนิ่งๆว่า “ไม่มีใครทำร้ายเธอ เธอใจเย็นๆนะ”
“อย่า เธออย่าแตะต้องฉัน!”
ทันใดนั้นลู่หวั่นใช้แรงผลักเวินจิ้งออกไป
เวินจิ้งรู้สึกเวียนหัวมาก พื้นที่ถูกปิดกั้นมิดชิด ทำให้เธอรู้สึกทรมานมาก
ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะมีคนมาพบว่าพวกเขาถูกขังอยู่ในนี้
เพื่อนร่วมงานในห้องทดลองส่วนใหญ่ก็เลิกงานกลับไปหมดแล้ว ดูท่า…ต้องรอมู่วี่สิงมาแล้วล่ะ
เวินจิ้งนั่งลง อยากจะนั่งรออย่างสงบ
ที่ไหนได้ ลู่หวั่นกลับบ้าคลั่งเอาศีรษะตัวเองชนกำแพงลิฟต์
“ตุ้บตุ้บตุ้บ” เสียงดังไม่หยุด
สักพักมีกลิ่นเลือดฟุ้งกระจาย
เวินจิ้งเงยหน้า ถ้าลู่หวั่นยังเป็นแบบนี้เขาคงอยู่ไม่ถึงตอนคนมาช่วยแน่……
เวินจิ้งรีบจับตัวเธอไว้ นึกถึงเรื่องที่เมื่อกี้ลู่หวั่นพูดพึมพำ น่าจะเป็นเพราะนึกถึงความเจ็บปวดในอดีต
“ฉันขอร้องเธอ อย่าแตะต้องตัวฉัน……” เสียงร้องไห้ของเธอร้องอย่างเจ็บปวด
ถึงยังไงเวินจิ้งก็ไม่ใจดำพอ ดึงเธอเข้ามาใกล้ตัว “หยุดโวยวายได้แล้ว นั่งลงเถอะ”
“ห้ามเธอแตะต้องฉัน!”