บทที่ 271 อยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา
“ในวันแต่งงาน คุณพาฉีเซินไปต่างประเทศ” หลินเจิ้นพูดด้วยความโกรธ
“แต่เด็กคนนั้นไม่ยอมเชื่อฟังหรอก”
ฉีเซินมักเย่อหยิ่ง อีกทั้งร้อนรนอยู่เสมอ
ตอนนี้เขาได้รับช่วงต่อบริษัทฉีซื่อกรุ๊ปไว้แล้ว และแม้กระทั่งอำนาจการตัดสินใจหลายอย่างก็อยู่ที่เขาแล้ว
เดิมทีแล้วบริษัทหลินซื่อวางแผนที่จะให้เขามารับช่วงต่อ แต่เมื่อหลินเจิ้นได้ค้นพบตัวตนของเวินจิ้ง และเขาก็ได้หยุดความคิดนั้น
ไม่อย่างนั้นตอนนี้ฉีเซิน ก็สามารถที่จะต่อสู้แข่งขันกับตระกูลมู่ได้
“ฉันจะไม่ปล่อยให้เขามาทำลายพิธีแต่งงานของหลานสาวฉัน!”
“พ่อ ไม่มีทาง ฉันจะคอยดูเด็กนั่นเอง”
…………
มู่วี่สิงได้ส่งมู่ซือซือกลับไปที่บ้านใหญ่ ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรกันสักคำ
ใบหน้าที่ปกติของมู่ซือซือนั้น เมื่อได้เห็นฉีเซิน ความเกลียดชังในดวงตาของเธอนั้นแรงกล้าเกินกว่าที่จะมองข้ามไปได้
มู่วี่สิงได้ผลักเธอกลับไปที่ห้อง พูดกำชับ “พักผ่อนให้เต็มที่ อย่าคิดฟุ้งซ่าน”
“อืม ฉันรู้แล้ว” มู่ซือซือนิ่งเงียบอย่างหวาดกลัว
แต่เริ่มก็นิ่งขึ้น มู่วี่สิงก็ยิ่งรู้สึกกังวลใจ
“พี่ชายอยู่ที่นี่เสมอนะ”
“พี่ ฉันไม่ใช่มู่ซือซือคนก่อนแล้ว ฉันจะกลับมา และแสดงให้เห็นว่าฉันได้ก้าวผ่านมันมาได้ ทำไมพวกคุณถึงไม่เชื่อฉันล่ะ” มู่ซือซือยิ้มขึ้น
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว และได้เผยให้เห็นนัยน์ตาที่เย็นชาของเขา
เวินจิ้งและมู่วี่สิงกลับมาถึงการ์เด้นมูเจียวานก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ระหว่างไม่ได้พูดอะไรกัน
เมื่อมองไปที่ชายคนนั้น เวินจิ้งรู้สึกลังเล
อาหารค่ำได้ถูกยกเลิกชั่วคราว เหตุผลเดียวที่เธอคิดได้ ก็คือฉีเซิน
เขาไม่ได้อยู่ในลิสต์รายการของอาหารมือค่ำนี้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่จู่ๆมู่ซือซือก็กลับมา
เธอรู้สึกอยู่ตลอดว่าคนสองคนนี้ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกัน
แต่ใบหน้าของมู่วี่สิงนั้นได้ตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา ออร่าที่อยู่รอบตัวก็ยิ่งเยือกเย็น ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้
ในเวลานี้ เขาได้ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
พวกเขาทั้งสองไม่ได้ทานอาหารเย็น เวินจิ้งได้ไปทำบะหมี่ที่ห้องครัว และประตูห้องหนังสือได้ถูกเคาะขึ้น
กลับกลายเป็นว่า เห็นมู่วี่สิงยืนอยู่ที่หน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานพร้อมกับปลายนิ้วคีบบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุด และยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เวินจิ้งเดินเข้าไป
“มู่วี่สิง” เธอเดินไปถึงด้านหลังเขา เขาก็เพิ่งจะรู้สึกตัว
อารมณ์บนใบหน้าของเขายังคงนิ่ง แต่ก็เต็มไปด้วยรัศมีที่อ่อนโยน
“ฉันทำบะหมี่ให้แล้ว คุณกินสักหน่อยไหม”
“ผมไม่หิว”
“ไม่หิวก็ต้องกิน หรือคุณไม่เชื่อฟังฉันแล้ว” เวินจิ้งทำหน้าอย่างจริงจัง
“ฟัง งั้นผมกินเป็นเพื่อนคุณ” มู่วี่สิงจับมือเล็กๆของเธอ
เวินจิ้งได้สั่นเล็กน้อย เพราะหนาวจัด
“มู่วี่สิง คุณบอกฉันได้ไหม เมื่อวันนี้ตอนเย็นเกิดอะไรขึ้น” เวินจิ้งมองเขา
ถ้าปล่อยไปเมื่อปีก่อน เธอไม่ต้องมาเป็นห่วงกับเรื่องพวกนี้
แต่ตอนนี้ ความสัมพันธ์ของเธอและมู่วี่สิงได้สนิทสนมกันมากขึ้น เธออยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา
“ตระกูลมู่และตระกูลฉีนั้นมีความสัมพันธ์ไม่ถูกกัน ฉีเซินเป็นคนของตระกูลฉี ปกติแล้วก็ไม่อยากจะเจอกัน แม้แต่นั่งกินข้าวด้วยกันก็เป็นไปไม่ได้” มู่วี่สิงพูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง
เรื่องนี้ ………เวินจิ้งรู้ดี
แต่ถ้าพูดอย่างนี้ หลินเวยก็คือคนของตระกูลฉี
เพียงแค่คนของตระกูลมู่ไม่ได้ถูกกีดกัน
“ในงานแต่งของเรา ฉีเซินก็จะมาร่วมด้วย” เวินจิ้งขมวดคิ้ว
ตอนนี้เมื่อได้นึกถึง พิธีแต่งงานนี้อาจไม่ราบรื่น
“มันก็ไม่เสมอไป” มู่วี่สิงกล่าวพูดอย่างเฉยเมย
“คุณนายมู่ คุณอย่าคิดมาก ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เวินจิ้งพยักหน้า แต่ภายในใจเธอก็ยังกังวลอยู่
……………..
สองวันต่อมา อั้ยเถียนมายังเมืองหนานเฉิง
เวินจิ้งไปรับเขาที่สนามบิน อั้ยเถียนก็ได้วิ่งมาสวมกอดเธอ “คิดถึงฉันล่ะสิที่รัก”
เวินจิ้งยิ้ม “แน่นอน คิดถึงเธอมาก”
“รีบพาฉันไปดูปราสาทหน่อย ฉันอยากเห็นสถานที่จัดงานแต่งงานของเธอหน่ะ”
อั้ยเถียนเป็นคนที่ได้รอบรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลหลิน แต่เวินจิ้งกลับรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลหลินเพียงเล็กน้อย
“เธอบอกซิ เธอมาเป็นลูกสาวบ้านนี้ได้ยังไง” อั้ยเถียนหัวเราะเยาะเธอ
“เธอก็รู้ ฉันไม่คุ้นเคยกับสถานะนี้”
“ตระกูลหลินเป็นตระกูลที่ร่ำรวย มีกฎมากมายใช่ไหมล่ะ” อั้ยเถียนเติบโตมาในตระกูลที่ร่ำรวย แต่เธอไม่ได้ยึดติดกับครอบครัวของเธอ เธอจึงเป็นคนที่มีชีวิตอิสระ
เวินจิ้งส่ายหัว ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ แต่จริงๆไม่ได้มีอะไร
แต่สุดท้ายก็มีความรับผิดชอบจำนวนไม่น้อยที่ต้องแบกไว้บนบ่า
ญาติที่อยู่รอบตัวของเจี่ยนอีนั้นมีน้อย แต่ตระกูลหลินเป็นตระกูลใหญ่ ในอนาคตจะต้อง เผชิญกับสภาพแวดล้อมของครอบครัวที่ซับซ้อนมากขึ้น
“ในเมื่อหลินเจิ้นและหลินเวยต่างโปรดปรานเธอทั้งคู่ อย่างนั้นเธอก็ไม่ต้องกังวล” อั้ยเถียนได้ขมวดคิ้ว เมื่อได้ฟังคำพูดของเวินจิ้ง
“สุขภาพของคุณตาไม่ค่อยจะดี หมอบอกว่ามีเวลาอีกแค่ครึ่งปี สำหรับแม่ฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาเป็นคนยังไง”
แม้ว่าเขาจะรักและเมตตากับเธอมาก แต่ดูเหมือนว่าจะสวมหน้ากาก ซึ่งไม่เป็นความจริง
“จิ้งจิ้ง ฉันเข้าใจเธอนะ แต่ไม่สามารถเลือกภูมิหลังของครอบครัวเองได้ เธอต้องปรับสภาพจิตใจของตัวเองให้ดี” อั้ยเถียนพูดด้วยความเสียใจ
………….
มาถึงบ้านตระกูลหลินก็บ่ายแล้ว อีกสามวันก็เป็นพิธีแต่งงาน หน้างานได้จัดเกือบจะพร้อมแล้ว
หลินเจิ้นรู้ว่าเวินจิ้งได้มาแล้ว จึงขอให้เธอไปที่ห้อง
อั้ยเถียนเดินไปในสวนดอกไม้
“หลานสาว มาช่วยประคองให้ฉันขึ้นหน่อย” หลินเจิ้นที่เพิ่งจะนอนให้น้ำเกลือ จิตใจยังไม่ค่อยดีนัก
“มีเรื่องที่ตาต้องการจะคุยกับเธอ ในเมื่อเธอเป็นลูกหลานของตระกูลหลิน แล้วเรื่องชื่อ ก็ต้องเปลี่ยนนะ”
สีหน้าของเวินจิ้งก็ได้เปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยคิดเรื่องนี้ เพียงแต่เธอไม่ต้องการ
ชื่อเวินจิ้งนี้ เจี่ยนอีเป็นคนตั้งให้เธอ และเธอก็ชอบมันมาก
และในใจเธอไม่ต้องการตัดขาดความสัมพันธ์ความเป็นแม่ลูกของเธอและเจี่ยนอี
แม้ว่าเธอกลับมาตระกูลหลิน แต่เธอก็ยังคงเป็นลูกสาวของเจี่ยนอี
“คุณตา ชื่อของฉัน ฉันก็ชินกับมันมาหลายปีแล้ว” เวินจิ้งขมวดคิ้ว
“เธอจะต้องสืบทอดตระกูลหลินในอนาคต ชื่อนี้มีความสำคัญมาก ตาได้เลือกให้เธอหลายชื่อ เธอลองเลือกดู” น้ำเสียงของหลินเจิ้นไม่อาจปฏิเสธได้
พูดจบ แม่บ้านได้ยื่นสมุดมาให้เล่มหนึ่ง
เวินจิ้งไม่ได้เปิด และวางทิ้งไว้ข้างๆ
“คุณตา ถ้าฉันไม่ยอมเปลี่ยนชื่อล่ะ” น้ำเสียงเวินจิ้งแข็งขึ้นเช่นกัน
หลินเจิ้นลดใบหน้าลง เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธ
อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดี มันจะส่งผมกระทบต่ออาการป่วย และค่อยๆอ้าปากค้างอย่างแรง
แม่บ้านได้รีบหยิบยามาทันที และพูดกับเวินจิ้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณหนู คุณท่านหวังดีต่อคุณนะ”
เวินจิ้งรู้สึกเจ็บจุกอก โค้งตัวลง และหยิบยามาให้คุณตากินด้วยตัวเอง
สีหน้าของหลินเจิ้นซีดเซียว และพูดค่อยๆ “ฉันก็ไม่สามารถบังคับเธอได้ แต่หลานสาว ฉันหวังว่าเธอจะฟังฉัน”
เวินจิ้งลดสายตา และได้กัดริมฝีปากของเธอแน่น
“คุณตา ขอโทษ”
เธอยืนขึ้น และได้กำชับแม่บ้านดูแลคุณตาให้ดี แล้วได้ออกจากห้องไป
เมื่ออั้ยเถียนเห็นเธอ เวินจิ้งอารมณ์ยังไม่ดี
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
เวินจิ้งส่ายหัว แต่เธอไม่ได้เก็บมาใส่ใจ และได้บอกกับอั้ยเถียนไป
“ถ้าเธอไม่เปลี่ยนชื่อ ก็จะมีปัญหายุ่งยากภายหลัง สถานะของเธอก็จะมีคนตั้งคำถาม” อั้ยเถียนกล่าว
แต่เธอรู้ความรู้สึกของเวินจิ้งและเจี่ยนอี และเข้าใจความคิดของเธอดี
“ฉันรู้ แต่ชื่อนี้เจี่ยนอีเป็นคนให้มา ฉันจะไม่เปลี่ยน” เวินจิ้งพูดอย่างมั่นคง