บทที่ 255 เข้าใจยาก
เวลานี้ มือถือของเวินจิ้งดังขึ้น สายที่โทรเข้ามาคือหลินเวย
“คุณนายฉี”
เวินจิ้งชินที่จะเรียกเธอแบบนี้
“เสี่ยวจิ้ง เมื่อวานเจอคุณปู่แล้วเหรอ?”
“ค่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าพ่อของฉันกลับมาแล้ว เมื่อวาน ทำให้เธอตกใจรึเปล่า?” หลินเวยถามด้วยความกังวล
ช่วงนี้เธอวุ่นกับการจัดการเรื่องของบริษัทหลินซื่อ จึงไม่ได้ใส่ใจความเคลื่อนไหวของคุณพ่อ
“ยังดี คุณปู่พูดกับฉันไม่น้อย”
“เสี่ยวจิ้ง เธอจะอภัยให้ฉันไหม?” น้ำเสียงของหลินเวยสั่นคลอน
เธออยากจะชดเชยสิ่งต่างๆให้เธอมาโดยตลอด
เธออยากให้เธอกลับมาตระกูลหลิน
เพียงแต่ เธอกลัวว่าเวินจิ้งไม่ให้โอกาสนี้กับเธอ
เวินจิ้งเงียบ คุณปู่พูดถึงหลินเวยว่าเธอถูกตระกูลฉีก่อกวนจนต้องทอดทิ้งเธอ แต่…สิ่งกีดขวางนี้อยู่ในใจของเธอเสมอ
“เสี่ยวจิ้ง ฉันรู้ว่าเธอต้องการเวลา ฉันจะรอ รอให้เธอยอมรับฉันยอมรับตระกูลหลิน”
หลังจากวางสา เวินจิ้งเดินออกไปจากห้องรับแขก มู่วี่สิงทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว
เธอเดินเข้าไปห้องครัว กอดเอวของเขาจากด้านหลัง
“ถ้าหากเป็นคุณ จะยกโทษให้คนใกล้ตัวที่เคยทอดทิ้งคุณไหม?” เธอถามเขา
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของมู่วี่สิงส่องประกาย รัศมีทั่วร่างเปลี่ยนจึงทำให้น่ากลัว
แต่เวินจิ้งตกอยู่ในอารมณ์ของตัวเอง และไม่ได้รับรู้ถึง
เป็นเวลานาน กว่ามู่วี่สิงจะกุมมือของเธอ และหันมา เขามองเวินจิ้ง ดวงตาเย็นชา “ไม่”
ไม่…
เขาตอบอย่างตั้งใจ
“ฉันจะจัดคนมาดูแลเธอ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น รีบรายงานฉันทันที” ก่อนที่มู่วี่สิงจะออกจากบ้าน บอกเวินจิ้งซ้ำอีก
เขาให้ช่องว่างกับเธอ โดยมีเงื่อนไขว่า เธอต้องปลอดภัย
เวินจิ้งพยักหน้า “เมื่อพวกเขาเป็นคนในครอบครัวของฉัน ไม่ทำร้ายฉันหรอก”
หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป หลินเวยมาที่การ์เด้นมู่เจียวาน เวินจิ้งนั่งเข้าไปในรถ
ด้านหลัง รถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ที่ไกลๆ
หลังจากรถคันหน้าสตาร์จเครื่อง รถคันสีดำก็ตามไป
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เวินจิ้งกลับมาที่ปราสาทที่หรูหราลึกลับแห่งนี้อีกครั้ง
เธอใจจดใจจ่อไม่ยอมลง
หลินเวยพูด “เสี่ยวจิ้ง ไม่ต้องกลัว แม่อยู่ข้างๆ”
แม่
เวินจิ้งคิ้วขยับ ไม่มีการแสดงออกทางใบหน้าแต่อย่างใด
แม่ของเธอมีแค่เจี่ยนอี
เธอลงจากรถ หลินเวยไม่ได้ฟังการตอบสนองของเธอ เผยให้เห็นความผิดหวังบนใบหน้า
ในสวน หลินเจิ้งกำลังตีกอล์ฟ
ด้านหลังปราสาทเป็นเนินเขาสีเขียว ทิวทัศน์งดงาม
“พ่อ”
หลินเจิ้งไม่ตอบ ยังคงมุ่งเน้นไปที่การตีกอล์ฟ
แม้ว่าเขาจะอายุเยอะ แต่มีพละกำลังที่ดี แต่ไม่นานนัก ร่างกายก็เหนื่อย และหอบ
พ่อบ้านข้างกายรีบยื่นยามาให้
“อาจิ้ง ตีกอล์ฟเป็นไหม?” หลินเจิ้งหันมา มองหลานสาวด้วยความกรุณา
เวินจิ้งส่ายหน้า เธอไม่เคยเล่นกีฬาชนิดนี้
“พ่อ พักก่อน” หลินเวยพยุงเขาให้นั่งลง
“เธอมาได้ยังไง” หลินเจิ้งไม่ค่อยพอใจ
“คุณกลับมาก็ไม่บอกฉัน ฉันเป็นห่วง”
“มีอะไรน่าเป็นห่วง ฉันยังไม่ตาย” หลินเจิ้งพูดอย่างโกรธเคือง
เวินจิ้งขมวดคิ้ว สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหลินเวยกับคุณปู่ความสัมพันธ์ไม่ดีมาก
“คุณปู่ คุณร่างกายยังดี ไม่เป็นไรหรอก” เวินจิ้งพูดปลอบ
สีหน้าของหลินเจิ้งถึงจะดีขึ้นมาบ้าง
“เวินจิ้ง เรื่องเมื่อวานที่ฉันพูดกับเธอ ฉันยังยืนยันคำเดิม เธอจำเป็นต้องไปมหาลัยที่ดีที่สุด” หลินเจิ้งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เวินจิ้งรู้ว่าคุณปู่พูดถึงเรื่องมหาลัย แต่เธอก็มีการตัดสินใจของตัวเอง
“คุณปู่ มหาวิทยาลัยหลินไห่สำหรับฉันแล้ว ก็เป็นมหาลัยที่ดีที่สุด
เธอรู้กำลังของตัวเองดี ว่าที่ไหนเหมาะสมกับเธอ
“ไม่ได้ เวินจิ้ง เธอต้องฟังฉัน”
“พ่อ ไม่ต้องบังคับเวินจิ้งแล้ว เด็กอยากเรียนที่ไหน ก็อยู่ที่นั่น” หลินเวยก็สนับสนุนเวินจิ้ง
เธอแค่หวังว่าเวินจิ้งจะมีชีวิตที่สุขสบาย
เพราะว่าต่อไปเธอ ต้องแบกรับสิ่งต่างๆมากมาย
“คุณปู่ ฉันหวังว่าคุณจะเคารพการตัดสินใจของฉัน”
หลินเจิ้งทำหน้านิ่งเงียบ แม้ว่าจะโกรธ แต่ก็สามารถควบคุมอารมณ์ได้
“ได้ เรื่องนี้ฉันแล้วแต่เธอ แต่อีกเรื่องใหญ่ในชีวิตของเธอ ฉันไม่สามารถให้เธอเอาแต่ใจได้”
“เรื่องที่เธอแต่งงานกับมู่วี่สิง ฉันรู้แล้ว พวกเธอแต่งงานกันสายฟ้าแลบ ไม่ได้รู้สึกอะไรกัน เธอบอกปู่ ทำไมตอนนี้ถึงรีบแต่งงานกับเขา” น้ำเสียงของหลินเจิ้งอ่อนลงบ้าง
“คุณปู่ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน” เวินจิ้งไม่อยากพูดเยอะ
“ฉันเป็นปู่ของเธอ เรื่องส่วนตัวของเธอฉันต้องสนอยู่แล้ว!” หลินเจิ้งพูดเสียงเยือกเย็น
หลินเวยยื่นมือมา ตบเวินจิ้งอย่างปลอบโยน “เสี่ยวจิ้ง เธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
เวินจิ้งลดสายตาลง เธอไม่มีปัญหาอะไร จุดประสงค์ของเธอเรียบง่ายมาก ตอนแรกเป็นเพราะต้องการให้เจี่ยนอีสบายใจ
“ฉันชอบมู่วี่สิง ดังนั้นจึงแต่งงานกับเขา” เวินจิ้งตามองขึ้นมา พูดเงียบๆ
”จริงเหรอ?” หลินเจิ้งแปลกใจ
แม้แต่สายตาของหลินเวย ก็เปลี่ยนเป็นความกังวล
เวินจิ้งพยักหน้า
“หากคุณปู่บอกว่าไม่เห็นด้วย หลานของคุณก็จะโทษฉันอีก” หลินเจิ้งถอนหายใจ
“ฉันเหนื่อยแล้ว พวกเธอกลับไปกได้แล้ว”
หลินเจิ้งยันไม้เท้า เดินไปทางบ้านหลัก
ในสวยดอกไม้เหลือแค่หลินเวยกับเวินจิ้ง
คุณปู่เป็นอะไรไป
“เสี่ยวจิ้ง ฉันรู้ว่าเธอยังยอมรับตัวตนของตัวเองยังไม่ได้ ต่อไปคอยอยู่กับคุณปู่ อยู่กับฉันให้มาก ก็จะคุ้ยเคยชิน” หลินเวยพูดอย่างเมตตา
เวินจิ้งยิ้มอย่างแข็งขัน “คุณนายฉี…”
“เรียกฉันว่าแม่ ดีไหม?” หลินเวยพูดตัดบทเธอ
เวินจิ้งหน้าเงียบ สุดท้ายก็พูดไม่ออก
“เพราะฉันรีบร้อนเกิน แต่ว่า เมื่อคุณปู่รู้สถานะของเธอแล้ว ก็ใส่ใจเธอมาตลอด ตระกูลมู่เข้าใจยาก ฉันก็หวังว่าไม่อยากให้เธอกับมู่วี่สิงอยู่ด้วยกัน” หลินเวยพูดอย่างหนักแน่น
เวินจิ้งขมวดคิ้ว เธอไม่ชอบให้ใครมาแทรกแซง
เห็นได้ชัดว่าหลินเวยมองออก สายตาไม่พอใจเผยออกมา
แต่ว่าใบหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้ม “เดี๋ยวไปกินข้าวกับแม่ อย่าปฏิเสธฉัน”
วันนี้เวินจิ้งไม่มีธุระอะไร เลยตอบตกลง
ร้านอาหารตั้งอยู่ใจกลางเมือง หลินเวยจองเหมาห้องไว้
แต่หลังจากเข้าไปแล้ว ฉีเซินก็อยู่
สีหน้าของหลินเวยเปลี่ยน “ลูกอย่างแก ทำไมอยู่ที่นี่?”
“ฉันรู้ว่าแม่จะกินข้าวกับเวินจิ้ง ฉันเลยมาขอกินด้วย”
“ไม่มีเรื่องของแก” น้ำเสียงของหลินเวยโกรธเล็กน้อย
“ใช่เหรอ? เวินจิ้ง ฉันกินข้าวกับเธอด้วยได้ไหม?” ฉีเซินถามเวินจิ้ง
เวินจิ้งเบ้ปาก ฉีเซินมักพูดว่าเขาเป็นน้องชายของเธอ เธอพูดเบาๆ “แล้วแต่”
มีฉีเซินอยู่ เธอกลับรู้สึกไม่ค่อยอึดอัดเมื่อต้องเข้ากันกับหลินเวย
“มีมารยาทหน่อย” หลินเวยพูดเสียงเงียบ
“ฉันรู้แล้ว แม่” น้ำเสียงของฉีเซินดูแปลกๆ
เวินจิ้งขมวดคิ้ว มีกลิ่นอายความผิดปกติ
เพิ่งสั่งอาหาร หลินเวยได้รับสาย บริษัทหลินซื่อเกิดเรื่อง เธอจำเป็นต้องรีบไปจัดการตอนนี้
“เสี่ยวจิ้ง ไว้คราวหลังฉันกินข้าวกับเธอ”
“คุณายฉี คุณไปทำงานก่อน” เวินจิ้งยังแปลกแยก
“ทำไม มู่วี่สิงไม่อยู่ด้วย?” ฉีเซินถาม
“เขาต้องทำงาน นายคิดว่าเหมือนคุณฉี ไม่มีงานทำเสมอ” เวินจิ้งพูดประชดนิ่งๆ
ฉีเซินหัวเราะเบาๆ “ที่แท้เธอมองฉันแบบนี้นี่เอง ยังไงก็แล้วแต่ ดูแล้วช่วงนี้พวกเธอความสัมพันธ์ดีกันแล้ว เธอยังปกป้องเขา”