บทที่ 187 มีการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมา
“ดิฉันไม่ได้พูดจามั่วซั่วสักหน่อย คุณดูสามีของดิฉัน ก็เป็นเพราะใช้ยาของพวกคุณ แม้แต่ส่วนใบหน้าก็แข็งทื่อไปหมดแล้ว!” ในขณะที่ญาติผู้ป่วยตะคอก ก็ประคองผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นขึ้นมาข้างหน้า
จากนั้นก็มีนักข่าวเข้าไปสัมภาษณ์ในทันที
“สามเดือนก่อน พวกเราลงนามข้อตกลงการทดลองยากับบริษัทการผลิตยาเทียนอี เดิมทีพวกเรามีความเชื่อใจต่อยาตัวนี้มาก ประสาทส่วนใบหน้าของสามีดิฉันได้รับบาดเจ็บเสียหายมาหลายปีแล้ว ยาตัวนี้ในตอนแรกได้ผลดีจริงๆ แต่ตอนนี้ผลข้างเคียงเป็นที่รุนแรงมาก…”
สถานการณ์ได้ค่อยๆตกอยู่ในความวุ่นวาย ความสนใจของนักข่าวต่างก็ถูกญาติผู้เสียหายเคลื่อนย้ายไปแล้ว ผู้บริหารระดับสูงหลายคนของบริษัทการผลิตยาเทียนอียังคงอยู่บนเวที กลับไม่มีคนฟังคำชี้แจงจากพวกเขาอีก
เวินจิ้งเดินเข้าไปอย่าางเร่งรีบ แต่คนของผู้สื่อข่าวรายล้อมจนอัดแน่น เธอไม่มีทางที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ได้เลย
เห็นนักข่าวกำลังถอยมาข้างหลัง เพียงครู่เดียวเวินจิ้งก็ถูกกลุ่มคนดันไปดันมา ยืนได้ไม่คงที่จนเกือบจะล้มลง แขนข้างหนึ่งโอบเธอเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
ฉีเซินยืนอยู่ที่ด้านหลังของเวินจิ้ง ริมฝีบางยังคงแฝงไปด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “ระวังหน่อย”
เวินจิ้งแทบจะผลักเขาออกในทันที จ้องเขาด้วยความโมโห “เป็นคุณที่จัดการใช่หรือเปล่า!ผู้ป่วยกับญาติเหล่านั้นอยู่ๆจะมาที่นี่ได้ยังไงกัน!”
ฉีเซินหรี่ตาลง สีหน้าเยือกเย็น “เวินจิ้ง ทำไมคุณถึงมักจะชอบยัดเยียดข้อกล่าวหาให้กับผมมั่วๆ ผมในสายตาของคุณ ดูเหมือนกลายเป็นคนเลวที่ชั่วร้ายจนไม่สามารถที่จะยกโทษให้ได้?”
“งั้นคุณจะรู้ก่อนได้ยังไงว่าจะเกิดเรื่อง?” เวินจิ้งซักถาม
“ผมเพียงแค่เตือนคุณ สำหรับที่ว่าจะเกิดเรื่องหรือไม่นั้น ผมก็แค่พูดออกไปลอยๆก็เท่านั้นเอง”
เวินจิ้งกลัดกลุ้ม ผู้ชายคนนี้…แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมา
“สิ่งที่คุณควรทำในตอนนี้ก็คือจัดการปัญหา ไม่ใช่มาซักถามผม” ฉีเซินตบไหล่ของเธอเบาๆ
ถูกเวินจิ้งหลบเลี่ยงออกอย่างรังเกียจ ความเยือกเย็นภายในสายตาของเขาแผ่ขยายขึ้น
ในเวลานี้ เสี้ยวหงที่หายไปสองชั่วโมงเดินเข้ามาจากด้านนอกสถานที่ บอดี้การ์ดเปิดทางให้กับเขา เขาเดินไปถึงข้างกายของผู้ป่วยโดยตรง
เลขาที่อยู่ด้านหลังถือประวัติอาการป่วยหลายชุดเอาไว้ สายตาที่แหลมคมของเขาหรี่ลง
”ทุกท่านกรุณารักษาความสงบด้วยครับ” เขาชูมือขึ้น ให้ทุกคนใจเย็นลงมา
“สำหรับผลการทดลองยาของผู้ป่วยสองสามท่านนี้ ต่างก็ถูกบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนอยู่ในประวัติอาการป่วยแล้ว ส่วนผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยในตอนนี้นั้น ไม่ใช่ผลที่มาจากเหม่ยทงยาตัวนี้ครับ”
พูดจบ เขาก็ให้เลขานำประวัติอาการป่วยถือไปยังด้านหน้าของเครื่องฉายภาพ บนหน้าจอก็ปรากฏข้อมูลที่เป็นรูปธรรมที่อยู่บนแฟ้มประวัติอาการป่วยออกมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว
“ประวัติอาการป่วยของพวกคุณเป็นของปลอม นี่ไม่ใช่ประวัติอาการป่วยของสามีฉัน!” มีญาติผู้ป่วยตอบสนองกลับมาในทันที เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โมโห
“ประวัติอาการป่วยที่อยู่ในมือของพวกคุณถึงจะเป็นของปลอม ผมคิดว่าผู้ป่วยทั้งสองสามท่านนี้ถูกผู้ที่มีเจตนายุยงส่งเสริมก็เท่านั้นเอง บอกกับนักข่าว เป็นใครที่ให้ประวัติอาการป่วยกับพวกคุณ แล้วก็เป็นใครอีกที่ให้พวกคุณมาทำลายชื่อเสียงของบริษัทการผลิตยาเทียนอี”
น้ำเสียงของเสี้ยวหงมืดหม่นและเยือกเย็น ทุกตัวอักษรต่างก็น่าเกรงขาม
สีหน้าของญาติผู้ป่วยซีดเผือดลง ความลนลานที่อยู่ภายในสายตาปรากฏขึ้น “คุณกำลังพูดมั่ว!”
และในเวลานี้ เวินจิ้งได้เบียดเข้าไปในกลุ่มคน หยิบประวัติอาการป่วยที่อยู่บนตัวคนไข้ขึ้นมาดู แม้กระทั่งลายเซ็นของหมอที่ทำการรักษาก็ยังไม่มี
เธอชูไปยังเบื้องหน้าของนักข่าวทั้งหลาย “ประวัติอาการป่วยไม่มีลายเซ็นของคุณหมอก็ไม่ใช่ประวัติอาการป่วยที่โรงพยาบาลใช้กันทั่วไป มาตรฐานการสร้างข่าวเท็จของพวกคุณต่ำเกินไปแล้วหรือเปล่า?”
“คุณเป็นใคร…คุณพูดมั่วอะไร…อาการของสามีฉันไม่ได้รับการรักษามาโดยตลอด ยังนับวันยิ่งรุนแรงขึ้น ก็เป็นเพราะใช้ยาของพวกคุณ!”
“ชนิดของยาที่เขียนอยู่บนประวัติอาการป่วยมีจำนวนมาก ทำไมคุณถึงกัดไม่ยอมปล่อยว่าเป็นเหม่ยทงที่ทำให้สถานการณ์ของสามีคุณนับวันยิ่งรุนแรงขึ้น?”
“ก็เป็นเพราะสามีของฉันใช้เหม่ยทงถึงได้ปรากฏอาการเช่นนี้ออกมา ผู้ป่วยคนอื่นๆก็เหมือนกัน!”
ที่มาถึงที่นี่ยังมีผู้ป่วยอีกสองรายที่ใช้เหม่ยทงเช่นเดียวกัน เวินจิ้งกำลังจะเอ่ยปาก เสี้ยวหงก็ได้เอ่ยปากขี้นก่อนแล้ว “เกี่ยวกับอาการของผู้ป่วยสองสามท่านนี้ แทนที่จะใส่ร้ายโดยที่ไม่มีหลักฐานเลยแม้แต่น้อยอยู่ที่นี่ สู้ไปตรวจสอบว่ายาอะไรกันแน่ที่ส่งผลกระทบต่อความผิดปกติของร่างกายให้เร็วที่สุดยังจะดีกว่า การทดลองหลายต่อหลายครั้งพิสูจน์ว่า เหม่ยทงยาตัวนี้ไม่ได้มีส่วนประกอบที่ส่งผลให้ส่วนของใบหน้าใดๆแข็งทื่อ นี่คือการวิเคราะห์ที่เป็นรูปธรรมของเหม่ยทงยาตัวนี้”
เสี้ยวหงให้เลขานำรายงานการวิเคราะห์จัดแสดงออกมาอีกครั้ง
และต่อมาเสี้ยวหงก็จัดการให้ผู้ป่วยทั้งสองสามรายไปทำการตรวจที่โรงพยาบาลในทันที ตลอดกระบวนการยุติธรรมโปร่งใส หากเป็นเพราะว่าใช้เหม่ยทงทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงจริงๆ เหม่ยทงจะหยุดการจำหน่ายในทันที
การรับประกันของเสี้ยวหงทำให้ผู้สื่อข่าวทั้งหลายได้รับความสบายใจขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกคนต่างก็ทยอยกันไปที่โรงพยาบาลรอคอยผลการตรวจ
กลับมาถึงห้องพักผ่อน บนโซฟา ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสีดำกำลังดูข่าวบนแท็บเล็ตอย่างสง่างาม
“วี่สิง โชคดีที่แกเตือนเอาไว้ก่อน แต่ว่า แกรู้ได้ยังไงว่าจะมีคนมาก่อกวน?” ในวงการค้าเสี้ยวหงก็ฉลาดเฉียบแหลมมาโดยตลอด แต่ในคราวนี้ ถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่มีความสามารถในการทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้
“ฉีเซินไม่ได้อยู่ในกรอบประเพณีมาโดยตลอด ฉันให้แกเปิดงานแถลงข่าว ก็เพื่ออยากจะลองหยั่งเชิงความคิดของเขา คราวนี้ปิดปากของนักข่าวเอาไว้ได้แล้ว ค่อยให้ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์แบนผู้สื่อข่าวที่บิดเบือนความเป็นจริงไปทั่วเหล่านั้น ขจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลังอย่างถาวร” มู่วี่สิงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
“ก็ยังเป็นแกที่เข้าใจเขา เพียงแต่เรื่องของพวกแกสองคน มีสิทธิ์อะไรถึงเอาความหายนะถึงมาลงที่ฉัน?” เสี้ยวหงท่าทีแสร้งทำเป็นโกรธ
เขาคือคนที่ถูกมู่วี่สิงเชิญกลับมากุมอำนาจที่บริษัทการผลิตยาเทียนอี แต่ในความเป็นจริงถูกม้วนเข้าไปอยู่ในการทะเลาะเบาะแว้งบางอย่างตั้งนานแล้ว
“หรือว่าแกไม่อยากกลับมา?” มู่วี่สิงเลิกคิ้วขึ้น ริมฝีปากบางในที่สุดก็มีรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“หากไม่ใช่แก ฉันอยู่ที่ต่างประเทศเป็นอิสระขนาดไหน” เสี้ยวหงพิงไปบนโซฟา สายตาค่อยๆปรากฏความเหงาออกมาเล็กน้อย
“ก็จริง ไม่แน่ตอนนี้ก็คงจะเริ่มต้นครอบครัวไปตั้งนานแล้ว ลูกก็คงจะมีแล้ว” มู่วี่สิงเอ่ยขึ้นอย่างเยาะเย้ย
เสี้ยวหงจ้องไปที่เขาแวบหนึ่ง “แกก็รู้ดีว่า ฉันไม่ได้ชอบเธอ”
“ดังนั้นอยู่ที่เมืองหนานเฉิงก็เลยหว่านเสน่ห์ไปทั่ว?”
คิดถึงคำพูดของเวินจิ้งขึ้นมา มู่วี่สิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ชู่ว์ มีโอกาสก็เล่นสนุกเป็นบางครั้งบางคราวก็เท่านั้นเอง”
เพิ่งจะพูดออกไป โทรศัพท์มือถือของเสี้ยวหงก็ดังขึ้น เห็นเบอร์ที่โทรมา อารมณ์ที่นิ่งสงบภายในดวงตาของเขาก็ลนลานขึ้นมา
ในวินาทีที่รับสายโทรศัพท์นั้น เขาก็แทบจะวิ่งออกไปอย่างโซซัดโซเซในทันที
เวินจิ้งผ่านระเบียงทางเดิน เงาร่างที่ร้อนรนของเสี้ยวหงทำให้เธอขมวดคิ้วขึ้น เธอยังคิดถามเขาเรื่องของอั้ยเถียน
เพียงแต่ เอวกลับถูกแขนๆหนึ่งโอบรัดเอาไว้ มู่วี่สิงหมุนเธอเข้าไปไว้ข้างในอ้อมแขน
“ช่วงนี้จิตใจของคุณนายมู่ต่างก็ไม่ได้อยู่ที่ผมแล้ว?” เสียงของชายหนุ่มแฝงไปด้วยความอิจฉาเล็กน้อย
เวินจิ้งขมวดคิ้วขึ้น นี่ถึงได้หันหน้ากลับไป เอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “อั้ยเถียนขาดการติดต่อไปแล้ว คุณไม่ได้ขาดการติดต่อสักหน่อย”
“ผมขาดการติดต่อไป คุณจะเป็นห่วงผม?” มู่วี่สิงเชยคางของเธอขึ้น
เวินจิ้งหยุดชะงักไปชั่วขณะ หลบเลี่ยงสายตาที่เร่าร้อนของเขา “คนที่เป็นห่วงคุณมากมายขนาดนั้น ก็ไม่ได้ขาดฉันแค่คนเดียวสักหน่อย”
ความไม่พอใจบนใบหน้าของมู่วี่สิงปรากฏขึ้น ผู้หญิงคนนี้ รู้ดีจริงๆว่าจะยั่วให้เขาโกรธยังไง
แขนยาวผลักออก แผ่นหลังของเวินจิ้งชนไปบนกำแพงอย่างกะทันหัน เบื้องหน้า ใบหน้าอันหล่อเหลาที่บริสุทธิ์เยือกเย็นของชายหนุ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“มู่วี่สิง…” เธอขมวดคิ้วขึ้น
นักข่าวที่อยู่ที่นี่มากมายขนาดนั้น ทำไมเขาถึงยังเข้ามาใกล้ขนาดนี้อีก…
สถานะทางสังคมของมู่วี่สิงในตอนนี้ยิ่งไม่เหมือนเดิมมาตั้งนานแล้ว หากถูกถ่ายเข้า ชีวิตที่สงบสุขของเธอก็อาจจะไม่มีแล้ว…
พอคิดเช่นนี้ เวินจิ้งก็ผลักมู่วี่สิงออกอย่างแรง แต่กลับดันยั่วให้เขาโกรธมากยิ่งขึ้น บีบคางเธอเอาไว้จากนั้นก็จูบลงไปอย่างรุนแรงในทันที