บทที่ 138 แกล้งแต่งแต่รักจริง
ในที่สุด หลังจากผ่านช่วงเวลาอันเร่าร้อนแสนลึกซึ้งของคนทั้งสอง เวินจิ้งรู้สึกอ่อนแรงและปวดเมื่อยไปทั่วตัว เธอนอนอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน และจ้องมองอาชญากรตัวร้ายที่จับตายเธอเมื่อคืน
“มู่วี่สิง ไอ้คนลามก! ไอ้คนไร้ยางอาย!” เวินจิ้งหันหน้าหนีสายตาของเขา
ตอนที่มู่วี่สิงกดเธอไว้กับพื้นบริเวณหน้าบานหน้าต่างสูงใหญ่จรดพื้นเมื่อสักครู่นี้ ถ้าหากถูกคนรับใช้เห็นเข้าล่ะก็……
ผู้ชายคนนี้ช่างตีสองหน้าได้อย่างแนบเนียน! ทำไมถึงได้ทำกันถึงขนาดนี้!
ตอนนี้เวินจิ้งรู้สึกเขินอายอย่างมาก แก้มทั้งสองข้ามของเธอมีสีแดงก่ำ เมื่อหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ทุก ๆ ฉากเข้า……
“ไม่ชอบเหรอ หืม” มู่วี่สิงแอบอิงเธอ และคว้าตัวเธอเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน
เวินจิ้งนิ่งเงียบ ไม่โต้ตอบกลับไป
ความจริงแล้ว ตราบใดที่ได้อยู่กับมู่วี่สิง เธอจะไม่ชอบได้ยังไงกันล่ะ
แต่ทว่า เธอกลับรีบปิดบังความรู้สึกของตัวเองในทันที
“คุณจะไม่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ยาตัวใหม่ของบริษัทการผลิตยาเทียนอีกต่อไปแล้วใช่ไหม” เวินจิ้งถาม
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว และถือสมุดบันทึกเดินมาทางนี้ เขาหรี่ตาลง “อือ แต่ผมสามารถให้ผู้เชี่ยวชาญอีกคนช่วยรับช่วงต่อได้ งานวิจัยและพัฒนาชิ้นนี้จำเป็นที่จะต้องมีการดำเนินต่อไป”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ต้องทดลองร่วมกับเขาต่อไปใช่ไหมคะ” เวินจิ้งถาม
มู่วี่สิงเงยหน้า “ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว คุณอยากไปกับผมเหรอ”
“ไม่อยากหรอก!” เวินจิ้งสะบัดหน้า
มู่วี่สิงหัวเราะเบา ๆ และจับใบหน้าของเธอให้หันกลับมา “ถ้าอย่างนั้น ผมก็ไม่บังคับคุณหรอก”
ในตอนนั้น เวินจิ้งรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างสุดหัวใจ
ตลอดช่วงเวลาที่ทำการทดลองร่วมกับมู่วี่สิงนั้น ความรู้ด้านวิชาชีพต่าง ๆ ที่เธอได้เรียนรู้นั้นมีมากมาย ซึ่งความรู้เหล่านั้นไม่มีวันที่เธอจะได้พบจากบริษัทเทียนอีเลย ถ้าหากว่าเธอจะต้องทำการวิจัยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญคนอื่นต่อไป เธอก็สามารถยอมรับในเรื่องนั้นได้
อย่างไรก็ตาม คนคนนั้นไม่ใช่มู่วี่สิง
เวินจิ้งไม่รู้ว่าตัวเองจะกลับไปที่ห้องของเธอได้อย่างไร เธอรู้สึกหดหู่อยู่เป็นเวลานาน ถึงจะพ่ายแพ้ให้กับความเพลียและผล็อยหลับไป
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น มู่วี่สิงต้องไปที่โรงพยาบาลเพื่อทำเรื่องขอลาออกตามขั้นตอน เวินจิ้งเองก็กลับไปที่บริษัทการผลิตยาเทียนอีเป็นการชั่วคราว
ตำแหน่งงานก่อนหน้าของเธอนั้นมีคนแทนที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เธอกลับมา ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเท่าไรนัก ตอนนี้อั้ยเถียนได้กลายเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ส่วนเวินจิ้งเริ่มช่วยเธอทำงานจิปาถะมากขึ้นกว่าเดิม
ตอนเที่ยง ทั้งสองคนไปทานข้าวด้วยกัน อั้ยเถียนยังคงซักไซ้ไล่เลียงอีกครั้ง “คุณหมอมู่อยากลาออกจริง ๆ เหรอ”
“อื้อ ดูเหมือนว่าเขาต้องรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัวน่ะ” เวินจิ้งขมวดคิ้ว
“น่าเสียดายจังเลยนะ ทำไมเธอถึงไม่เกลี้ยกล่อมเขาล่ะ ฉันชอบคุณหมอมู่ที่สวมชุดกาวน์สีขาวจัง ถ้าหากเขาต้องมาสวมชุดสูทขึ้นมาอย่างฉับพลันล่ะก็ ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องดูหล่อมากแน่เลย……” อั้ยเถียนดื่มด่ำกับจินตนาการของเธอ
เวินจิ้งเคาะศีรษะของเธอ “มันคือการตัดสินใจของเขา ฉันจะไปเกลี้ยกล่อมเขาได้ที่ไหนกัน”
“แต่เธอเป็นภรรยาของเขานะ!”
“ใช่ซะที่ไหนล่ะ!”
“เธอคงไม่ได้แกล้งแต่งแต่รักจริงหรอกนะ!” อั้ยเถียนพูดพลางหัวเราะคิกคัก
แก้มทั้งสองข้างของเวินจิ้งแดงก่ำ พลันคิดถึงภาพฉากอันน่าอับอายเมื่อคืนวานนี้ขึ้นมาอีกครั้ง…….
อั้ยเถียนกดเปิดกลุ่ม WeChat ขึ้นมา ถึงแม้ว่ากลุ่มสนับสนุนมู่วี่สิงจะวงแตกเรียบร้อยแล้ว แต่บรรดาแฟนตัวยงก็เปิดกลุ่มแฟนคลับขึ้นมาอีกครั้ง ทันทีที่มีข่าวของมู่วี่สิง กลุ่มนี้ก็จะเกิดขึ้น
วันนี้เป็นวันที่มู่วี่สิงมาทำเรื่องขอลาออก ทำให้มีแฟนคลับจำนวนมากแอบไปที่โรงพยาบาล
“จิ้งจิ้ง ฉันอยากร้องไห้จัง” อั้ยเถียนจับเธอเอาไว้
เวินจิ้งเงยหน้า ในมือถือของเธอมีแต่คลิปวิดีโอที่มู่วี่สิงลาออกจากโรงพยาบาลเหรินหมินในวันนี้ มีพยาบาลจำนวนมากเดินตามเขาอยู่ที่ด้านหลัง และมีแฟนคลับอีกจำนวนมากรออยู่ที่บริเวณประตูทางเข้า ทุกคนต่างร้องตะโกนและโผเข้าสวมกอด เพื่อขอร้องให้เขายอมอยู่ต่อ
บรรดาผู้คนที่ออกันอยู่บริเวณนั้นเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งผู้ป่วยต่างก็มาขอร้องมู่วี่สิง แต่ทว่าสุดท้ายเขาก็จากไปอยู่ดี
เวินจิ้งเม้มปาก ตอนนี้ ความเจ็บปวดในหัวใจของเธอไม่สามารถถูกมองข้ามไปได้
“เธอว่าเขาจะกลับมาเป็นหมอในอนาคตอีกไหม” อั้ยเถียนมองดูเวินจิ้งอย่างคาดหวัง
เวินจิ้งลดสายตาลง และพูดเสียงเข้ม “ฉันมั่นใจว่าเขาไม่มีทางล้มเลิกอุดมการณ์ของเขาแน่นอน”