บทที่ 133 เลิกคิดว่าผมจะไปส่งคุณได้เลย
ฉีเซินหรี่ตาลง และรีบเหยียบคันเร่ง
เมื่อกลับไปถึงรีสอร์ตแล้ว เขาก็ลงจากรถ และอุ้มเวินจิ้งลงจากรถด้วยเช่นกัน
เธอรีบขัดขืนเขาทันที “ฉันเดินเองได้”
เมื่อพูดจบ เธอลงจากรถด้วยตัวเองอย่างดื้อรั้น ผู้จัดการรีบจัดห้องให้อย่างรวดเร็ว เวินจิ้งเดินเข้าไปในห้องพัก เมื่อเห็นว่าฉีเซินก็เดินตามเข้ามาด้วย เธอมองดูเขาอย่างระมัดระวังตัว
“คุณมีไข้หรือเปล่า” ฉีเซินทำเป็นหูทวนลมและไม่สนใจแววตาเย็นชาของหญิงสาว เขาแตะมือไปที่หน้าผากของเธอ
เวินจิ้งถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็พยักหน้า
ฉีเซินสั่งผู้จัดการ “เตรียมยาลดไข้กับชุดผู้หญิงที่สะอาดมาให้ที”
ผู้จัดการรู้สึกลำบากใจ ตอนนี้ฝนตกหนักอย่างมาก ถนนบนเขาต่างถูกปิดหมดแล้ว และรีสอร์ตแห่งนี้ก็ยังไม่ได้เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ ที่นี่จึงไม่มีสิ่งของเหล่านั้นที่เขาต้องการ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉีเซินขมวดคิ้ว ส่วนเวินจิ้งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยปากว่า “ฉันไปนอนพักสักครู่ก็หายแล้วล่ะค่ะ”
เธอในตอนนั้นรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก เธอคิดแต่เพียงอยากจะหลับตาลงเท่านั้น ไม่อยากคิดอะไรอย่างอื่นอีก
ฉีเซินอยู่ที่ข้างกายของเธอ เวินจิ้งลืมตาขึ้นมา และพูดอย่างใจเย็นว่า “คุณออกไปเถอะ ฉันแต่งงานแล้วนะ ฉีเซิน คุณเองก็มีคู่หมั้นแล้ว พวกเราควรจะรักษาระยะห่างระหว่างกันและกันเอาไว้ค่ะ”
ฉีเซินหรี่ตาลง แต่กลับยังคงอยู่ข้างเตียงไม่ยอมไปไหน ริมฝีปากอันเรียวบางยิ้มขึ้นมาและพูดว่า “ที่นี่มีแค่พวกเราสองคน ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ใครจะไปรู้ได้ล่ะ”
เวินจิ้งเงื้อมือขึ้นหมายจะตบเข้าที่ใบหน้าของเขา แต่กลับถูกฉีเซินคว้าข้อมือเอาไว้
“ทำไมถึงต้องจริงจังขนาดนี้ ล้อเล่นหน่อยก็ไม่ได้เหรอไง วางใจเถอะ ถึงผมจะชอบคุณ แต่ผมรู้ว่าต้องทำอย่างไรก่อนที่คุณจะหย่าร้างกับมู่วี่สิง”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังและเดินออกไป
เวินจิ้งกลับไม่รู้สึกโล่งใจสักนิด เธอมองดูโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถต่อสายออกไปไหนได้
แม้แต่ไวไฟก็ยังไม่มี
นี่ฉันอยู่ในที่บ้าอะไรกันเนี่ย!
ฉีเซินตั้งใจทำแบบนี้ใช่ไหม
ความเหนื่อยล้าทำให้เธอผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ฉีเซินยืนอยู่ที่ด้านนอกประตู และมองดูสายฝนที่ยังคงตกโปรยปรายลงมา ดวงตาสีดำขลับหรี่ลง
ผู้จัดการรีบมารายงานโดยเร็ว “คุณฉี ผมให้คนไปจัดการกวาดดินโคลนถล่มที่ปิดทางลงเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อย่างเร็วที่สุด ค่ำวันนี้น่าจะสามารถเดินทางผ่านถนนเส้นนั้นได้แล้วครับ”
“ไว้รอให้ฝนหยุดตกก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่รีบร้อนอะไร” ริมฝีปากเรียวบางของฉีเซินยิ้มขึ้นอย่างหยอกล้อ
จนกระทั่งเมื่อถึงตอนค่ำ เวินจิ้งถึงจะตื่นนอน เสื้อผ้าบนร่างกายเธอยังคงเปียกปอน เธอจึงนอนหลับไม่ค่อยสนิทดีเท่าที่ควร
อุณหภูมิร่างกายของเธอสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอลืมตาอย่างยากลำบาก ทันทีที่ลุกจากเตียง ฉีเซินก็ผลักประตูเข้ามาทันที
ใบหน้าของเวินจิ้งในตอนนี้ดูอ่อนแรงและน่ารักน่าเอ็นดูมากทีเดียว
“ในนี้มีชุดสะอาดอยู่ชุดหนึ่ง คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จากนั้นค่อยไปกินข้าว”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว เธอหยิบเสื้อผ้าชุดนั้นขึ้นมา มันเป็นชุดสำหรับใส่ทำงาน แต่ทว่าในตอนนี้ หากได้เปลี่ยนเสื้อผ้าคงจะเป็นการดีที่สุด
เมื่อเธอเดินออกมาจากห้อง ฉีเซินก็นั่งลงที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว
เวินจิ้งก้าวไปทีละก้าวอย่างหนักอึ้งมุ่งตรงไปที่โต๊ะอาหาร
“เราจะไปจากที่นี่ได้เมื่อไร”
“อย่างน้อยก็ต้องรอให้ฝนหยุดตกก่อน ไม่อย่างนั้นทางลงเขาจะลื่นเกินไป ผมไม่อยากตายที่นี่” ฉีเซินพูดเสียงเข้ม
เวินจิ้งมองดูเขาอย่างไม่พอใจ “ฉันอยากจะไปตอนนี้”
“คิดถึงมู่วี่สิงเหรอไง” แววตาของฉีเซินเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
“ใช่” เวินจิ้งไม่ปฏิเสธ
และในขณะเดียวกัน มู่วี่สิงเองก็ตรวจพบที่อยู่ของเวินจิ้งแล้ว
เธอกำลังอยู่ที่เขาซีซานซึ่งตั้งอยู่ในเขตชานเมือง ตอนนี้เกิดเหตุดินถล่มขึ้นอีกครั้ง ทำให้เส้นทางขึ้นเขาเพียงทางเดียวที่มีนั้นถูกปิดกั้นโดยสมบูรณ์
“เตรียมเฮลิคอปเตอร์” มู่วี่สิงพูดอย่างเย็นชา
เกาเชียนประหลาดใจ แต่ก็รีบตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว
ภายในรีสอร์ต
เวินจิ้งไม่รู้สึกอยากอาหาร แม้แต่ข้าวต้มกับเครื่องเคียง เธอก็ทานไม่ลง
ฉีเซินถามด้วยความกังวล “ยังรู้สึกไม่สบายอยู่เหรอ”
เวินจิ้งไม่พูดอะไร เธอทำได้แต่เพียงกวนข้าวต้มสีขาวนั้น และแสดงออกให้เห็นว่าเธอไม่อยากพูดกับเขา
สีหน้าของเฉินซีเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ “ถ้าคุณไม่กินข้าว ก็เลิกคิดว่าผมจะพาคุณกลับไปส่งได้เลย”
“คุณ!” เวินจิ้งจ้องมองเขาด้วยความโกรธจัด “ฉีเซิน ไอ้คนเลว!”
“แค่นี้ผมก็เป็นคนเลวแล้วเหรอ เวินจิ้ง พูดถึงความเลวแล้ว ผมยังห่างชั้นกับมู่วี่สิงอีกมาก”