บทที่ 22 ลืมคำพูดของฉันไปซะ
พอเหลือบตาขึ้น มู่วี่สิงก็ขึ้นไปนั่งบนรถ ห่างจากเธอไปไม่ใกล้ไม่ไกล
เวินจิ้งได้ยินเสียงบีบแตรแสบแก้วหู พอหันหน้าไปมอง คานเยนน์ คูเป้สีดำก็ห่างจากเธอไปไม่กี่เมตร
แถมคานเยนน์ คูเป้คันนั้นก็กำลังขวางรถหลายคันที่ติดออกันเป็นแถวยาวอยู่ด้านหลัง
หนังศีรษะเธอชาวาบ นี่มู่วี่สิงกำลังทำอะไรกัน!
โชคดีที่ร้านอาหารอยู่ด้านหน้านี่เอง เวินจิ้งไม่สนใจอะไรแล้ว เธอเดินเข้าไปข้างใน
ที่นี่ไม่ไกลจากเทียนอี แน่นอนว่าย่อมต้องมีพนักงานจากที่นั่นมากินอาหารที่นี่ เวินอี้จนใจเลือกห้องอาหารเดี่ยว
“บรรยากาศที่นี่ไม่เลวเลย” มู่วี่สิงเดินเข้ามา ค่อนข้างพอใจ
มุมปากของเวินจิ้งกระตุก เนื้อที่ในห้องไม่ได้ใหญ่มากเท่าไร่นัก เก้าอี้ที่ใช้นั่งก็มีแค่โซฟาตัวนิ่มที่เป็นครึ่งวงกลม พอทั้งสองคนนั่งด้วยกันก็ใกล้ชิดกันไม่น้อย
มู่วี่สิงตัวสูงขายาว ย่อมต้องยึดโวฟาไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เวินจิ้งรู้สึกเพียงแต่ว่าพื้นที่เล็กไปถนัดตา ทั่งร่างรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ
“ตอนบ่ายคุณจะกลับโรงพยาบาลมั้ยคะ?” หลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้ว บรรยากาศก็เงียบลงเวินจิ้งจึงเปิดปากถามเขา
แล้วก็ถือโอกาสขยับตัวเองออกมา รักษาระยะห่างกับมู่วี่สิง
ตาของชายหนุ่มหลุบลง สีหน้าแสดงออกว่าไม่แปลกใจ
“อืม ยังมีเคสผ่าตัดอีกหนึ่งเคส เย็นนี้ไม่แน่ว่าจะกลับ”
“งั้นก็ดีค่ะ” เวินจิ้งพูด
ชั่วครู่หนึ่งสีหน้าของมู่วี่สิงครึ้มลง ผู้หญิงคนนี้ไม่อยากเจอเขาขนาดนี้เชียวเหรอ?
“งั้นคืนนี้ฉันกลับบ้านดีกว่า” เวินจิ้งพูดต่อไป
มู่วี่สิงกำถ้วยชา ก้นสายตามีคลื่นโทสะ
“ผมผ่าตัดเสร็จจะมารับคุณ” คำพูดของมู่วี่สิงแฝงคำสั่ง
เวินจิ้งชะงัก ไม่ใช่ว่าเขาพูดว่าไม่แน่ว่าจะกลับหรือไงกัน?
“ไม่ควรปล่อยให้คุณอยู่บ้านคนเดียวนี่ จริงมั้ย? คุณนายมู่” มู่วี่สิงมองดูเธอ สายตามืดครึ้ม
เวินจิ้งย่นคิ้ว วินาทีนั้นรู้สึกได้ชัดเจนว่ามู่วี่สิงกำลังโกรธ
ผู้ชายคนนี้ดูภายนอกอบอุ่นแถมยังทระนงในศักดิ์ศรี แต่ในกระดูกของเขากลับฝังความเผด็จการไว้ถึงขนาดนั้น
“ฉันไม่เป็นไร ยิ่งกว่านั้นฉันก็ไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว คืนพรุ่งนี้ฉันก็ต้องกลับไปบ้านคุณ ดีมั้ย?” เวินจิ้งมองเขาอย่างรอคอย
สายตาของเธออ่อนโยน มู่วี่สิงมองเธอ ครู่ใหญ่ๆจึงค่อยพยักหน้าลง
“คุณเก็บข้าวของให้ดี ช่วงนี้ที่อยู่บ้านของผมไปก่อน ผ่านไปสักพักห้องซ่อมเสร็จแล้วเราค่อยย้ายเข้าไป” มู่วี่สิงบอกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
วางแผนแบบนี้ ราวกับพวกเค้าเป็นคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันใหม่จริงๆ
เวินจิ้งมีแววเจ็บปวดในเบื้องลึกสายตา เธอกับฉืออี้เหิงก็เคยมีวางแผนในอนาคตแบบนี้ เพียงแต่สุดท้ายก็เป็นแค่ความฝันหนึ่งตื่นเท่านั้น
“ค่ะ”
เมื่อกินข้าวเสร็จเวินจิ้งก็คิดจะออกไปก่อนมู่วี่สิง เขากลับไม่ฟังเดินไหล่ชนไหล่ออกมา
เพิ่งดินออกมาจากห้องอาหาร เสียงคุ้นเคยสายหนึ่งก็ดังขึ้น
“อาเหิง เมื่อกี้ตอนเลือกชุดเจ้าสาวคุณคิดว่ายังไงบ้าง?” เสียงของฉินเฟยดังขึ้นมา
เวินจิ้งแทบจะรู้ในทันทีว่าใคร พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉินเฟยกับฉืออี้เหิงกำลังเดินมาทางนี้จริงๆ
ราวกับเท้าถูกราดทับด้วยตะกั่วเหลว เวินจิ้งตกใจจนยืนอยู่กับที่
ตรงเอวมีมือเพิ่มขึ้นมา มู่วี่สิงโอบเธอไว้ ริมฝีปากของเขาเขยิบใกล้ปากเธอ “เวินจิ้ง ลืมคำพูดของผมไปแล้วหรือไง?”
คุณนายมู่ ลืมเขา
เขาเคยบอกแล้ว
เธอสูดลมหายใจลึก ตอนที่เงยหน้าขึ้นสีหน้าก็สงบลงแล้ว มองผ่านสองคนนั้นไปเสียเฉยๆ
เพียงแต่ฉินเฟยกลับมาขวางเธอไว้
“เวินจิ้ง นี่แฟนเธอเหรอ?”
ดวงตาฉืออี้เหิงเองก็เบนมาทางเธอเช่นกัน สายตาของเขาแหลมคมราวกับเข็มเงิน
เวินจิ้งกำมือ เอ่ยเสียงเรียบ “มู่วี่สิง สามีฉันเอง”
ฉินเฟยเผยสีหน้าตกใจ หันไปมองฉืออี้เหิงที่ยืนสงบอยู่ตรงนั้น เขารู้มาตั้งนานแล้วงั้นเหรอ?
“คาดไม่ถึงจริงๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่?” ฉินเฟยถาม
“เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับคุณหนูฉินกระมัง?” เวินจิ้งฉีกปากบอกเรียบ ๆ
“เวินจิ้ง จะดีร้ายยังไงพวกเราเพื่อนร่วมรุ่นกันตั้งหลายปี ฉันก็แค่อยากแสดงความยินดีกับเธอเท่านั้นเอง” น้ำเสียงของฉินเฟยแสดงออกว่าโล่งใจ
เวินจิ้งแต่งงานไปก็ดีแล้ว
เพียงแต่ว่าผู้ชายคนนี้ดูยังไงก็—–ไม่ธรรมดา