ในช่วงเวลาเดียวกันที่ข่าวลือพวกนี้แพร่กระจายไปทั่ว
ความนิยมของคุโรเสะภายในห้องเรียนก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“คุโรเสะซังเนี่ยน่ารักดีเนอะ”
ในช่วงเวลาพักเบรกพวกผู้ชายก็กำลังพูดคุยกันถึงตัวเธออยู่ที่ไหนสักที่หนึ่งภายในห้องเรียน ผมก็พอเข้าใจเหตุผลว่าทำไมหลังจากที่ผมได้สังเกตุตัวคุโรเสะซังมาได้สักพัก
ช่วงหลังหมดคาบเรียนและเป็นช่วงเวลาพักเบรก คุโรเสะซังเธอได้ทำสมุดจดบันทึกหล่นและผู้ชายที่อยู่ข้างหลังผมก็พยายามจะเอื้อมหยิบมันขึ้นมาให้กับเธอแล้วหลังจากนั้นพอเธอลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วผมพยายามหยิบสมุดจดบันทึกเองเธอก็ได้เผลอไปแตะที่แขนของผู้ชายคนนั้นที่พยายามจะหยิบสมุดจดบันทึกขึ้นมาให้เธอ
“อ๊ะ…ขอโทษนะ…..ขอบคุณนะ”
เธอก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วก็เงยหน้ามองขึ้นไปหาเขาพร้อมกับหางตาที่ชี้ขึ้น
“มะ-ไม่เป็นอะไรครับ!!”
ผู้ชายคนนั้นหน้าแดงแจ๋แล้วก็หลบสายตาไปทันทีแล้วก็อีกวันหนึ่งก็เหมือนกัน
ผมและคุโรเสะซังต่างได้ทำเวรของห้องเรียนด้วยกันเพราะลำดับที่นั่งของพวกเรา
หลังจากช่วงหมดคาบโฮมรูมในตอนเช้าอาจารย์ก็ขอให้ผมช่วยแบกเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลการตรวจสุขภาพของนักเรียนทุกคนไปยังห้องพักครู
“งั้นพวกเรามาแบ่งครึ่งช่วยกันถือดีกว่าเนอะ”
แม้ว่าจะเป้นของนักเรียนทุกคนๆแต่มันก็เป็นแค่เอกสารที่เป้นกระดาษหลายๆแผ่นซ้อนทับกันเป็นปึกๆเฉยๆจุดประสงค์ของมันก็มีไว้แค่จดบันทึกลงไปแค่นั้นเพราะงั้นมันก็เลยไม่ได้มีน้ำหนักมากมายอะไรขนาดนั้น ผมก็เลยคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าผมจะเอาส่วนของพวกผู้ชายมาถือไว้เองแล้วคุโรเสะซังก็เอาส่วนของพวกผู้หญิงไปเพราะอัตราส่วนนักเรียนชายมันมากกว่านักเรียนหญิง
“งื้อ หนักจัง ~”
ด้วยการขมวดคิ้วที่ดูมีปัญหา คุโรเสะซังก็เริ่มเดินโซซัดโซเซ
“เอ๊ะ? หนักอย่างนั้นเหรอครับ?”
แน่นอนว่ามันดูหนักขึ้นมาทันทีเวลาที่คุโรเสะซังที่ตัวเล็กกำลังแบกของเทอะทะเต็มไปหมด อย่างไรก็ตามมันก็เกิดขึ้นแล้วทั้งที่ผมคิดว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น
“งั้นมาเดี๋ยวชั้นช่วยแบกให้เอง”
ผู้ชายในห้องเรียกหาเธอและเข้ามาหยิบเอกสารจากคุโรเสะซัง
“หา? ก็ไม่เห็นจะหนักตรงไหนเลยนี่”
“เอ๊ะ จริงเหรอ?”
คุโรเสะซังดูประหลาดใจ
“แหม ก็ไซโต้คุงแข็งแรงออกไม่ใช่เหรอ ก็มันหนักเกินไปสำหรับผู้หญิงนี่นา”
“อ๋อ อื้อ”
และไซโต้ก็ไม่ได้มีข้อกังขาอะไรแล้วก็เดินแบกแฟ้มไปจนถึงห้องพักครู
ด้วยเหตุนี้ไซโต้ที่ช่วยแบกมาจนเสร็จแล้วก็เดินนำหน้าพวกเราแล้วก็หายวับไป
และก็ตอนนั้นเองที่ผมกับคุโรเสะซังรายงานทุกอย่างกับอาจารย์เสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังเดินทางกลับห้องเรียน
“ตอนที่เราเข้าเวรของห้องเรียน เราจะต้องเขียนบันทึกประจำวันก่อนที่จะออกจากห้องใช่ไหม?”
คุโรเสะซังถามแล้วผมก็พยักหน้าตอบรับ
“ใช่แล้วล่ะ”
แล้วเธอก็ชักสีหน้าลำบากใจออกมา
“พอดีวันนี้ชั้น……ดันมีธุระที่จะต้องทำหลังเลิกเรียนอยู่น่ะสิ…..แล้วแบบนี้ชั้นควรจะทำยังไงดีล่ะ……”
“แค่เขียนบันทึกตามที่เธอเห็นสมควรก็ได้นะ บางทีอาจจะใช้เวลาแค่นาทีสองนาทีก็เสร็จแล้วล่ะ”
ก็ถ้าเป็นผมในสมัยที่ยังอยู่ ม.1 ล่ะก็ผมก็คงจะพูดออกไปด้วยความกระตือรือร้นว่า “ถ้างั้นเดี๋ยวชั้นจัดการเขียนให้เธอเองนะ” แน่ๆ แบบเดียวกับตอนที่ไซโต้ที่ช่วยหยิบสมุดจดบันทึกให้เธอนั่นแหละ
แต่ว่าเธอคนนี้น่ะ เธอจะต้องเป็นผู้หญิงแบบนั้นแน่ๆใช่ไหม?
แบบที่ชอบอ่อยเหยื่อกระตุ้นความต้องการที่จะปกป้องตัวเธอจากพวกผู้ชายหรือผมควรจะพูดยังไงดีล่ะ เธออาจจะเผลอทำให้พวกเขารู้สึกแบบนั้นไปโดยที่เธอไม่ทันได้รู้สึกตัวก็ได้…….ผมไม่ใช่คนๆเดียวที่เป็นคนพิเศษอะไรหรอก
ด้วยความรู้สึกขมขื่นจากการถูกปฏิเสธและความรู้สึกที่แสนกล้าแกร่งที่ผมมีต่อชิราคาวะซัง ทำให้ตอนนี้ผมสามารถทำตัวตามสบายต่อหน้าคุโรเสะซังได้แล้ว
“………….”
คุโรเสะซังก้มหน้ามองลงไปแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“……ชิ”
อาเร๊ะ? เมื่อกี้เธอเดาะลิ้นอย่างนั้นเรอะ!? ผมคงคิดไปเองแน่ๆ…….
ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องนี้ คุโรเสะซังก็เงยหน้าขึ้นมา
“คาชิมะคุงสุดท้ายแล้วนายยังคง……….เคืองชั้นอยู่ล่ะสินะ”
ดวงตาของเธอโตขึ้นราวกับหมาชิวาว่าและผมก็เลิ่กลั่กขึ้นมาโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว
“เอ๊ะ?! เคืองเรื่องอะไรล่ะ?”
“ก็เมื่อก่อนที่ชั้นไม่ยอมตอบรับความรู้สึกของคาชิมะคุงไง……..ชั้นมันคนใจร้ายใจดำใช่ไหมล่ะ?”
“ปะ-เปล่าซักหน่อย ชั้นไม่ได้เคืองอะไรเธอเลยจริงๆ”
เอ๋? ไหงเธอถึงได้ขุดเอาเรื่องนั้นมาพูดเอาตอนนี้ล่ะ?
เพราะเธอเขียนบันทึกประจำวันไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?
“ก็ได้ครับก็ได้ งั้นเดี๋ยวผมจะเขียนให้เธอเองก็แล้วกันครับ”
ขืนทำคุโรเสะซังร้องไห้ออกมาล่ะก็ คงโดนเจ้าพวกผู้ชายรุมทึงเอาแหงๆผมก็เลยรีบพูดแบบนั้นออกไป
“จริงเหรอ?”
สีหน้าของเธอแจ่มใสขึ้นมาทันตาเห็นและยิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสา
“คาชิมะคุงเนี่ย……..ใจดี….จังเลยนะ….”
เธอค่อยๆกระพริบตาอย่างมีนัยยะบางอย่างแล้วก็ค่อยๆจ้องมองมาที่ผมด้วยด้วยหางตาที่ชี้ขึ้น
“ชั้นชอบนะ……คนแบบนั้นน่ะ……”
“เอ๋…………”
ผมเผลอหลุดส่งเสียงออกมาเพราะตอนนี้มันไม่ใช่แค่ “อาจจะ” อีกแล้ว
โอเค ตั้งสติ เพราะเธอเป็นผู้หญิงพรรค์นี้และตัวเราเองก็มีชิราคาวะซังอยู่แล้ว
คุโรเสะซังยิ้มแย้มราวกับพึงพอใจ
“แต่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวชั้นจะเขียนบันทึกประจำวันด้วยตัวเองก็แล้วกัน”
“เอ๊ะ?”
“งั้นชั้นไปนะ…”
ผมอดไม่ได้ที่จะกรอกสายตามองตามตัวเธอในขณะที่ผมกำลังสับสนอยู่
เธอเดินย่ำออกไปอย่างรวดเร็ว
“มันเรื่องบ้าอะไรกันล่ะเนี่ย…….”
นั่นแหละคือตอนที่เกิดเรื่องขึ้น
ผมรู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่
ผมหันหลังกลับไปและก็พบว่าชิราคาวะซังกำลังยืนอยู่ตรงนั้น
“อ๊ะ…ริวโตะ….”
ชิราคาวะซังสำรวจรอบๆพร้อมกับทำหน้าจริงจังผิดปกติ
หลังจากที่ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีใครเธอก็เข้ามาหาผมและก็เปิดปากพูดว่า
“ทำเวรของห้องอยู่เหรอ?”
“ครับ”
“……กับคุโรเสะซัง?”
“คะ-ครับ”
“นายเป็นอะไรรึเปล่า?”
“เอ๋?”
เธอบอกว่าผมเป็นอะไรรึเปล่า? แต่กับเรื่องอะไรล่ะ?……และในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นชิราคาวะซังก็ก้าวเข้ามาหาผมหนึ่งก้าวและพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ชั้นมีบางอย่าง……ที่จะบอกกับริวโตะน่ะ”
“แล้วมันคือเรื่องอะไรงั้นเหรอครับ?”
แล้วผมพอถามเธอกลับ
“อ๊ะ! ลูน่าอยู่ที่นี่นี่เอง”
“พวกเราตามหาเธอซะทั่วเลยนะ! นี่เธอทำอะไรของเธออยู่เนี่ย?”
จากฝั่งตรงข้ามของโถงทางเดินก็มีกลุ่มหญิงสาวหน้าตาดีที่กำลังขานเรียกชิราคาวะซังอยู่และชิราคาวะซังก็สะดุ้งตกใจ
“อื้อ….จะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
หลังจากตอบกลับหญิงสาวเหล่านั้นเสร็จ เธอก็มองกลับมาที่ผมแล้วขอโทษขอโพย
“ขอโทษทีนะริวโตะ ไว้ครั้งหน้าก็แล้วกันนะ…….”
“ไม่เป็นไรครับ ไปเถอะครับ”
ผมมองดูชิราคาวะซังเดินออกไปและผมก็โดดเดี่ยวอีกครั้ง
[ชั้นมีบางอย่าง…….ที่จะบอกกับริวโตะน่ะ]
“สงสัยจังว่ามันคือเรื่องอะไรกันนะ?”
ผมไม่คิดว่าผมเคยเห็นชิราคาวะซังชักสีหน้าแบบนั้นมาก่อนเลย
เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือแย่ๆแพร่สะพัดไปทั่ว
แม้ว่าจะเป็นช่วงที่คาบเรียนต่อไปได้เริ่มต้นไปแล้วก็ตาม
เรื่องที่ชิราคาวะซังมีอะไรจะบอกกับผมมันก็ยังกวนใจผมอยู่และผมก็เอาแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้วกไปวนมา
และหลังเลิกเรียนของวันนั้น
ในห้องเรียนที่เพื่อนร่วมห้องส่วนใหญ่ยังคงไม่ออกจากห้องกันและผมก็ได้รับบันทึกประจำวันจากคุโรเสะซังที่นั่งข้างๆผม
“เอ้านี่ คาชิมะคุง”
พอผมลองอ่านๆดูก็เขียนส่วนสำหรับวันนี้ไปได้แล้วครึ่งหนึ่งและเนื้อหาเองก็เขียนออกมาได้ดีเลยทีเดียว
อะไรกัน นี่มันเขียนได้ไร้ที่ติเลยนี่นา……..
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมจะจดส่วนของผมแล้วจะไปส่งให้นะครับ เพราะฉะนั้นจะกลับบ้านไปก่อนเลยได้ครับ”
เห็นเธอบอกว่ามีธุระที่ต้องไปทำนี่นาผมก็เลยพูดกับเธอ ไปอย่างนั้นแต่ก็…
“นอกจากนี้ นายได้ยินมาบ้างรึเปล่า?”
เธอพูดแบบนั้นกับผมแล้วก็เอนตัวมาข้างหน้า
“เอ๊ะ? เรื่องอะไรเหรอครับ?”
“ธาตุแท้ของชิราคาวะซังน่ะ”
ผมตกใจมากจนตัวแข็งทื่อไป
ชิราคาวะซังยังอยู่ในห้องเรียนพูดคุยกับยามานะซังและคนอื่นๆอย่างมีความสุขอยู่เลย
หรือว่าบางทีไอ้เจ้าข่าวลือนั่น…
ขณะที่ผมเงียบไปคุโรเสะซังก็เอนตัวเข้ามาทางผมด้วยใบหน้าที่ปลื้มปิติ
“พอดีว่ารุ่นน้องของพี่สาวชั้นน่ะคือแฟนเก่าของชิราคาวะซังเองแหละ”
ผมรู้สึกเจ็บแปล๊บข้างในอก
แฟนเก่าของชิราคาวะซังงั้นเหรอ….
ผมพยายามไม่คิดถึงมัน แต่พอคำๆถูกพูดออกมาอย่างลื่นไหลแบบนั้นแล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าพวกเขาก็มีตัวตนอยู่จริงๆบนโลกใบนี้
“….แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องอะไรล่ะครับ?”
ผมถามเธอไปทั้งๆที่ผมก็แทบจะคุมสติตัวเองไม่อยู่แล้วตอนนี้
และคุโรเสะซังก็ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห้นว่าผมสนใจ
“คนๆนั้นน่ะ…..เขาบอกว่าเขาหมดตัวเลยตอนที่คบกับชิราคาวะซังน่ะ เธอเล่นทิ้งผู้ชายเป็นว่าเล่นเพื่อสนองตัวเธอเองและก็คิดว่าผู้ชายควรเป็นฝ่ายออกตังตอนที่ได้คบกันด้วย ยังไงๆซะเธอน่ะก็เป็นคนเห็นแก่ตัวล่ะนะ”
สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในใจผมเมื่อได้ยินแบบนั้นนั่นก็คือเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ
“…..นั่นน่ะ…..เธอแน่ใจเหรอครับว่าใช่ชิราคาวะซังน่ะ”
แล้วคุโรเสะซังก็พยักหน้าอย่างจริงจังกับคำถามของผม
“แน่ใจสิ เพราะแฟนเก่าของเธอเป็นคนพูดเองเลยเพราะงั้นชั้นก็เลยค่อนข้างแน่ใจเลย…..”
“………………”
ถ้าหากมันเป้นอย่างนั้นจริงๆล่ะก็ แสดงว่าไอ้แฟนเก่านั่นก็โกหกแล้วล่ะ เพราะมันไม่มีทางที่ชิราคาวะซังจะทำเรื่องพรรค์นั้นได้ลงคอหรอก
[แล้วเจ้านี่มันราคาเท่าไหร่เหรอ? เดี๋ยวชั้นจะจ่ายส่วนของชั้นให้]
แม้แต่ในวันเกิดของเธอเอง ชิราคาวะซังก็ยังพยายามที่จะจ่ายค่าเครื่องดื่มของเธอ
มันเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงจริงๆที่ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคนคิดว่าผู้ชายควรที่จะต้องเป็นคนเปย์ให้เพื่อที่จะได้คบด้วยน่ะ
นอกจากนี้ยังมีอะไรอีกนะ? เห็นแก่ตัว? หมอนั่นพูดว่างั้นสินะ?
ชิราคาวะซังน่ะเป็นคนที่แคร์แฟนของตัวเองอย่างผมเอามากๆและพยายามที่จะทำให้มีความสุขมาโดยตลอด
ยังไงซะ ตอนนี้ผมรู้ที่มาที่ไปของข่าวลือที่สุดแสนจะน่ารังเกียจของชิราคาวะซังที่เมื่อไม่นานมานี้มันแพร่กระจายไปทั่วแล้ว
“คุโรเสะซัง”
“หืม มีอะไรเหรอ?”
บางทีเธออาจจะไม่ทันได้สังเกตุถึงน้ำเสียงของผมที่ผมพยายามซ่อนมันไว้ด้วยโทสะของผม คุโรเสะซังเธอก็ยังมองมาที่ผมด้วยสีหน้าอารมณ์ดีสบายใจเฉิบอยู่
“ข่าวลือพวกนั้นน่ะ เธอได้เอาไปเล่าให้ใครฟังบ้างรึเปล่าครับ?”
“เอ๋?”
บางทีพอสังเกตุได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวของผม สีหน้าของคุโรเสะซังก็แข็งทื่อเล็กน้อย
“ทำไมล่ะ? อืม ก็นะ………ชั้นลืมไปแล้วล่ะ แต่มันก็เรื่องจริงนี่นา นายไม่คิดว่าทุกคนเองก็ควรที่จะต้องรู้เรื่องนี้บ้างเหรอ?”
“…………………….”
ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าตกลงแฟนเก่าหรือว่าคุโรเสะซังกันแน่ที่กำลังโกหกอยู่ แต่เธอดูสนุกสนานไปกับการแพร่กระจายข่าวลือที่น่ารังเกียจแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดโครตๆ คุโรเสะก็พยายามจะพูดคุยต่อโดยที่เธอไม่ได้รับรู้ถึงความทุกข์ระทมภายในหัวใจของผม
“ก็ชิราคาวะซังน่ะ เธอเป็นที่นิยมมากๆเลยใช่ไหมล่ะ? นั่นแหละถึงเป็นเหตุผลที่ว่า…….เธอก็เก็บผู้ชายไว้ในสต็อคไว้เพื่อเอาไว้คบต่อเป็นคนต่อๆไปแล้วก็ค่อยถีบหัวส่งคนปัจจุบันพอเขาไม่เหลืออะไรเลยแล้วน่ะ หวา~ น่ากลัวจังเลยเนอะ~”
หลังจากที่เธอพูดแบบนั้นจบคุโรเสะซังก็มองไปทางด้านหลังพร้อมทำใบหน้าที่หวาดกลัว
ตรงนั้น…..ชิราคาวะซังกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานตามปกติอยู่
เมื่อผมเห็นรอยยิ้มที่สุดแสนจะน่ารักไร้ความกังวลใดๆแล้ว
เปลวเพลิงแห่งความพิโรธของผมก็ลุกโชนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“แล้วก็นะ ชิราคาวะซังน่ะจริงๆแล้วเธอยัง……”
“เลิกพูดพล่อยๆใส่ร้ายชิราคาวะซังได้แล้ว………”
เมื่อได้ยินเสียงของผม การสนทนาของทั้งห้องเรียนก็หยุดลงครู่หนึ่ง
ดูเหมือนว่าผมจะพูดดังกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้หรือบางทีพวกเขาอาจจะแปลกใจที่ไอ้ผู้ชายมืดมนอย่างผมเอ่ยชื่อของชิราคาวะซังออกมา
“ปะ-เป็นอะไรไป คาชิมะคุง…”
คุโรเสะซังชักสีหน้าเสียออกมา
“สิ่งที่คุโรเสะซังพูดน่ะมันไม่ใช่ความจริงเลย ชิราคาวะซังน่ะไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น”
พอผมพูดแบบนั้นออกไป คุโรเสะซังก็พูดย้อนกลับมาโดยไม่ปิดบังอะไรอีกต่อไป
“ไม่จริง ก็ในเมื่อชั้นได้ยินมาจากปากของแฟนเก่าของเธอเองต่อหน้าชั้นเลย”
“ถ้าอย่างนั้นไอ้เจ้า ‘แฟนเก่า’ คนนั้นก็โกหกเธอแล้วล่ะครับ”
เพื่อนร่วมห้องทั้งชั้นเรียนมองมาที่ผมและคุโรเสะซังที่กำลังเถียงกันด้วยสายตาที่กำลังสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่
แต่ยังไงซะ มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
ผมแค่ต้องการที่จะแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดของชิราคาวะซัง
นั่นคือทั้งหมดที่ผมคิดอยู่ภายในใจ
“ชิราคาวะซังน่ะไม่ใช้ผู้หญิงแบบนั้น เธอเป็นผู้หญิงที่ใจดี คอยเอาใจใส่แฟนหนุ่มของเธอเอามากๆ และเธอก็อยากจะทำในสิ่งที่เธอทำให้แฟนหนุ่มของเธอมีความสุขมากกว่าการทำให้ตัวเธอเองมีความสุขซะอีก”
พอได้ยินแบบนี้ คุโรเสะซังก็เบะปากอย่างไร้อารมณ์
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเธอเป็นแบบนี้……
ผมรู้สึกว่าผมได้เห็นธาตุแท้ของเธอบนใบหน้าของตัวเธอเอง
และกระดูกสันหลังของผมก็สั่นสะท้าน
“อะไรกันล่ะนั่น? ละเมออยู่รึไง? ตัวชั้นรู้จักแฟนเก่าของเธอนะ”
“ครับ……ผมก็รู้จักแฟนของเธอเหมือนกัน”
ผมถอยหลังกลับไปไม่ได้แล้วและก็ไม่คิดอยากที่จะถอยแล้วด้วย
ผมต้องเคลียร์ความเข้าใจผิดนี้ ผมจะต้องแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดแย่ๆที่ไม่มีมูลอะไรเลยของชิราคาวะซัง
และด้วยความคิดนั้นผมจึงพูดต่อไป
“ชิราคาวะซังเธอผู้หญิงที่ดีมากๆเป็นผู้หญิงประเภทที่ให้ของที่เข้าคู่กันกับแฟนหนุ่มของเธอเพื่อเป็นของขวัญเซอร์ไพรส์ในวันครบรอบและเป็นผู้หญิงประเภทที่ดีใจที่จะได้แผนที่ทำมือที่เอาไว้ช้อปปิ้งในตอนที่แฟนหนุ่มของเธอเงินหมดและซื้อของขวัญวันเกิดให้เธอไม่ได้”
เมื่อนึกถึงเดทของพวกเรา หน้าอกของผมก็ร้อนผ่าว
“ชิราคาวะซังเธอไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เธอคอยคิดถึงและห่วงใยแฟนหนุ่มของเธออยู่เสมอ เธอคือแฟนสาวที่ดีที่สุดในโลกใบนี้แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของผมคุโรเสะซังก็เงยหน้าขึ้นมา
“หา? แล้วไอ้ ‘แฟนหนุ่ม’ ที่ว่าเนี่ยคือใครกันล่ะ? หมอนั่นมันมีตัวตนอยู่จริงๆเรอะ? ถ้านายรู้ ไหนช่วยลองบอกมาสิ!!”
“……………”
“เห็นไหมล่ะ นายไม่….”
“งั้นผมจะบอกเธอเอาบุญก็แล้วกันนะ”
ผมได้ยินเสียงคำรามของหัวใจตัวเองภายในหูของผม
“ผมนี่แหละคือแฟนหนุ่มของชิราคาวะซังน่ะ”
ชั่วครู่หนึ่งภายในห้องเรียนมีแต่ความเงียบสงัด
พูดออกไปจนได้
ทั้งๆที่ผมกังวลแทบตายว่าจะถูกจับได้แท้ๆ
ผมได้เปิดเผยต่อสารธารณะไปแล้วว่าผมกำลังคบอยู่กับชิราคาวะซัง…….หลังจากที่เงียบไปจนหูอื้อ ก็มีเสียงดังขึ้นมา
“เห๊ะ?……..”
“ไอ้หมอนั่นมันพล่ามอะไรของมันล่ะนั่น?”
“นี่~ ที่อีตานั่นพูดมาทั้งหมดน่ะเป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ?”
คนส่วนใหญ่ก็ดูจะไม่เชื่อ แต่ในบรรดาเพื่อนร่วมห้องที่เป็นพวกชอบแซวก็เข้าไปถามชิราคาวะซังเพื่อความสนุก
“นี่หมอนั่นเป็นแฟนของเธอจริงๆอย่างนั้นเหรอ?”
“เอ……….”
เมื่อได้ยินเสียงที่สับสนนั้น ผมจึงหันหลังไปมอง
ชิราคาวะซังมองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ
ท่ามกลางความโกลาหลซึ่งได้รับความสนใจจากทั้งชั้นเรียน เธอเองก็คงจะได้ยินสิ่งที่ผมพูดไปทั้งหมด
จากนั้นเธอก็พยักหน้าในขณะที่ตัวเธอเองก็ยังสับสันอยู่
“อื้อ……”
“เอ๋ !!!!!???”
หมอนั่นเป็นคนเข้าไปถามเองแท้ๆ แต่เจ้าผู้ชายคนนั้นออกอาการตกใจเกินเบอร์ในทันที
“นั่นน่ะล้อเล่นเฉยๆใช่มะ?…”
“ไม่นะ”
ชิราคาวะซังหันไปหาเพื่อนร่วมห้องที่ยื่นแข็งทื่อกันหมดทุกคนแล้วพูดพึมพัมเบาๆว่า
“ชั้นกำลังคบเขาอยู่น่ะ”
“เอ๋!!!!!??????”
ในที่สุดก็มีเสียงคำรามออกมาไม่ขาดสาย
“เป็นไปได้ยังไงกัน!? ทำไมต้องกับไอ้ทึ่มคาชิมะด้วย!?”
“ถ้าอย่างงั้นก็แสดงว่าลูน่าเองก็คบกับคนประเภทนี้ด้วยอย่างนั้นน่ะสิ!?”
ทุกคนเผยท่าทางประหลาดใจของแต่ละคนออกมา
“นี่มันคาดไม่ถึงเลยจริงๆ……..จะน่าตกใจเกินไปแล้ว”
“ทำไม? รู้แล้วแต่ก็ยังอยากจะสานสัมพันธ์ต่อรึยังไง?”
เพราะอย่างนั้นหลังจากที่ช็อคกันทั้งห้อง ก็เริ่มมีคนที่เริ่มตื่นเต้นท่ามกลางเหล่าเพื่อนร่วมห้องเหล่านั้น
ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นพวกผู้ชาย
“ก็ถ้าคนอย่างเจ้าคาชิมะทำได้ แสดงว่าชั้นก็ต้องทำได้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
“ชั้นเองก็เผลอคิดว่าเธอน่าจะเลือกคบเฉพาะกับคนที่หน้าตาดี สเป็คสูงๆเท่านั้นก็เลยเลือกที่จะยอมแพ้มาจนถึงตอนนี้”
“แบบนี้หล่อนก็เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งเลยไม่ใช่รึยังไง? ชั้นว่าชั้นชักจะชอบเธอมากขึ้นเรื่อยๆซะแล้วสิ”
“ครั้งหน้าที่เธอโสด ชั้นจะลองดูสักตั้งบ้างดีไหมวะ?”
“มันก็มีโอกาสใช่ไหมล๊า!!”
ในเวลาเดียวกันคุโรเสะซังก็จ้องมองมาอย่างเย็นชา
“แล้วถ้าเธอคบกับคนอย่างคาชิมะเป็นแฟนได้ แสดงว่าเรื่องที่คุโรเสะซํงเล่ามามันก็เหลวไหลทั้งเพเลยอ่ะดิ”
“ก็ไม่ใช่ว่าแค่แฟนเก่าเธออยากพูดใส่ร้ายป้ายสีเธอให้ดูแย่อะไรแบบนั้นหรอกรึ?”
“เรื่องนั้นบางทีคุโรเสะซังหล่อนอาจจะปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาเองก็ได้มั้ง”
“ก็จริงแฮะ……..จนถึงตอนนี้เอง ชั้นก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรแบบนั้นเกี่ยวกับชิราคาวะซังมาก่อนเลย”
“อะ-อะไรกัน…….”
จู่ๆคุโรเสะซังที่ก็กลายเป็นจุดสนใจของเพื่อนร่วมห้องขึ้นมาทันที
คุโรเสะซังซึ่งตอนนี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบก็มีเหงื่อไหลที่หน้าผาก
“ชั้นได้ยินมาจริงๆนะ……….”
เธอกุมมือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น
อย่างไรก็ตามเมื่อตระหนักได้ว่าการที่ยังยืนกรานผู้อยู่แบบนั้นมันไม่ได้ทำให้เธอดูดีขึ้นเลย เธอจึงรีบลุกพรวดพราดออกจากที่นั่ง
“นายมันแย่ที่สุดเลย!! ชั้นไม่เคยพูดอะไรอย่างการโกหกเลยนะ”
เธอตะโกนออกมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างของเธอที่เคล้าไปด้วยน้ำตาแล้วก็วิ่งออกไปที่โถงทางเดิน
“นะ-นี่!!”
ยังมีบางอย่างที่ผมยังอยากจะถามกับเธออยู่อย่างการที่ว่าเธอแพร่สะพัดเรื่องโกหกนี้กับทุกคนไปได้ยังไง?
แล้วทำไมถึงจะต้องเป็นชิราคาวะซังด้วย? ผมต้องถามให้แน่ใจ
และด้วยความคิดนั้นผมจึงไล่ตามคุโรเสะซังและออกจากห้องเรียนไป
คุโรเสะซังวิ่งผ่านโถงทางเดินและหยุดกลางบันไดเล็กๆที่สามารถทอดขึ้นไปสู่ดาดฟ้าได้
*ฮือ……กระซิกๆ*
ไหล่ของเธอสั่นเทิ้มร้องไห้สะอื้นอย่างหนักหน่วงพร้อมกับเช็ดดวงตาด้วยมือทั้งสองข้าง
ดูเหมือนว่าถ้าจะไม่ได้แสร้งทำเป็นว่าร้องไห้ แต่เธอกำลังร้องไห้จริงๆอยู่
“คุโรเสะซั-“
“อย่าเข้ามานะ!!”
พอผมพยายามเข้าไปใกล้เธอ ผมก็ถูกเธอต่อว่าอย่างรุนแรง
“นายยังจะตามมาอีกทำไม………นายไม่ได้ชอบชั้นเลยด้วยซ้ำ……..ทำไมไม่ไปขลุกอยู่กับยัยผู้หญิงคนนั้นซะล่ะ!!”
“…………”
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย……
“คือผมสงสัยน่ะครับ เธอพอจะบอกผมได้ไหม ว่าทำไมเธอถึงทำอะไรแบบนี้?”
พอเธอเริ่มสงบลงจากการร้องห่มร้องไห้ ผมก็เริ่มคุยกับเธอจากด้านล่างของบันไดและคุโรเสะซังก็นั่งลงที่บันไดในขณะที่ยังเอามือไม้ปิดหน้าตัวเองไว้
“ทำอะไรแบบนี้? นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรล่ะ?”
“ก็เรื่องที่ไปแพร่ข่าวลือแย่ๆเกี่ยวกับชิราคาวะซังยังไงล่ะครับ”
เมื่อผมพูดแบบนั้นคุโรเสะซังก็ร้องไห้งอแงอีกครั้ง
“แง๊ !! นายเนี่ยมันแย่จริงๆ เอาแต่พูด ชิราคาวะซังนี่ ชิราคาวะซังนั่น อยู่นั่นแหละ! สิ่งที่นายทำอยู่ตอนนี้ก็คือเอาแต่พูดถึงผู้หญิงคนนั้นอยู่ได้…….ทั้งๆที่เมื่อก่อนนายเองก็ชอบชั้นเหมือนกันแท้ๆ”
มะ-เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ??
“…..ก็ในเมื่อตอนนี้ผมกำลังคบอยู่กับชิราคาวะซังนี่ครับ มันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ?”
“ก็ชั้นไม่ชอบแบบนั้นไงเล่า!!!”
คุโรเสะซังก็ตะโกนงอแงเหมือนเด็กนิสัยเสีย
“ชั้นน่ะอยากจะให้ทุกคนชอบ ชั้นอยากจะเป็นที่หนึ่งของทุกคน”
“ตะ-แต่……”
ขณะที่รู้สึกอึดอัดผมก็พยายามที่จะพูดแย้งเธอ
“ถึงแม้ว่าทุกคนเขาจะชอบเธอ แต่เธอก็สามารถที่จะคบกับผู้ชายได้แค่คนเดียวใช่ไหมล่ะครับ? แล้วจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกันครับ?”
“ชั้นจะไม่ได้อยากคบกับใครหรอกนะ!!!”
คำพูดของผมถูกขัดจังหวะโดยคุโรเสะซัง
“ชั้นแค่อยากทำให้ทุกๆคนชอบชั้นแค่นั้น เพราะงั้นชั้นก็ไม่เคยได้คบกับใครหน้าไหนทั้งนั้นแหละ”
ขณะที่เธอพูดน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอีกครั้ง
“ชั้นน่ะอยากที่จะเป็นที่หนึ่ง…….เพราะถ้าไม่ใช่ที่หนึ่งก็จะไม่ถูกเลือก ชั้นไม่อยากให้ยัยผู้หญิงคนนั้นมาพรากอะไรไปจากชีวิตของชั้นอีกแล้ว….”
“…….นี่เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? เธอกับชิราคาวะซังรู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วงั้นเหรอ…..?”
เมื่อผมถามเรื่องนี้ออกไปน้ำตาเม็ดใหญ่ก็ไหลออกมาจากดวงตาของคุโรเสะซัง
แล้วคุโรเสะซังก็ก้มหน้าลงอย่างละอายใจแล้วก็เปิดปากพูดออกมาอย่างเบาๆว่า
“ชิราคาวะ ลูน่า เธอคือ……….พี่สาวฝาแฝดของชั้นเอง”
เมื่อผมได้ยินเรื่องนี้ ผมก็ตกใจราวกับมีฟ้าผ่าลงมาที่กลางตัว
“เอ๊ะ?……..”