[นิยายแปล] Keiken Zumi na Kimi to, Keiken Zerona Ore ga, Otsukiai Suru Hanashi. – ตอนที่ 9 คุโรเสะ มาเรีย

ชิราคาวะซังเธอเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนร่วมชั้นทั้งผู้ชายและผู้หญิง

แน่นอนว่าเธอเองก็ได้คุยกับพวกผู้ชายบ่อยมากเช่นเดียวกัน

มันเป็นฉากของอีกใบที่ผมไม่ได้สนใจเป็นพิเศษมาก่อนแต่ว่าตอนนี้ผมเองก็ได้กลายเป็นแฟนหนุ่มของเธอไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กับการที่ได้เห็นเธอพูดคุยกับชายอื่นแบบนั้นในช่วงพักเบรคมันก็ทำให้หัวใจของผมรู้สึกหวั่นไหวไม่น้อยเลยทีเดียว

แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายเป็นสมาชิกของชมรมฟุตบอลที่หน้าตายิ้มแย้มอัธยาศัยใสดี

แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่มย่ามก้าวก่ายเกี่ยวกับเรื่องของกลุ่มเพื่อนของชิราคาวะซังได้

ถ้าเกิดเป็นผู้ชายหน้าตาดีที่ติดนิสัยซาดิสๆจากมังงะแนวชีวิตรักวัยรุ่นก็อาจจะพูดออกมาประมาณว่า

‘อย่าไปชายตามองผู้ชายคนอื่นนอกจากชั้นสิเฮ้ย’ แต่ว่านั่นมันคงไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดว่าตัวผมเองจะทำได้

นอกจากนี้ มันไม่ใช่ว่าผมอยากจะให้ชิราคาวะซังเปลี่ยนตัวเองหรอกนะ

แต่ถ้าผมคิดแบบนั้นจริงๆชิราคาวะซังที่ผมหลงรักที่เป็นคนที่เป็นที่โด่งดังและเป็นที่ชื่นชอบพร้อมกับมีเพื่อนเยอะแยะมากมายไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง

ผมไม่เคยคิดอะไรแบบว่าเพราะเธอคบกับผมแล้วเธอก็ควรที่จะต้องเป็นเหมือนกันกับผม นั่นก็คือเป็นคนมืดมนที่ดูเศร้าหมอง มีเพื่อนแค่ไม่กี่คนแถมเป็นเพื่อนที่ว่ายังเป็นเพศเดียวกันด้วยอะไรแบบนั้น…..

 

“แต่ว่าไอ้หนุ่มชมรมฟุตบอลคนนั้นน่ะ พักนี้เข้ามาคุยกับเธอบ่อยจริงๆเลยแฮะ”

 

ผมซึ่งเคยเป็นผู้เฝ้ามองชิราคาวะซังก่อนที่จะได้มาคบกับเธอผมก็รู้จักหน้าค่าตากับพวกที่เป็นแฟนพันธ์แท้ของชิราคาวะซังดี

เจ้าหนุ่มชมรมฟุตบอลหน้าใหม่ที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาคนนั้นจู่ๆก็มาเข้าหาชิราคาวะซังช่วงหนึ่งหรือสองสัปดาห์ก่อนนี่แหละ

ตอนนั้นเองชิราคาวะซังที่กำลังคุยกับหนุ่มนักฟุตบอลคนนั้นได้หันหน้ามองมาทางผมแบบไม่ได้ตั้งใจและพวกเราก็สบตากัน

 

“อ๊ะ ริว-“

 

เธอยิ้มและกำลังจะเอ่ยปากพูดบางสิ่งแต่แล้วเธอก็สังเกตุเห็นสายตาของหนุ่มนักฟุตบอลคนนั้นเข้าพอดี

 

“มีอะไรงั้นหรอ?”

 

เมื่อถูกถามโดยเจ้าหนุ่มนักฟุตบอลคนนั้น

เธอก็ละสายตาไปจากผมและตอบกลับเขาว่า “ไม่มีอะไร” พร้อมกับส่ายหัวพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆออกมา

เป็นเพราะเธอทำตามคำขอของผมที่ว่าเราจะไม่คุยกันที่โรงเรียน

ถ้าหากว่าผมสามารถพูดออกไปว่า “ชิราคาวะซังน่ะ เป็นแฟนของผมเองแหละ” ต่อหน้าทุกคนได้ ผมก็สงสัยเหมือนกันนะว่าไอ้ความรู้สึกขุ่นเคืองเล็กๆน้อยๆนี้จะหายไปไหมนะ?

นั่นคือสิ่งที่ผมคิดอยู่ในหัวในเวลาแบบนี้

 

“นี่….อย่างที่คิดเลย ชั้นว่าเราเก็บไว้เป็นความลับดีกว่ามะ?”

 

ระหว่างที่เราสามคนกำลังนั่งกินมื้อเที่ยงด้วยกันตามปกติ

 

“เรื่องอะไรเรอะ เกลอเอ๋ย?”

 

เมื่อเจ้าอิจิมองมาที่ผมพร้อมกับถามนิชิก็เปิดปากพูดถามด้วยท่าทางกังวลๆอีกคน

 

“หมายถึงเรื่องที่นายเป็น KEN’s Kids อ่ะนะ? แต่นั่นมันคือนามที่ KEN ประทานให้เลยนะเฟ้ย! มันเปรียบเสมือนกับเทพ KEN ได้เข้ามาที่สถิตอยู่ภายในตัวเราเลยนะ แต่ก็นะสำหรับพวกสามัญชนคนทั่วไปและนับประสาอะไรกับคนที่ไม่รู้จักเขาน่ะ

KEN ที่เป็นอดีตมือโปรของเกมแนวยิงชาวบ้านที่โหดไม่ต่างอะไรจากพวกนักฆ่ามืออาชีพเลยและการที่เปิดเผยตัวตนก็คงจะทำให้เพื่อนร่วมชั้นเขารู้สึกแปลกๆเกี่ยวกับตัวนายไปอีกนี่นะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยแล้วก็อย่าใช้ศัพท์ของเกมสิ”

 

เจ้านิชิจัดว่าเป็นติ่งตัวยงของ KEN ที่สุดในหมู่พวกเราทั้งสามคน แต่งานนี้เขากลับพูดเรื่องแย่ๆเกี่ยวกับพระเจ้าที่เขาเชิดชูซะงั้น

 

“ชั้นไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย ชั้นหมายถึงเรื่องที่ชั้นคบกับชิราคาวะซังต่างหากล่ะ”

 

พอผมพูดแบบนั้นออกไปด้วยเสียงเงียบๆพวกเขาก็ยักไหล่พร้อมกับชำเลืองมองมาที่ผมแล้วพวกเราก็สบตากันและพวกเขาก็ก้มหน้าก้มตาทำหน้าเศร้า

 

“คาชิ………นี่แกยังจะเอาแต่ทำแบบนั้นอยู่จริงดิ?”

“ก็นะ ชั้นว่าสำหรับหมอนี่แล้วมันก็คงช่วยไม่ได้นั่นแหละนะ เป็นหนุ่มซิงก็งี้แหละ”

“มะ-หมายความว่ายังไงกันน่ะ? พวกนายเองก็ซิงกันอยู่เหมือนกันไม่ใช่รึยังไง?”

 

พวกเขาไม่สนใจคำพูดของผมและได้แต่ยักไหล่ราวกับจะพูดว่า “ให้ตายสิ” อะไรแบบนั้น

 

“ฟังนะ….คาชิ คำสารภาพของเอ็งน่ะมันจัดว่าเป็นเรื่องตลกชั้นยอดสำหรับชิราคาวะ ลูน่าเลยล่ะ”

“ใช่แล้ว การที่แกยังเล่นมุขไม่ฮาพาเพื่อนเครียดอย่างจริงจังและเอาแต่คิดว่าตัวเองกำลังคบกับเธออยู่แบบนี้ ชั้นว่ามันดูน่าสมเพชว่ะคาชิ”

“เอ๊ะ?…. เอ๋!!”

 

ผมอยากจะโต้แย้งพวกเขาโดยบอกว่าพวกเราคุยกันผ่าน LINE อยู่ทุกวันและแม้กระทั่งได้ออกเดทด้วยกันช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่เจ้าพวกนี้ดูไม่มีท่าทีที่จะฟังผมเลยสักนิด

 

“ถ้าแกยังมีเวลาว่างพอที่จะเพ้อฝันเรื่องโง่ๆแบบนี้ต่อไปล่ะก็ แกไม่คิดว่าการตั้งเป้าให้พวกเราได้กลายเป็น KEN KIDs อันดับต้นๆมันไม่ฟังดูสร้างสรรค์กว่าหรอวะ?”

“พวกผู้หญิงที่มีเนื้อหนังมังสาน่ะแค่เห็นพวกเราก็ไม่อยากจะเสวนาด้วยแล้วแต่ว่า KEN น่ะนะไม่เคยทรยศพวกเราแถมยังคอยอัพคลิปใหม่อยู่เรื่อยๆทุกวันใช่ไหมล่ะ?”

 

เอ่อนี่พวกแกเคยพูดคุยกับผู้หญิงตัวเป็นๆกันบ้างป่าวเนี่ย?

ผมอยากจะพูดบ่นเจ้าพวกนี้ออกไปแต่เหมือนกับว่าถ้าผมพูดอะไรออกไปตอนนี้ผมคงจะได้รับเพียงแค่คำสมเพชเวทนาด้วยท่าทีสงสารเป็นแน่ ผมก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากอยู่เงียบๆต่อไป

 

“เออๆ ตรูยอมก็ได้….”

 

ผมบ่นเล็กน้อยแล้วจดจ่อกับการกินมื้อกลางวัน

เขาว่ากันว่าการมีเพื่อนดีเปรียบดั่งลาภอันประเสริฐแต่ถ้าขืนพวกเขายังไม่แม้แต่ที่จะเชื่อว่าคุณกำลังคบหากับใครอยู่แบบนี้ มันก็คงไม่มีทางที่จะปรึกษาเรื่องนี้กับพวกเขาได้

 

สิ่งที่ทำให้ผมกังวลเกี่ยวกับไอ้หนุ่มนักฟุตบอลคนนี้แบบนี้และเริ่มคิดว่าอยากให้ความสัมพันธ์ของผมกับชิราคาวะซังเปิดเผยออกมาทีละเล็กทีละน้อยนั้นก็เพราะมีเหตุเล็กๆที่เกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

วันอาทิตย์…..กล่าวอีกนัยนึงก็คือวันหลังจากวันที่เราไปเดทกันและก็เหมือนอย่างเคยที่ชิราคาวะซังส่งคำว่า “อรุณสวัสดิ์” ผ่านทาง LINE มา

ผมก็ส่งข้อความตอบกลับไปแต่มันกลับไม่เหมือนอย่างเคยนั่นก็คือไม่มีการอ่านเกิดขึ้น…

แน่นอนว่าก็ไม่มีการตอบกลับจากเธอเช่นกันและวันเวลาก็ผ่านไปนับชั่วโมงจนสี่ชั่วโมงต่อมาผมก็ได้อ่านข้อความ LINE ที่เป็นการตอบกลับจากเธอ

ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงเวลานั้นที่เธอหายไป

ผมเองก็ไม่สามารถเอ่ยถามเธอเองได้ แต่แล้วผมก็นึกสิ่งที่เธอพูดไว้ออก

 

[ชั้นมีธุระในวันอาทิตย์น่ะ แต่วันเสาร์ชั้นว่างนะ]

 

ผมแน่ใจว่านั่นคือสิ่งที่เธอพูดออกมาตอนที่ผมชวนเธอออกเดท

ธุระที่ว่ามันคืออะไรกันนะ?……. ธุระที่ทำให้ชิราคาวะซังที่ตอบ LINE อย่างทันท่วงทีอยู่เสมอ ไม่สามารถตอบกลับได้เป็นเวลาสี่ชั่วโมงน่ะ…..

เมื่อผมเริ่มกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี่ ผมก็หยุดกังวลไม่ได้เลย…..

 

หลังจากที่ผมกลับจากโรงเรียนผมก็ไปล้มนอนฟุบบนเตียงนอนพร้อมกับรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวกับเรื่องนั้น

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็ตาม แต่ผมก็ไม่คิดว่าชิราคาวะซังเธอจะไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนชายของเธอในวันอาทิตย์หรอก…….

เอาจริงๆมันก็น่ารำคาญอยู่นิดหน่อย…….แต่ว่าผมก็อยากให้เธอจริงใจกับผมนะ

แบบนั้นน่าจะดีกว่าการที่เราเหลวไหลมานั่งเก็บเป็นความลับกันอยู่แบบนี้

แฟนหนุ่มคือผู้ชายที่ดีที่สุดสำหรับเธอก็คือผมเอง……..อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้น

 

“….อีกแล้วสินะ”

 

น่าสมเพชชะมัด ขนาดตัวเราเองยังไม่มั่นใจในตัวเองเลย

ผมไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าชิราคาวะซังเธอชอบผมในฐานะของ ‘แฟนหนุ่ม’

ผมรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอมันมากมายกว่าเธอ

ชิราคาวะซังเธอเองก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับผมเลยสักนิดเธอแค่รู้สึก ‘ชอบผมนิดหน่อย’ เพียงเพราะผมไปสารภาพรักกับเธอ

แต่ความจริงที่ว่าเธอรับผมให้เป็น ‘แฟน’ ของเธอแบบนั้นมันก็น่าจะหมายความว่าเธอคิดว่าผมพิเศษกว่า ‘เพื่อนชาย’ คนอื่นๆ

ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะการขาดความมั่นใจของผมเอง…….

 

“อึก….โธ่เว้ย! ก็ชั้นจะไปทำตัวเป็นแฟนของเธอแล้วไปซักไซร้ถามเธอว่า ‘วันอาทิตย์เธอทำอะไรไปบ้างล่ะ?’ แบบนั้นไม่ได้นี่หว่า”

 

และแล้วมันก็เกิดขึ้น

มือถือที่วางไว้ข้างเตียงก็ดังขึ้นและเมื่อผมดูที่หน้าจอก็มีข้อความป๊อปอัพของ LINE เด้งขึ้นมา

 

*ลูน่า*

[มาที่สถานีตอนนี้เลยได้ไหม?]

 

“เอ๊ะ?”

 

ตอนนี้เลย? นี่มันอะไรกันน่ะ…..ผมเริ่มรู้สึกประหม่าแล้วสิ

 

“มันคงไม่ใช่อะไรอย่างการเลิกกันแบบนั้นใช่ไหม…..?”

 

ผมตีตั๋วไปยังสถานี K ในขณะที่ยังรู้สึกประหม่าอยู่และก็พบว่าชิราคาวะซังเธออยู่ตรงประตูตรวจตั๋วด้านใน ดูเหมือนเธอจะกลับบ้านไปก่อนแล้วครั้งนึงและเปลี่ยนเป็นชุดลำลองกระโปรงสั้นและเสื้อเปิดไหล่สบายๆออกมา

ผมแตะบัตรโดยสารและมุ่งหน้าเข้าไปหาเธอ

 

“ชิราคาวะซัง มีอะไ-“

“ทาด๊า!!”

 

ก่อนที่ผมจะพูดจบชิราคาวะซังก็ถืออะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเคสไว้ที่ด้านหน้าของผม

 

“เอ๊ะ?”

 

เมื่อผมมองดูดีๆมันดูเหมือนกับเคสมือถือที่มีการพิมพ์ตัวอักษรกระจัดกระจายอยู่บนตัวเคสเต็มไปหมดพร้อมกับตัวละครกระต่ายหน้าตาแปลกๆที่ชิราคาวะซํงชอบใช้ใน LINE

 

“มันก็คือเคสมือถือ โอซาอุสะซัง ยังไงล๊า! เป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่วางขายเฉพาะในร้าน Chara Shop ที่เปิดอยู่ที่ฮาราจูกุเท่านั้น โดยจำกัดหนึ่งคนต่อหนึ่งอันเลยนะ!”

“โอซาอุสะหรอครับ?…..”

“อ้าว นี่นายไม่รู้จักหรอกหรอ? ‘เจ้ากระต่ายเฒ่า’ นี่น่ารักสุดๆไปเลยว่าไหมล่ะ?”

“น่ะ-น่ารัก?….”

 

ผมคิดว่ามันเป็นกระต่ายที่คลับคล้ายคลับคลากับเจ้าโคนี่เลยล่ะ

(TL NOTE : โคนี่ คือ กระต่าย 1 ในมาสคอตของ LINE)

(TL NOTE : โอซาอุสะ เป็นการเล่นคำของคำว่า โอซซัง หรือ ตาลุง,ตาแก่ ไปรวมกันกับ อุซางิ ที่แปลว่ากระต่าย เลยออกมาได้ประมาณว่า กระต่ายเฒ่านั่นเอง)

 

“เห็นเธอชอบมันแบบนี้ ผมก็ดีใจด้วยนะครับที่ได้มันมา”

“อื้มๆแล้วก็ เอ้านี่!”

 

ชิราคาวะซังพูดแล้วยื่นเคสมือถือมาทางผม

 

“อะไรหรอครับ?”

“อันนี้สำหรับริวโตะ เจ้านี่ชั้นให้นายนะ”

“เอ๊ะ? ทำไม…..”

 

มันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่จำกัดหนึ่งคนต่อหนึ่งอันเท่านั้นและเธอก็พยายามดั้นด้นจนหามาได้ไม่ใช่หรอ?

และในขณะที่ผมงุนงงเธอก็หยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาและโชว์ให้ผมดูอีก

 

“ดูสิ ดูสิ! เข้าคู่กันเลยเนอะ!”

 

มันก็คือมือถือของชีราคาวะซังที่ใส่เคสลายเดียวกันอยู่

 

“พอดีชั้นขอให้นิโคลไปต่อแถวเป็นเพื่อนชั้นน่ะ แล้วพวกเราก็เล่นเกมกันตั้งแต่เช้าเลยแบตมันก็เลยหมดซะก่อนที่ร้านจะเปิดซะอีก ชั้นก็เลยเปิด LINE คุยด้วยไม่ได้จนกว่าจะถึงบ้านเลยน่ะ”

“อ๋า…..”

 

ผมรู้สึกงุนงงเมื่อผมตระหนักถึงเรื่องวันอาทิตย์

แล้วชิราคาวะซังก็ยิ้มให้ผมเมื่อเห็นผมยืนเอ๋อแบบนั้น

 

“ก็ถ้าชั้นจะซื้ออันใหม่ยังไงชั้นก็อยากให้มันเข้าคู่กันกับริวโตะนี่นา ริวโตะจำได้ใช่ไหม? วันนี้น่ะเป็นวันครบรอบหนึ่งสัปดาห์ที่เราเริ่มคบกันแล้วนะ”

“อา………”

 

พอเธอพูดถึงมัน มันก็ผ่านมาสัปดาห์นึงแล้วจริงนี่นะที่ผมสารภาพความรู้สึกออกไป

 

“ขะ-ขะ-ขอบคุณครับ…”

 

ผมไม่สามารถพูดขอบคุณอย่างเหมาะสมออกไปได้เพราะผมรู้สึกประทับใจมากจนตื้อไปหมด

และผมรู้สึกได้ว่าความรู้สึกมืดมนที่ผมแบกรับไว้ก่อนหน้านี้มันค่อยๆเลือนหายไป

 

“……ดูเหมือนว่าเธอจะไปรบกวนยามานะซังเข้าแล้วสิเนี่ย ถ้ายอมบอกผมดีๆผมก็ไปช่วยต่อแถวกับเธอด้วยอยู่แล้วล่ะครับ”

“ไม่ล่ะ! ก็วันนี้ชั้นอยากจะให้ของขวัญเซอร์ไพรส์นายนี่นา….”

 

พูดแบบนั้นเสร็จชิราคาวะซังก็ยิ้มออกมา

 

“ไม่ทันได้เอะใจเลยใช่ไหมล๊า? เซอร์ไพรส์นี้โดนใจไหม?”

เมื่อผมเห็นเธอยิ้มอย่างมีความสุข ความรักมันก็เอ่อล้นออกมาจากภายในส่วนลึกของผม

 

“ครับ เซอร์ไพรส์ครับ…..”

 

ผมก็กังวลกับหลายๆเรื่องอย่างการที่เธอแบตหมดเธอก็เลยติดต่ออะไรใครไม่ได้และก็จะได้ไม่อธิบายเหตุผลเรื่องที่เธอหายไป

แต่เมื่อมองดูรอยยิ้มที่ปราศจากตวามกังวลแบบนั้นของชิราคาวะซังแล้ว

ดูเหมือนว่าผมเองก็คงจะไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเช่นกัน

สัปดาห์ที่ผ่านมาที่ผมได้เริ่มต้นความสัมพันธ์โดยกังวลแทบตายว่าเธอจะยอมรับคำสารภาพรักขำๆของผมหรือเธอจะทำแบบเดียวกันกับสาวสวยที่ปฏิเสธผมครั้งในอดีต

ส่วนสาเหตุที่ผมกังวลใจกับเรื่องนี้ก็เพราะเจ้าหนุ่มนักฟุตบอลนั่นแหละที่มากวนใจผมอยู่ได้หรือที่ว่าทำไมผมถึงไม่สามารถพูดอ้างว่า ‘พวกเราน่ะกำลังคบกันอยู่จริงๆนะ’

กับเจ้านิชิและอิจิได้ในตอนที่พวกเขาหัวแข็งไม่ยอมเชื่อ

สาเหตุทั้งหมดมันมันก็เพราะผมขาดความมั่นใจในฐานะ ‘แฟนหนุ่ม’ ยังไงล่ะ

แต่ว่าบางที….ชิราคาวะซังเธอดูเป็นห่วงเป็นใยผมมากกว่าที่คิดเสียอีกนะ

[ก็ถ้าชั้นจะซื้ออันใหม่ยังไงชั้นก็อยากให้มันเข้าคู่กันกับริวโตะนี่นา]

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนั้น…….

พอได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอตอนที่เธอพูดแบบนั้น

 

“เป็นอะไรไปหรอ? ริวโตะ”

 

ผมรู้สึกประหลาดใจตอนที่ได้รับสายจากชิราคาวะซัง

ผมซาบซึ้งมากจนคิดหลายสิ่งหลายอย่างแม้ว่าตอนนี้เธอเองก็กำลังอยู่ตรงหน้าของผม

 

“นายไม่ชอบเคสมือถือหรอ? นายไม่อยากได้ของแบบนี้หรอ?”

 

ผมส่ายหัวไปมาด้วยความตื่นตระหนกพอเห็นชิราคาวะซังเป็นกังวล

 

“ไม่ๆ มีความสุขสิครับ ขอบคุณนะครับ ผมจะรักษามันไว้อย่างดีเลย”

 

ไม่ว่าไอ้เจ้าโอซาอุสะนี่มันจะน่ารักหรือไม่ก็ตามผมก็รู้สึกดีใจจริงๆที่ชิราคาวะซังมอบของขวัญที่เข้าคู่กันสำหรับวันครบรอบของพวกเรา

 

“จริงหรอ? ดีใจจัง!”

 

ชิราคาวะซังยิ้มอย่างมีความสุข

 

“ว่าแต่……แล้วทำไมนายถึงได้ดูเหม่อๆแบบนั้นล่ะ”

“เอ๊ะ?…..อืม….”

 

ผมพยายามหาอะไรสักอย่างที่พวกเราสามารถร่วมแบ่งปันสารทุกข์สุขดิบด้วยกันได้

 

“ผม…….ที่ผ่านมาน่ะเคยสารภาพรักกับผู้หญิงคนนึงครับ….”

“เอ๋! อะไรเนี่ย! แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ?!”

 

ดวงตาของชิราคาวะซังลุกวาวขึ้นมาทันทีและเธอก็งับเหยื่อเข้าเต็มๆ

ดูเหมือนว่าเธอจะชอบพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องโรแมนติกรักๆใคร่ๆนะเนี่ย

 

“ก็ตอนที่ผมอยู่ ม.1”

“แล้วเธอเป็นคนยังไง? เหมือนกับชั้นไหม?”

“ไม่…ไม่ขนาดนั้นครับ….คือเธอเป็นผู้หญิงผมดำที่ออกแนวเงียบๆหน่อยน่ะครับ”

“อ๋า เป็นพวกสุภาพเรียบร้อยงั้นสินะ ถ้างั้นก็แตกต่างกันกับชั้นโดยสิ้นเชิงเลยใช่ไหมล่ะ”

 

ชิราคาวะซังดูมั่นใจในทันที

 

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้นหรอ?”

“ผมถูกปฏิเสธหน้าหงายเลยล่ะครับ เธอดีกับผมทุกอย่างและเธอก็เป็นคนพูดเรื่องที่เกี่ยวกับว่าชอบผมด้วย ผมก็เลยเผลอใจคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะมีใจให้กับผมแน่นอน แต่ก็นะ………ผมคิดผิด”

 

ชิราคาวะซังเธอกำลังนั่งฟังเรื่องราวของผมอย่างเงียบๆ

 

“ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่มั่นใจเรื่องของผู้หญิงมาโดยตลอด มันไม่ใช่ว่าผมเป็นขนาดนี้มาตั้งแต่แรกนะครับ……..นั่นแหละครับถึงได้เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงไม่อยากเชื่อว่าสาวสวยอย่างชิราคาวะซังจะรับคนอย่างผมเป็นแฟนได้น่ะ”

 

ชิราคาวะซังกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ

 

“เอ๋? อะไรกันล่ะนั่น คนที่มาสารภาพก็คือริวโตะเองนี่นา?”

“นั่นสินะครับ แต่……….ผมควรจะพูดว่าจริงๆแล้วผมไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะเต็มใจที่ตอบรับคำขอคบของผมน่ะครับ”

 

ผมยังไม่สามารถบอกเธอได้ว่าจริงๆแล้วมันคือเกมลงทัณฑ์ของไอ้เจ้าสหายร่วมก๊วนของผมเพราะผมคิดว่าถ้าพูดแบบนั้นไปมันจะดูเสียมารยาทเกินไป

 

“ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาแล้วสัปดาห์นึงแล้วก็เถอะ แต่ผมก็ยังคิดว่ามันยังยากที่จะเชื่ออยู่ดีครับ……นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ว่าชิราคาวะซังมาทำเซอร์ไพรส์ให้กับคนอย่างผมแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขมากจริงๆนะครับ”

 

ชิราคาวะซังจ้องมองมาที่ผมอย่างตั้งใจขณะที่ผมเล่าเรื่องราวของตัวเองจนจบและเธอก็ยิ้มอย่างนุ่มนวลออกมาครู่หนึ่ง ชิราคาวะซังที่มีใบหน้าที่มีรอยยิ้มสวยใสไร้เดียงสาราวกับสาวน้อยแบบนั้นทำให้เธอดูน่ารักมากยิ่งขึ้นไปอีก

 

“ริวโตะเองก็เคยสารภาพรักกับผู้หญิงมาก่อนเหมือนกันงั้นสินะ..”

 

เธอพูดแบบนั้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่เย้ายวนให้ผมเห็น

 

“ชั้นก็คิดว่าชั้นจะเป็นคนแรกซะอีก”

“เอ่อ แต่ว่าเรื่องนั้นมันก็เป็นแค่ประวัติศาสตร์อันดำมืดของผมจริงๆนะครับ”

“แต่ว่านะ ตอนนี้ที่พวกเราคบกันได้ก็เพราะผู้หญิงคนนั้นใช่ไหมล่ะ? ถ้างั้นเราก็ควรที่จะขอบคุณเธอนะ”

“เอ๊ะ?”

“ชั้นหมายถึง ถ้าเธอคนนั้นตอบตกลงริวโตะและตอนนี้ริวโตะก็ยังคงคบกับเธออยู่ ริวโตะก็คงจะไม่ได้มาสารภาพรักกับชั้นใช่ไหมล่ะ?”

“เอิ่ม….ก็…..แต่ว่าเรื่องรักๆใคร่ๆของเด็ก ม.ต้นน่ะ มันก็คงไปได้ไม่นานหรอกนะครับ”

“นั่นไม่จริงหรอกนะ! พ่อกับแม่ของชั้นเองก็เริ่มคบกันตั้งแต่สมัยที่พวกเขาอยู่ ม.1 เหมือนกัน”

“เอ๊ะ? จริงหรอครับ?”

 

ขณะที่ผมกำลังรู้สึกประหลาดใจอยู่ ชิราคาวะซังก็พยักหน้า

 

“ทั้งคู่น่ะเป็นแฟนคนแรกของกันและกันเลยล่ะและพอขึ้น ม.6 คุณแม่ก็มีพี่สาวอยู่ในท้องพอดีแล้วทั้งคู่ก็แต่งงานกันทันทีหลังจากเรียนจบ”

“เห…….”

 

เป็นครอบครัวเรียจูมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่เลยแฮะ………ยิ่งกว่านั้น นี่เธอมีพี่สาวด้วยอย่างนั้นหรอ? เธองั้นเธอคนนั้นคงจะต้องสวยมากแน่ๆเลย

 

“ชั้นก็เลยคิดว่า………เรื่องแบบนั้นก็คงจะเกิดขึ้นกับตัวชั้นบ้าง แต่ก็…”

 

ทันใดนั้นชิราคาวะซังมองขั้นไปยังเพดานและบ่นพึมพัม

ตอนนี้มันเป็นชั่วโมงเร่งด่วนที่ผู้คนทยอยออกจากทื่ทำงานกันและบริเวณสถานีก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ขึ้นมาจากชานชาลาและทุกคนก็ต้องตีตั๋วผ่านประตูตรวจตั๋วด้วยความรวดเร็วเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน

ท่ามกลางความโกลาหนนี้ เธอแน่ใจว่าหรอว่าจะเปิดอกเปิดใจคุยกันในสถานที่แบบนี้?

ผมคิดภายในหัวของตัวเอง

 

“คุณแม่น่ะถูกคุณพ่อมาสารภาพรักตอน ม.ต้น และเธอเองก็ไม่ประสีประสากับเรื่องการคบกันมากนัก แต่เธอก็มีความสุขกับการที่ได้มีแฟนเพราะงั้นเธอก็เลยยอมตอบตกลงกลับไป คุณแม่ชั้นเล่ามาแบบนี้น่ะ นั่นก็เลยเป็นเหตุผลในตอนที่ชั้นเองถูกสารภาพรักในช่วงก่อนปิดเทอมภาคฤดูร้อนใน ตอน ม.1 ตอนนั้นชั้นเองก็สงสัยว่าชั้นจะได้แต่งงานกับคนๆนี้บ้างไหมนะ?”

“งั้นหรอครับ….”

“นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ชั้นยอมตอบ ‘ตกลง’ ไปล่ะนะ~”

 

ผมเดาว่าหลังจากนี้ผมคงจะได้รู้เรื่องราวอีก

 

“…………”

 

ความคิดที่ว่าชิราคาวะซังกำลังนึกถึงเรื่องแฟนเก่าของเธอกำลังทำให้หัวใจของผมสั่นไหว

ผ่านไปแล้วหนึ่งสัปดาห์ ผมเริ่มคิดว่าการที่ผมคบกับชิราคาวะซังนั้นมันคือเรื่องจริง

แต่ก็อย่างที่คิดว่าสุดท้ายก็จบลงโดยการที่ผมเอาแต่คิดว่ากับคนอย่างผมน่ะมันดีแล้วงั้นหรอ?

ผมจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้ คนที่ชิราคาวะซังกำลังคบด้วยอยู่ตอนนี้………ก็คือผม

 

“เราเองก็ควรขอบคุณแฟนเก่าของชิราคาวะซังด้วยเหมือนกันครับ”

 

ผมพึมพำกับตัวเองและชิราคาวะซังก็มองมาที่ผมพร้อมกับผม

 

“นั่นมันลอกคำพูดของชั้นนี่!”

 

พอชิราคาวะซังยิ้มอย่างเขินอายและพูดติดตลกแบบนั้นผมก็ยิ้มตอบกลับเธอไป

 

“ผมก็แค่คิดว่ามันเป็นคำพูดที่ดีเลยล่ะครับ”

“หนอย~~ รู้งี้ชั้นน่าจะจดลิขสิทธิ์เอาไว้!!”

 

ชิราคาวะซังทำท่าเสียใจแบบติดตลกออกมา

สักวันหนึ่ง….จนกว่าที่ผมจะสามารถพูดขอบคุณแฟนเก่าของชิราคาวะซังได้อย่างจริงใจโดยไม่เอาความรู้สึกลงไปปะปนด้วย………..จนกว่าจะถึงตอนนั้นผมคิดว่ามันจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน

เมื่อวันนั้นมาถึง แน่นอนว่าหัวใจของผมจะต้องเต็มไปด้วยความมั่นใจว่าชิราคาวะซังน่ะรักผมและผมก็จะสามารถพูดว่าผมเป็นแฟนของชิราคาวะซังได้อย่างเต็มปากด้วยความภาคภูมิใจ

ผมก็หวังว่าวันนั้นผมคงจะมาถึงนะ…..

 

“แล้วก็นะ…นายรู้ไหม”

 

และชิราคาวะซังก็เริ่มพูดพึมพำอีกครั้ง

 

“ว่าพ่อแม่ของชั้นพวกเขาเองก็เลิกกันแล้ว”

“เอ…….หรอครับ”

 

ผมมีเรื่องอีกมากมายก่ายกองที่ผมยังไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ครอบครัวของชิราคาวะซัง

แน่อยู่แล้วเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะเอ่ยปากบอกเพื่อนฝูงได้อย่างง่ายดาย แต่ผมเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน

แต่อย่างไรก็ตาม……เธอดูประสบปัญหากับการพูดคุยเรื่องอื่นๆจึงวกกลับไปคุยเรื่องของครอบครัวของเธอเอง

ตอนที่ผมเงียบไปโดยที่กำลังคิดถึงเรื่องของแฟนเก่าของชิราคาวะซัง ผมก็คิดๆอยู่ว่าเธอจะเล่าเรื่องราวสถานการณ์ของครอบครัวของเธอให้ฟังด้วยหรือเปล่า?

ยิ่งคิดเกี่ยวกับมันก็ยิ่งทำให้เธอดูน่าเอ็นดูมากขึ้นไปอีก

 

“แล้วตอนนี้เธอก็เลยได้อยู่กับคุณแม่หรอครับ?”

“ไม่หรอก ชั้นอาศัยอยู่กับคุณพ่อกับคุณย่าน่ะ ส่วนพี่สาวที่เคยอยู่ด้วยกันจนถึงเมื่อปีก่อน ตอนนี้เธอย้ายไปอยู่กับแฟนเธอเรียบร้อยแล้ว”

“งั้นหรอครับ”

 

ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรดีในช่วงเวลาแบบนี้ เพราะผมก็มาจากครอบครัวที่สมบูรณ์ครบองค์ประกอบธรรมดาๆทั่วๆไปและอาศัยอยู่กับพ่อแม่ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ได้มีเรื่องผิดใจอะไรกันเป็นพิเศษ ดังนั้นผมก็เลยไม่มั่นใจว่าคำตอบที่ถูกต้องสำหรับช่วงเวลานี้คืออะไร?

 

“แต่ก็ดีแล้วนะครับที่เธอกับคุณพี่สาวไม่ได้แยกจากกันน่ะ”

 

จากนั้นสีหน้าของชิราคาวะซังก็เปลี่ยนไป

 

“เอ๊ะ?”

 

เธอจ้องมองมาที่ผมด้วยใบหน้าประหลาดใจแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

 

“เอ๊ะ?”

 

ผมก็เลยประหลาดใจเช่นเดียวกัน

นี่ผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่า? ผมคิดว่ามันเป็นความคิดเห็นที่ค่อนข้างเซฟแล้วนะ

และเมื่อผมคิดอย่างนั้น ชิราคาวะซังก็มองออกไปอย่างรวดเร็วและพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม

 

“อื้ม ใช่ ชั้นก็ว่างั้นแหละ”

 

สงสัยจังว่านั่นมันหมายความว่าไง?

แต่อย่างไรก็ตามที่มาของความรู้สึกไม่สบายใจที่ผมรู้สึกได้ในตอนนี้ก็ถูกเปิดเผยออกมาหลังจากนั้นไม่นาน

นับจากวันนั้นผมก็มีเคสมือถือที่เข้าคู่กันกับชิราคาวะซังและชีวิตในรั้วโรงเรียนของผมก็กลายเป็นเรื่องยากที่จะหยิบมือถือออกมาใช้ที่โรงเรียน

แต่แล้วบางสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็เกิดขึ้นกับผม

 

“เอาล่ะ เริ่มคลาสวันนี้เราจะมีสมาชิกใหม่กันด้วยนะ”

 

เช้าของวันหนึ่งกับคำพูดสั้นๆของอาจารย์ผู้ดูแลคาบโฮมรูมทำให้ทั้งห้องเรียนต้องตกตะลึง

 

“เอาจริงดิ?! นักเรียนแลกเปลี่ยนเรอะ?”

“ผู้ชายหรือว่าผู้หญิงล่ะ?”

 

แทนที่จะตอบคำถามเหล่านั้นอาจารย์ก็เดินไปเปิดประตูห้องเรียนแล้วกวักมือไปที่โถงทางเดินแทน

จากนั้นทั้งห้องเรียนก็อ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่งเมื่อพวกเขาได้เห็นร่างที่ปรากฏขึ้น

เธอเป็นหญิงสาวที่สวยอย่างน่าอัศจรรย์

ดวงตากลมโตที่ดูชุ่มชื้นและถุงใต้ตาที่อวบอิ่ม แก้มม้วนกลมเป็นดอกกุหลาบ ริวฝีปากมีที่รูปร่างดีและมุมปากที่ยกสูง…….โครงสร้างที่สุดแสนจะน่ารักสมบูรณ์แบบนั้นช่วยเสริมด้วยผมสีดำยาวประบ่าที่ส่องประกายอย่างมีเสน่ห์

เธอตัวเล็กและรูปร่างผอมเพรียวและทั่วทั้งร่างของเธอก็เปล่งออร่าที่ทำให้พวกผู้ชายรู้สึกต้องการที่จะปกป้องเธอ

 

“โว้ว……..”

“นี่เธอเป็นคนธรรมดางั้นหรอ? เธอดูเหมือนคนจาก Sakamichi Series เลยนะเนี่ย!”

“นี่เธอน่ารักสุดๆไปเลยไม่ใช่รึยังไง!!!”

 

(TL NOTE : Sakamichi Series เป็นเฟรนไชน์กลุ่มไอดอลที่มีจุดเริ่มต้นจาก Nogizaka46 ซึ่งเป็นคู่แข่งของ AKB48)

 

เพื่อนร่วมชั้นของผมคึกคักกันใหญ่ แต่ยังมีเซอร์ไพรส์ให้กับผมอีกอย่างนึง

 

“คุโรเสะ……..มาเรีย………”

 

ราวกับอยากจะยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ผมพึมพำชื่อที่อาจารย์เขียนไว้ที่กระดานดำ

ผมรู้จักผู้หญิงคนนี้ นั่นก็เพราะว่า……..

[ชั้นขอโทษนะ ชั้นไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น….]

 

น้ำเสียงที่ดูเหมือนสับสนอยู่นั้น แม้แต่ตอนนี้เองมันก็ยังคงติดอยู่ในหูของผมอยู่และไม่จางหายไป

[ชั้นน่ะคิดว่าคาชิมะคุงเป็นเพื่อนที่ดีนะ…..]

ไม่ต้องสงสัยเลย

นักเรียนที่ย้ายมาใหม่ก็คือสาวสวยที่ปฏิเสธผมตอน ม.1 ………..คุโรเสะ มาเรีย

 

“คุโรเสะซังเธอย้ายออกจากที่นี่ไปเมื่อสามปีก่อน แต่เนื่องจากสถานการณ์ทางบ้าน เธอจึงได้ย้ายกลับมาที่นี่และก็ได้ย้ายเข้ามายังโรงเรียนของเราด้วย ยังไงก็ช่วยดีกับเธอด้วยนะทุกคน”

“แน่นอนครับจารย์ !!!!”

 

ตามคำพูดของอาจารย์เจ้าหนุ่มหน้าหม้อก็กระดี๊กระด๊ายกใหญ่และโบกไม้โบกมือพร้อมกับหายใจฟืดฟาดอย่างดุเดือด

ไม่ใช่แค่หมอนั่นคนเดียวหรอกนะ งานนี้บอกจากบรรยากาศได้เลยว่าผู้ชายในห้องเรียนทุกต่างพากันอย่างจะคุยกับเธอกันทั้งนั้น

เว้นผมคนเดียวล่ะนะ……..
 

“ถ้างั้น คุโรเสะซัง ยังไงก็ช่วยแนะนำตัวสักหน่อยสิ”

 

เมื่ออาจารย์บอกเธอแบบนั้นเธอจึงเปิดปากพูด

 

“ชั้นพึ่งจะกลับมาที่นี่หลังจากย้ายออกไปได้สามปี ชั้นยังไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโรงเรียนนี้มากนัก ยังไงก็รบกวนช่วยบอกชั้นด้วยนะคะทุกคน”

“คร๊าบบบบบ”

 

แล้วพวกหน้าหม้อสองสามคนก็พากันยกมือขึ้น

 

“ขอบคุณนะ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

 

 

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset