[นิยายแปล] Keiken Zumi na Kimi to, Keiken Zerona Ore ga, Otsukiai Suru Hanashi. – ตอนที่ 3 แฟนสาว

ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเหมือนร่างกายของผมมันกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ…………..

ทันใดนั้นผมก็ฉุกคิดทันทีว่าเธอคงจะพูดเล่นสนุกกับผมแน่ๆ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆรสนิยมของเธอนี่ก็แย่ชะมัดเลย !

 

“ทำไมนายถึงได้ดูแปลกใจขนาดนั้นล่ะ? ไม่ใช่ว่านายเป็นคนที่มาสารภาพเองงั้นหรอกหรอ?”

 

เมื่อเห็นผมทำท่าทางแบบนี้ชิราคาวะซังก็หัวเราะคิกคักแปลกๆออกมา นี่เธอกำลังจะบอกผมว่า “เธอจริงจังอย่างงั้นหรอ?” หรือเธอแค่สนุกกับการที่ได้เห็นปฏิกิริยาไก่อ่อนของผมกันแน่? ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?

 

“แล้วนายจะเอายังไงล่ะ?”

 

ชิราคาวะซังหยุดหัวเราะและก้าวเข้ามาใกล้ๆผมพร้อมกับพูดถาม

 

“นายอยากจะคบกับชั้นไหม?”

 

ดวงตาของเธอนั้นช่างน่ารักสุดๆไปเลย ณ วินาทีนี้หัวใจของผมแทบจะหยุดเต้นอยู่แล้ว

นี่มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกันนะ? ผมไม่เคยนึกฝันถึงขั้นนี้มาก่อนเลย ผมเองก็ไม่ค่อยจะแน่ใจนัก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มีอะไรบางอย่างที่โชคดีมากๆอย่างไม่น่าเชื่อกำลังเกิดขึ้นกับผม ทั้งๆที่ผมมันเป็นไอ้คนที่มืดมนที่ไม่มีอะไรดีเด่ ที่มีงานอดิเรกอย่างเดียวคือการนั่งๆนอนๆดูคลิปเกี่ยวกับเกมและตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าจิตใต้สำนึกของผมมันบอกให้ผมอย่าปล่อยโอกาสนี้ไปได้ง่ายๆ

 

แต่ว่ามันก็เป็นไปได้ที่เธอแค่นึกสนุกแกล้งผมเล่นเฉยๆและก็เป็นไปได้ว่านี่มันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ว่าถ้าหากว่านี่มันเป็นเรื่องจริงล่ะก็ 

คำตอบของผมน่ะมันก็ต้องแน่อยู่แล้ว………..

 

“ครับผม……….”

 

ผมพยักหน้าตกลงด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวดั่งไฟเผาและชิราคาวะซังก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ดูพึงพอใจ

 

“งั้นก็ ตกลงนะ”

 

ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอช่างน่ารักเสียจริง นี่มันไม่ใช่โลก VR ใช่ไหม? ผมไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าชิราคาวะซังเธอจะอยู่ใกล้ผมขนาดนี้พร้อมกับกำลังส่งยิ้มให้ผมน่ะ

ถ้าหากว่านี่มันเป็นความฝันล่ะก็ ขอล่ะปล่อยให้ผมหลับต่อไปแบบนี้ไปชั่วนิจนิรันด์ด้วยเถิด

 

“ถ้างั้นเราก็กลับบ้านด้วยกันนะ! ชั้นบอกเพื่อนๆไปแล้วว่ามีธุระเลย บอกลาพวกเขาไปเรียบร้อยแล้วล่ะ”

 

และเพราะอย่างนั้นผมจึงเริ่มเดินไปพร้อมๆกันกับชิราคาวะซังไปทางประตูด้านหลัง

และเมื่อผมกำลังเดินผ่านตรงที่จอดรถยนต์ผมก็เห็นอิจิและนิชิกำลังหมอบอยู่หลังรถกำลังทำหน้าเสีย พูดไม่ออกกันทั้งคู่ 

 

ขุ่นพระ! นี่มันอะไรกัน?! ผมไม่ได้กำลังฝันอยู่จริงๆใช่ไหมเนี่ย ?!

นี่มันสถานการณ์บ้าบออะไรกัน? ผมกำลังเดินไปตามถนน…….เคียงข้างชิราคาวะซังอยู่……จริงๆใช่ไหม?………

 

เอาจริงดิ !!!

ด้วยหัวใจที่เต้นแรงของผมผมทำได้แค่ขยับเขยื้อนเท้าของผมให้ก้าวไปทีละช้าๆอย่างเงียบๆ

 

“แล้วชื่อของนายอ่านว่ายังไงหรอ? คุวาชิมะหรอ?”

“คะ-….คาชิมะ ริวโตะครับ….”

“โอ้ว ริวโตะนี่เอง! เท่ห์จัง!”

 

ชิราคาวะซังเธอยิ้มอย่างเป็นประกาย มันเป็นการโจมตีด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มพร้อมกับคำพูด “เท่ห์จัง” ของเธอมันยิ่งทำให้อัตราการเต้นของหัวใจของผมเพิ่มมากยิ่งกว่าตอนก่อนหน้านี้เสียอีก

เย็นไวไอ้เสือ เย็นไว้

ขืนตื่นเต้นมากเกินไปก็คุยกันไม่รู้เรื่องพอดี ขืนเป็นแบบนั้นผมคงถูกเธอทิ้งในอีกไม่กี่นาทีต่อมาแน่ๆ เธอก็คงจะพูดว่า “ชั้นล้อเล่นเฉยๆหน่า อย่าบอกนะว่านายคิดว่าเราจะคบกันจริงๆอย่างนั้นหรอ?” พร้อมกับหัวเราะไปด้วย มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆเลย…..

ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้นและพยายามทำตัวให้ใจเย็นเข้าสู้

 

“นี่..ริวโตะ”

 

ชิราคาวะซังเริ่มพูดกับผม

 

“เรา…เคยคุยกันบ้างรึเปล่า? “

“เอ๊ะ…อา…อืม…..”

 

ชั่วขณะนั้นที่ผมคิดว่าผมควรที่จะเล่าให้เธอฟังถึงเหตุการณ์ตอนที่เธอเข้ามายืมดินสอของผมแท่งนั้นดีรึเปล่า? แต่มันก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่สำคัญอะไรและไม่นับว่าเป็นการ “พูดคุย” เลยด้วยซ้ำฟังดูน่าขนลุกชะมัด

 

“ก็ไม่ได้คุยกันแบบเฉพาะเจาะจงอะไรหรอกนะ…..”

“หืม….งั้นหรอกหรอ”

“แล้วว่าแต่ชิราคาวะซังเอง ทำไมถึงได้เต็มใจจะคบกันผมกันล่ะ?”

 

เพราะผมบอกให้ตัวเองใจเย็นแล้วสงบสติอารมณ์ก็เลยพบว่าตอนนี้ตัวผมเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากที่จะเชื่อ

เพราะผมมีบาดแผลจากการ “สารภาพรัก” มาก่อน

ตอนผมอยู่ ม.1 ผมบังเอิญได้นั่งข้างๆเด็กผู้หญิงที่น่ารักมากๆและเธอก็ยิ้มพร้อมกับคุยกับผมแถมยังได้สกินชิพ(แตะเนื้อต้องตัว)กันบ่อยครั้งอีกต่างหาก และพอตอนนั้นที่ผมให้เธอลอกการบ้านของผม “ชั้นคิดว่า…….ชั้นชอบคนแบบนั้นนะ…” เธอพูดบ่นพึมพำเบาๆพร้อมกับแก้มที่มีสีแดงระเรื่อ แล้วก็แน่นอนว่าไอ้คนมืดมนอย่างผมพอได้ยินแบบนั้นก็แทบตัวลอยนั่งไม่ติดเก้าอี้และผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเธอเองก็คงจะมีใจให้กับผมไม่ผิดแน่ พอเชื่ออย่างนั้นผมจึงรวบรวมความกล้าครั้งหนึ่งในชีวิตนี้เข้าไปสารภาพรักกับเธอ

ส่วนผลก็คือความอัปยศของผมเอง จากใบหน้าที่ดูอึดอัดของเธอขณะที่พูดพึมพัมออกมาว่า “ชั้นก็นึกว่าคาซิมะจะเป็นคนดีซะอีก แต่ว่า…..” ภาพใบหน้าของเธอยังคงตราตรึงฝังแน่นอยู่ในม่านตาของผมจงบจนทุกวันนี้

ผมได้เรียนรู้บทเรียนจากประสบการณ์ที่สุดแสนจะเจ็บปวดนี้ ผู้หญิงน่ะ………โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่น่ารักและเป็นที่นิยมน่ะ ไว้ใจไม่ได้หรอก………..

ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่ได้คิดลึกลงไปมากขนาดนั้น แต่มันก็ดูไม่มีเหตุผลเลยว่าทำไมผู้หญิงที่สุดแสนจะน่ารักและโด่งดังจะมาชอบคนที่มืดมนอย่างผมได้ลงคอ ก็เพราะผมคิดอย่างงี้ไงผมถึงได้สารภาพรักความรู้สึกกับชิราคาวะซังไป เพราะผมมั่นใจ 100% ว่าผมจะถูกปฏิเสธแน่ๆ ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้รับคำตอบว่า “ตกลง”

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม….มันถึงยากที่จะยอมรับในสถานการณ์แบบนี้ ราวกับว่าผมกำลังถูกจัดฉากแกล้งอยู่ยังไงอย่างงั้นแหละ

 

“เอ๋?”

 

ชิราคาวะซังมองกลับมาที่ผมด้วยท่าทีสงสัย

 

“นายอยากรู้ว่าทำไมชั้นถึงยอมคบกับริวโตะอย่างงั้นหรอ?”

“คะ-คือ ผมหมายถึง ชิราคาวะซังเองก็อาจจะไม่ได้ชอบผมจริงๆก็ได้น่ะครับ เพราะเธอเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผมเลยนี่นา……..”

 

เราอยู่ห้องเดียวกัน แต่เธอยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าชื่อของผมมันอ่านยังไง

และคำตอบที่ได้รับกลับมาจากเธอก็เป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิด

 

“ถ้าอย่างนั้นชั้นสามารถชอบนายโดยที่ไม่รู้จักนายได้ด้วยงั้นหรอ?”

“เอ๊ะ?”

 

เมื่อผมมองไปยังชิราคาวะซังเธอก็เอียงหัวและมองผม

 

“ชั้นหมายถึงแม้แต่ริวโตะเองก็ยังไม่รู้จักชั้นดีเลยใช่ไหมล่ะ”

 

ผมชะงักกับสิ่งที่เธอพูดออกมา

 

“เราเองก็ไม่เคยคุยกับมาก่อนใช่ไหมล่ะ? แล้วนายก็ชอบชั้นที่รูปลักษณ์ภายนอกของชั้นใช่ไหมล่ะ?”

“……………………….”

 

ผมไม่ได้พูดอะไรโต้กลับเธอไป เพราะผมตอบเธอไปแล้วในตอนก่อนหน้านี้ ที่ว่า “เพราะเธอน่ารัก” ตอนที่เธอถามผมว่าทำไมผมถึงได้ชอบเธอ เรื่องที่ผมชอบเธอที่รูปลักษณ์ภายนอกน่ะมันก็จริงอยู่ แต่ว่าผมเองก็เฝ้ามองชิราคาวะซังอยู่ห่างๆมาตั้งแต่ปีหนึ่งและคิดเสมอว่า “เธอเป็นคนที่สวย” และก็เอาแต่ชื่นชมเธออยู่อย่างนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ผมคิดว่าตัวผมเองก็ชอบชิราคาวะซังมากกว่าที่คิด แต่ตอนนี้กับสิ่งที่เธอพูดออกมาน่ะ เธอพูดถูกต้องแล้วล่ะ ผมน่ะแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชิราคาวะซังเลย

 

“ชั้นเองก็ชอบริวโตะอยู่หน่อยๆนะ…..”

“เอ๋?”

 

ด้วยคำพูดที่ไม่คาดคิดของเธอทำให้ผมมองไปที่ชิราคาวะซังด้วยความตกใจ จากนั้นผมก็สบตากับดวงตาที่ดูน่ารักสดใสของเธอจนทำให้สมองของผมโลดแล่น

เพราะชิราคาวะซังตัวเตี้ยกว่าผมมากพอสมควรผมเลยคิดๆอยู่ว่าเธอจะจ้องมองผมยังไงนะ? ถ้าหากว่าผมยืนอยู่ข้างๆเธอล่ะก็ เธอดูเหมือนนางแบบด้วยใบหน้าที่เล็กและรูปร่างที่สมดุลพอดิบพอดีไม่ใช่เพราะความสูงของเธอแต่อย่างใด

นอกจากนี้มันก็เป็นเวลาพักนึงแล้วที่ผมได้กลิ่นอะไรที่ ห อ ม มากๆซึ่งไอ้ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นกลิ่นของดอกไม้หรือผลไม้รึเปล่า? แต่ที่แน่ๆกลิ่นๆนี้มันออกมาจากตัวของชิราคาวะซังไม่ใช่รึยังไงกัน!

เดี๋ยวๆเดี๋ยวก่อน ! นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดถึงเรื่องนั้น…ชิราคาวะซังเองก็ชอบผมอยู่หน่อยๆงั้นหรอ? ไม่ๆเป็นไปไม่ได้หน่า

เอ่อ…ผมหมายถึง…เธอไม่แม้แต่จะรู้จักผมเลยด้วยซ้ำนี่นา

และราวกับว่าเธอรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจของผมเอง ชิราคาวะซังเธอก็เริ่มพูด

 

“เมื่อกี้นี้ริวโตะบอกว่า “ชอบ” ชั้นใช่ไหม?”

“…..ครับ”

“ก็นั่นแหละคือเหตุผล”

“…..เอ๊ะ?”

“เอ๊ะ?…..ทำไมต้อง “เอ๊ะ” ด้วยล่ะ?”

“คือผมหมายถึง แค่นั้นหรอ?……..”

 

เมื่อผมพูดพึมพัมออกมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่เชื่อในคำพูดของเธอจากนั้นเธอก็เปลี่ยนสีหน้าทันทีเหมือนกำลังสงสัยว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

 

“อ้อ! นายคิดว่าชั้นเป็นยัยร่านที่ชอบทุกคนไม่เลือกหน้างั้นสินะ? ชั้นเองก็มีสเปคอยู่เหมือนกันนะยะ! พวกผู้ชายที่ไว้เล็บยาวๆหรือพวกน้ำมูกไหลย้อยแบบนั้น ให้ตายก็ไม่เอาหรอกนะ โอเคเก็ตนะ !”

 

ในขณะที่ผมรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องข่าวลือของเธอที่แพร่ไปอย่างกว้างขวางเธอก็จ้องมองผมด้วยใบหน้าบึ้งตึงพร้อมกับพูดประท้วง

 

“แต่ว่าริวโตะก็ไม่ใช่คนแบบนั้น ชั้นถึงได้มีความสุขยังไงล่ะ”

 

ผมแทบไม่เข้าที่เธอจะสื่อเลย เพราะถ้าผู้หญิงที่ผมเองก็ยังไม่รู้จักแล้วมาสารภาพรักกับผมว่า “ชั้นชอบนาย….” ล่ะก็ ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่ใช่สเปคของผม แต่ผมก็อาจจะรู้สึกชอบเธอขึ้นมาในตอนนั้นก็ได้

แต่นั่นมันก็เป็นเพราะผมมันเป็นผู้ชายเห่ยๆที่ไม่ใครสนใจและไม่เคยถูกสารภาพรักเลยแม้แต่ครั้งเดียวยังไงล่ะ

 

“แต่ดูเหมือนว่าชิราคาวะซังน่ะคงจะคุ้นเคยกับคำว่า “ผมชอบคุณ” สินะครับ….”

“เอ๊ะ?….”

 

ผมไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร เธอมองมาที่ผมราวกับกำลังจะพูดอะไรแบบนั้น

 

“แล้วนายไม่รู้สึกมีความสุขเวลาที่โดนพูดว่า “ชอบ” ใส่หรอ?”

 

 

ผมคิดว่ามันก็จริงแต่….

 

“แล้วความสุขที่ว่าน่ะ……..ไม่ใช่ว่ามันมากพอที่จะให้เธอคบกับคนๆนั้นแล้วหรอ?”

 

ผมก็ยังคงมีข้อสงสัยอยู่ดี เพราะไม่อยากที่จะต้องรู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว

เพราะว่าพอวันพรุ่งนี้มาถึง “ชั้นรู้สึกว่าไม่ได้ชอบนายมากขนาดนั้นแล้วอ่ะ ดังนั้นขอไม่คบกับนายต่อก็แล้วกันนะ” ผมไม่สามารถคิดถึงจินตนาการในอนาคตที่ผมถูกบอกอย่างนั้นได้เลย เพราะถ้าหากว่าเราสองคนลงเอยด้วยการ “คบกัน” จริงๆล่ะก็ไม่ว่าจะพรุ่งนี้ มะรืนนี้ผมก็คงจะตกหลุมรักเธอมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน

มันดูเหลือเชื่อก็เพราะ………มันดูเหมือนไม่ใช่เรื่องอำกันเล่น

 

“คำว่า “ชอบ” ของชิราคาวะซังน่ะสำหรับผมน่ะคือในฐานะเพื่อนครับ…คือผมหมายถึง……..มันไม่ดูด้อยค่าไปหน่อยหรอครับ?”

 

พูดไปจนได้…ถึงแม้สาวสวยที่สุดแสนจะใจดีคนนี้เป้นคนเอ่ยปากชวนคบกันกับผม แต่ผมกลับพูดในสิ่งที่เธออาจจะเกลียดผมไปจนได้! ผมมันโง่ซะจริง 

ไอ้โง่ ปากพล่อยเอ้ยยยย

แน่นอนว่าชิราคาวะซังก็เงียบไปชั่วขณะ ในขณะที่ผมกังวลว่าผมได้ทำร้ายความรู้สึกของเธอไปรึเปล่า? ชิราคาวะซังเธอก็มองมาที่ผม

 

“แล้วเป็นแบบนั้นไม่ได้งั้นหรอ?”

 

สิ่งที่เธอตอบกลับมาคือคำพูดที่ดูเรียบง่ายไม่ลึกซึ้ง

 

“ถึงมันจะฟังดูด้อยค่า แต่มันก็เป้นเรื่องที่ดีนะ แถมมันก็ทำให้นายอยากจะใกล้ชิดกับชั้นมากยิ่งขึ้นด้วยใช่ไหมล่ะ? ถ้างั้นทำไมไม่ลองคบกันดูก่อนสิ ถึงแม้คำว่า “ชอบ” ที่เรามอบให้กันและกันในทีแรกอาจจะฟังดูด้อยค่าไปหน่อยก็เถอะ แต่ถ้าเราคบกันต่อไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งมันอาจจะกลายเป็น “ชอบ” จริงๆก็ได้นะ”

 

ชิราคาวะซังพูดพร้อมกับยิ้มให้ผม

 

“ถึงแม้ว่า….จนป่านนี้ชั้นเอง……..ก็ยังไม่เคยคบกับใครที่ทำให้มันกลายเป็น…….. ‘ชอบจริงๆ’ ได้เลยสักคนก็เถอะนะ”

 

เมื่อเธอยิ้มและพูดดราวกับไม่เห็นคุณค่าของตัวเธอเองผมก็ถามเธอผมก็ถามเธออย่างกล้าๆกลัวๆ

 

“ทำไมล่ะครับ?….”

 

ข่าวลือที่ว่าเธอคบกับแฟนได้นานสุดก็สองหรือสามเดือนอาจจะเป็นความจริงก็ได้ ในตอนที่ผมกำลังนึกสงสัยอยู่ว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นมันมาจากอะไร

 

“อ๊ะ”

 

ดวงตาชิราคาวะซังก็เบิกกว้าง

 

“นายกำลังคิดว่าชั้นคงเบื่อพวกนั้นและก็เป็นฝ่ายทิ้งไปใช่ไหมล่ะ? แต่จริงๆแล้วตรงกันข้ามเลยล่ะ! เพราะเวลาชั้นคบกับใครน่ะนะชั้นจริงจังและทุ่มเทสุดๆไปเลย! ถ้ามีผู้ชายคนอื่นมาสารภาพรักชั้นก็จะบอกปัดปฏิเสธทันทีเลยนะ!”

“อะ-อือ งั้นหรอครับ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดที่แฝงความจริงจังและฟังดูเข้มแข็งของเธอผมก็พูดอุทานตอบกลับไป

แต่ว่าความไม่ไว้วางใจของผมที่มีต่อพวกผู้หญิงสวยน่ะมันฝังรากเหง้าลึกลงไปภายในจิตใจของผมอยู่ดี…..

 

“แต่ว่า…ตัดสินจากสิ่งที่ชิราคาวะซังพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ที่ว่าถึงแม้ว่าเธอจะมีแฟนแล้วก็ตาม แต่ถ้ามีคนอื่นมาบอก ‘ชอบ’ แบบนั้นน่ะมันจะทำให้เธอเริ่มหันไปชอบเขาบ้างรึเปล่าครับ?”

 “หา? นายกำลังพูดถึงอะไรเนี่ย?”

 

คิ้วของชิราคาวะซังย่นชิดกันอย่างงดงาม

 

“……………….”

 

เมื่อรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ต่อใบหน้าที่แสนน่ากลัวของหญิงสาวผมก็นิ่งเงียบไป

 

“การที่ถูกบอก “ชอบ” โดยคนที่ชั้นไม่ชอบน่ะ มันไม่ใช่แค่น่ารำคาญหรอกนะ มันน่าขยะแขยงสุดๆไปเลยต่างหากล่ะ”

“……………….”

 

เอิ่มมันฟังดูแตกต่างจากที่เธอพึ่งพูดไปเมื่อกี้นี้จังเลยนะครับ

แต่ยังไงซะผมก็คิดว่าก็คงไม่เป็นไรที่จะเชื่อว่าเธอทุ่มเทมากๆ ในตอนที่เธอกำลังคบกับใครสักคนอยู่และในขณะที่เรากำลังคุยกันอยู่นั้นชิราคาวะซังก็หยุดชะงักทันที

 

“บ้านของนายไปทางไหนงั้นหรอ?”

 

เมื่อถึงพูดถึงเรื่องนี้รู้ตัวอีกทีเราก็เดินมาจนถึงด้านหน้าสถานีเรียบร้อยแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset