แม่ทัพโฮ้วหันหน้าเข้าหาความมืด เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ข้ารู้เรื่องของท่านกับองค์หญิง หากมองข้ามเรื่องฐานะอันสูงส่งและต่ำต้อย ข้าถือว่าองค์หญิงเป็นหลานสาวของข้าผู้หนึ่ง ข้าจึงอยากจะถามท่าน ว่าท่านจริงใจกับพระองค์หรือไม่”
ซูเจ๋อคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่า “จะจริงใจหรือไม่นั้นสำคัญสำหรับแม่ทัพโฮ้วด้วยรึ หากว่าข้าอยากอยู่ร่วมกับพระองค์ คิดดูแล้วคงไม่ได้มีเพียงแค่แม่ทัพโฮ้วที่ไม่เห็นด้วย แต่ในอนาคตจะต้องมีคนอีกนับไม่ถ้วนที่คิดเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรสถานะของเราก็ไม่เท่าเทียมกัน”
“สถานะอะไรที่ไม่เท่าเทียม” แม่ทัพโฮ้วจ้องเขม็ง “หากท่านรู้ถึงสถานะที่แตกต่างอยู่แล้ว ท่านก็ไม่ควรก่อเรื่องยุ่งตั้งแต่แรก ในภายภาคหน้าไม่ว่าจะต้องเจออุปสรรคหรือหนทางที่ยากลำบากแค่ไหน ในเมื่อท่านมีความสามารถในการก่อความยุ่งยากขึ้น ท่านก็ต้องแบกรับมันให้ได้ เข้าใจหรือไม่”
ซูเจ๋อมึนงงเล็กน้อย
แม่ทัพโฮ้วดึงดาบออกจากฝักเล็กน้อยจนเผยให้เห็นแสงสะท้อนของคมดาบส่วนที่โผล่ออกมา เขากล่าวว่า “ในภายภาคหน้าท่านไม่เพียงแต่ต้องช่วยพระองค์ปกครองอาณาจักรอย่างสุดความสามารถ แต่ท่านยังห้ามทำผิดต่อพระองค์ มิเช่นนั้น ดาบในมือของข้าจะไม่ละเว้นท่าน”
หลังจากชะงักไปนิดหนึ่ง ซูเจ๋อจึงตอบแม่ทัพโฮ้วอย่างเคารพในฐานะผู้ที่อ่อนอาวุโสกว่า “ขอรับ”
แม่ทัพโฮ้วถอนหายใจครั้งหนึ่งและกล่าวอีกว่า “เพียงแต่ถึงอย่างไรท่านก็เป็นราชครูขององค์หญิง ซึ่งเป็นความจริงที่มิอาจลบเลือนได้ แม้ว่าข้าจะไม่สนใจกรอบประเพณีเก่าๆ แต่ผู้อื่นไหนเลยจะสนใจว่าพวกท่านอายุแตกต่างกันเท่าใด เป็นคนที่สนิทสนมรักใคร่กันมาตั้งแต่เยาว์วัยหรือไม่ พวกเขาแค่สนว่าท่านเป็นราชครูของพระองค์ และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป อย่าหาว่าข้าไม่เตือน ทางที่ดีท่านควรเตรียมใจไว้ล่วงหน้า ต่อไปในอนาคตไม่รู้ว่าจะมีเหล่าอาณาประชาราษฎร์หัวหงอกผู้ยึดมั่นถือมั่นสักกี่คนที่ยอมรับท่านได้ จะมีอีกกี่คนที่ต้องผิดหวังอย่างรุนแรง ถึงตอนนั้นชื่อเสียงอันดีของราชครูซูเจ๋ออย่างท่านอาจจะถูกทำลายลงได้”
แม่ทัพโฮ้วยังบอกอีกว่า “ท่านเองก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าในภายภาคหน้าเมื่อท่านอยู่เคียงข้างองค์หญิงในฐานะของบัณฑิตผู้ซื่อสัตย์ ท่านอาจจะทำให้บัณฑิตผู้ด้อยโอกาสนับไม่ถ้วนในต้าฉู่พากันมาอุทิศตัวให้ราชสำนักได้ แต่ถ้าชื่อเสียงของท่านถูกทำลาย บัณฑิตเหล่านั้นก็จะหมดความนับถือท่าน”
สีหน้าของซูเจ๋อกลับไปเรียบเฉยตามเดิม ราวกับบึงน้ำที่ไม่อาจหยั่งรู้ถึงก้นบึ้ง
เขารู้มานานแล้วว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยขวากหนาม แม้ว่าสงครามจะสิ้นสุดลง แต่บนเส้นทางก็ยังเต็มไปด้วยหนามแหลมคม หากเฉินเสียนยังยืนกรานว่าจะเดินไปกับเขา เท้าทั้งสองข้างจะบาดเจ็บจนรอยเลือดไหลลามไปเรื่อยๆ
วันหนึ่งเมื่อเธออยู่ในฐานะที่สูงส่ง เธอจะทำสิ่งใดตามใจชอบไม่ได้อีกต่อไป บางทีในใจของเธอ อำนาจและอาณาจักรอาจไม่มีทางสำคัญไปมากกว่าเขา แต่ถึงอย่างไรภาระหน้าที่นี้ย่อมหนักกว่าเขามาก
เขาไม่อาจอยู่ร่วมกับเธออย่างมีเกียรติในนามของซูเจ๋อ
มีหรือที่ซูเจ๋อจะไม่เคยคิดเรื่องนี้
แต่เขาไม่สนใจเลยว่าจะมีเกียรติหรือไม่
แม่ทัพโฮ้วกล่าวว่า “ข้ามีเรื่องที่จะร้องขอแค่เพียงอย่างเดียว ในภายภาคหน้า ไม่ว่าท่านจะทำอะไร อย่าทำสิ่งใดที่เป็นการคุกคามการปกครองของราชสำนักต้าฉู่และปากท้องของประชาชน และอย่าทำให้องค์หญิงต้องแบกรับความอัปยศของการละเมิดศีลธรรมเป็นอันขาด”
ซูเจ๋อยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ในเมื่อทำผิดต่อพระองค์ไม่ได้ ก็ย่อมทำผิดต่อโลกหล้ามิได้” เขาหันไปมองแม่ทัพโฮ้ว นัยน์ตาเรียวยาวฉายแววเศร้าโศกอย่างเลือนราง “ข้าอยู่ในสภาวะที่กลับไม่ได้ไปไม่ถึง ท่านแม่ทัพพอจะมีแผนการดีๆ ที่จะทำให้ทุกอย่างลงตัวหรือ?”
แม่ทัพโฮ้วตบบ่าซูเจ๋อก่อนจะหันหลังเตรียมเดินจากไป เขากล่าวว่า “ในตอนนั้นจักรพรรดิองค์ก่อนช่วยท่านไว้ ทั้งยังอนุญาตให้ท่านเติบโตมาพร้อมกับองค์หญิง ข้าเชื่อว่า พระองค์มองคนไม่ผิด”
ซูเจ๋อเอ่ยเรียบๆ ว่า “ความจริงแล้ว ข้าก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถทำได้ทุกอย่าง”
เฉินเสียนนอนอยู่บนเตียงแล้วเมื่อซูเจ๋อกลับมายังกระโจม เธอใช้มือทั้งสองข้างหนุนศีรษะ งอเข่าข้างหนึ่ง ยกขาข้างหนึ่งพาดไว้และกระดิกไปมา
เมื่อเห็นซูเจ๋อเข้ามาเฉินเสียนก็รีบลุกขึ้นทันที เธอนั่งหน้าดำคร่ำเครียดและถามซูเจ๋ออย่างประหม่าว่า “แม่ทัพโฮ้วพูดอะไรกับท่าน”
ซูเจ๋อปลดเสื้อคลุมไปแขวนไว้บนชั้นไม้อย่างไม่รีบร้อนและยืนขวางที่ข้างเตียงของเฉินเสียน ทันทีที่แสงตรงหน้าของเธอมืดสลัวลง ซูเจ๋อก็ดับเทียนที่อยู่ในมือและซุกตัวลงนอนข้างๆ เธอ ตอบไปอย่างเกียจคร้านว่า “แม่ทัพโฮ้วบอกข้าว่าอย่ารังแกท่าน”
แต่ในขณะที่พูดอยู่นั้นเขากลับคว้าเฉินเสียนมากอดไว้ ลูบไล้และกอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขน
หัวใจสูบฉีดจนเฉินเสียนหน้าแดงขึ้นมาอย่างฉับพลัน เธอซุกหน้าลงบนแผงอกของซูเจ๋อและพูดเรื่อยเจื้อยว่า “ทำแบบนี้ไม่กลัวจะถูกพบเข้าหรือ”
ซูเจ๋อเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ขอข้ากอดท่านให้นานกว่านี้หน่อย”
เขาพลิกตัวขึ้นมาคร่อมกายของเฉินเสียนเอาไว้และประคองศีรษะของเธอขึ้นมา ประทับจูบลงไปอย่างดูดดื่มและลึกซึ้ง
เฉินเสียนรู้ดีว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะควร แต่เธอก็ยังอดตอบรับเขาไม่ได้ นิ้วที่เรียวและเย็นเยียบซึ่งประคองอยู่ที่คอทำให้เฉินเสียนสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย
เฉินเสียนส่งเสียงครางออกมาอย่างแผ่วเบา ซูเจ๋อควบคุมไว้ได้ทันและกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง เอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “อาเสียน หลับเสียเถิด”
กองกำลังทหารจากทางใต้บุกยึดเมืองฮุยได้อย่างง่ายดาย บุกหน้าขึ้นเหนือเหมือนผ่าลำไผ่ให้แหลกลาญไปตลอดทาง เพื่อทำลายราชสำนักฝ่ายนั้นให้พ่ายแพ้อย่างหมดท่า
องค์จักรพรรดิซึ่งลงมาบัญชาด้วยพระองค์เองคิดไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้วจะสกัดทหารกบฏซึ่งกำลังเดินทางขึ้นเหนือไว้ไม่ได้ ในทางกลับกัน กำลังอำนาจของพวกทหารกบฏก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และเสียงเรียกร้องของผู้คนก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อกองทัพจากทางใต้ผ่านเมืองต่างๆ ขึ้นมา ชาวเมืองเหล่านั้นไม่ได้ต่อต้าน แต่กลับรวมกำลังด้วยความสมัครใจเปิดประตูเมืองต้อนรับพวกเขา
ข่าวคราวที่ว่าองค์หญิงจิ้งเสียนนำทัพออกศึกเองถูกแพร่จากแนวปะทะมาจนถึงเมืองหลวง จนทำให้ภายในราชสำนักเกิดความโกลาหลไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
จักรพรรดิประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรและตั้งพระสติไม่ได้อยู่นาน
ต่อมาพระองค์ก็ทรงเกรี้ยวกราดราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ ตะคอกเสียงดังต่อหน้าเหล่าขุนนางและทหารที่อยู่เต็มราชสำนัก “ไม่ใช่ว่านางตายไปแล้วรึ! เหตุใดจึงยังไปปรากฏตัวในสนามรบได้อีก! ผู้ใด ผู้ใดบอกข้าว่านางตายแล้ว!”
“กะ เกล้ากระหม่อมได้ยินมาว่า… นางปะปนอยู่ในกองทหารใหม่และตรงไปสมทบกับกองกำลังจากทางใต้ กองกำลังทหารหลายหมื่นนายที่ถูกส่งไปจากเมืองหลวงถูกนางเผาทำลายจนราบคาบ…”
องค์จักรพรรดิคิดมาตลอดว่านางตายไปแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ตาย พระองค์ก็เลิกระแวดระวังหญิงบ้าผู้นั้นไปนานแล้ว แต่ไม่คาดคิดเลยว่านอกจากจะแกล้งทำเป็นบ้า นางยังปกปิดความทะเยอทะยานอันชั่วร้ายเฉกเช่นหมาป่าไว้อย่างมิดชิด!
กล้าดีอย่างไรจึงเผาค่ายทหารและทำลายกองทัพใหญ่ของพระองค์ นางคือสตรีที่สติวิปลาสเพราะทนความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกไม่ได้ผู้นั้นรึ!
น่าแค้นใจนัก! นึกไม่ถึงว่าจะถูกนางหลอก!
ผู้บัญชาการกองกำลังทหารรักษาพระองค์และหัวหน้านักดาบหลวงรับสารภาพผิดต่อหน้าพระพักตร์ จักรพรรดิหันไปทอดพระเนตรพวกเขา ตอนนี้พระองค์ทรงไร้เหตุผลและคิดเพียงว่าถ้าพวกเขาไม่สะเพร่า เฉินเสียนจะหนีรอดออกไปจากเมืองหลวงได้อย่างไร ดังนั้นจึงมีพระกระแสรับสั่งว่า “ลากพวกมันสองคนออกไปแล้วตัดหัวซะ!”
มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยืนขึ้นและอ้อนวอน “องค์จักรพรรดิทรงระงับโทสะเถิดพ่ะย่ะค่ะ! เวลานี้ทหารกบฏกำลังรวบรวมกำลังพล พระองค์โปรดทรงให้พวกเขาได้แก่ตัวเพื่อชดใช้ความผิดด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิหันไปทอดพระเนตรด้วยพระเนตรที่แดงก่ำ ทรงตรัสอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ลากเจ้าขุนนางทรยศที่มาอ้อนวอนนี่ไปตัดหัวพร้อมกันเสีย!”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้นั้นเดิมเป็นขุนนางท้องถิ่นขององค์จักรพรรดิ เป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารรักษาพระองค์และเป็นหัวหน้านักดาบหลวงที่เคยติดตามองค์จักรพรรดิไปทุกที่ แต่ตอนนี้องค์จักรพรรดิทรงพิโรธหนัก ความจริงที่ว่าเฉินเสียนยังมีชีวิตอยู่ทำให้พระองค์สะเทือนพระทัยเป็นอันมาก พระองค์ไม่สนว่าใครเป็นใคร ผู้ใดก็ตามที่ทำให้พระองค์ขุ่นเคือง คนผู้นั้นย่อมสมควรตาย
เหล่าขุนนางต่างหวั่นเกรง ไม่มีใครกล้าออกมาอ้อนวอนอีก
ขุนนางบางคนในราชสำนักซึ่งเป็นอดีตขุนนางแห่งราชวงศ์ก่อนต่างนิ่งเงียบและไม่แสดงท่าทีใดๆ นอกจากนี้ขุนนางบางคนที่โกรธแค้นเกี่ยวกับอุบัติเหตุไฟไหม้เรือในแม่น้ำหยางชุนก็ไม่แสดงท่าทีใดๆ เช่นกัน
ในท้องพระโรงแห่งนี้ยังมีขุนนางอีกสักกี่คนที่ยังหวังว่าจักรพรรดิจะรักษาเมืองหลวงไว้ได้?
เมื่อเมฆหมอกจางหายไป อำนาจแห่งจักรพรรดิเปลี่ยนมือ ในไม่ช้าพวกเขาจะมีกษัตริย์พระองค์ใหม่