บทที่ 660 สุภาพเรียบร้อย
“ผมรู้ครับน้าสี่” สวี่เชิ่งเฉียงบอก
โจวชิงไป๋ไม่ใช่คนจู้จี้ จึงไม่ได้ว่าอะไรเขาเยอะ พอเห็นว่าช่วงคนเยอะผ่านไปแล้ว จนตอนนี้คนซาลง เขาจึงปล่อยให้สวี่เชิ่งเฉียงดูร้านต่อเอง
เขากลับมาที่บ้าน และเห็นว่าภรรยาเขากำลังคุยโทรศัพท์
หลินชิงเหอไม่ได้เป็นคนโทรไป สะใภ้สามโจวเป็นคนโทรมาถามถึงพวกโจวอู่นี แล้วยังบอกอีกด้วยว่าช่วยดูคนที่เหมาะสมให้หน่อย หล่อนเตรียมสินเดิมไว้ให้ลูกสาวคนโตไม่น้อยเลยล่ะ
หลินชิงเหอยิ้มไปบอกไป “ทำเป็นเล่นไปค่ะ มีอยู่หนึ่งคนจริง ๆ แต่เป็นคนเซี่ยงไฮ้ พี่จะลองฟังดูไหมคะ”
“ว่ามาเลย ว่ามาเลย” สะใภ้สามโจวรีบบอก
ลูกสาวคนโตอายุไม่น้อยแล้ว ตอนหล่อนอายุเท่านี้ ลูกสาวคนโตก็ออกไปซื้อของเองได้แล้ว แต่ตอนนี้ลูกกลับยังไม่อยากแต่งงาน ซึ่งมันทำให้หล่อนร้อนใจยิ่งนัก
“พี่รู้ใช่ไหมคะเรื่องที่ฉันมีน้องสะใภ้ที่นับถือกันเป็นญาติคนหนึ่งที่เซี่ยงไฮ้ ผู้ชายคนนี้เป็นลูกพี่ใหญ่ของคนที่ฉันนับถือเป็นญาติ หรือก็คือลูกพี่ลูกน้องของลูกชายบุญธรรมฉัน จะว่าไปเขาก็อายุน้อยกว่าอู่นีนิดหน่อยด้วย แต่ห่างกันไม่มากหรอกค่ะ ยังถือว่าไม่เป็นไร” หลินชิงเหอกล่าว
“แล้วเจ้าตัวล่ะ?” สะใภ้สามโจวถาม
“สูงประมาณ 180 เซนติเมตร หน้าตาดีใช้ได้ นิสัยก็ดี เป็นคนขยัน ตอนนี้ทำงานอยู่ระดับบริหารในร้านขายชาของฉัน อีกหน่อยคงได้เลื่อนตำแหน่งแน่ ๆ ค่ะ” หลินชิงเหอบอก “แล้วเขาก็เคยเจอกับอู่นีแล้ว”
“แล้วที่บ้านเขาเป็นยังไง?” สะใภ้สามโจวดีใจมาก แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงลูกสาวตัวเอง ดังนั้นหล่อนต้องถามให้ชัดเจน
หลินชิงเหอบอก “ฉันยังไม่ค่อยรู้เรื่องที่บ้านเขาหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันจะโทรไปถามกับเหม่ยลี่”
“งั้นก็ได้ ถ้าเธอว่าดีก็ตามนั้นเลย ฉันไว้ใจเธอ” สะใภ้สามโจวมอบหน้าที่ให้
หลินชิงเหอไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พอวางสายจากสะใภ้สามโจวเธอก็โทรไปหาเซวียเหม่ยลี่ ที่บ้านเซวียเหม่ยลี่ก็ติดตั้งโทรศัพท์ไว้เหมือนกัน สองคนนี้จึงคุยกันบ่อย ๆ
เซวียเหม่ยลี่คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเธอจะโทรมาถามเรื่องนี้ หล่อนลังเลนิดหน่อย “ถ้าเอาแค่หลานชายอย่างเจียงเหิง เขาถือว่าเป็นคนใช้ได้เลยล่ะค่ะ แต่บ้านพี่ใหญ่สามีฉันจนมาก”
“จนยังไงคะ?” หลินชิงเหอถาม
ถึงจะเป็นในยุคนี้ ก็ยังมีครัวเรือนจำนวนไม่น้อยที่ชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างแย่ ไม่ค่อยมีเงินนัก
“ครอบครัวใหญ่ทั้งครอบครัวเบียดอยู่ในบ้านเดียวกัน เรื่องก็เยอะไปหมด หลานสะใภ้คนนั้นก็ไม่ใช่คนที่น่าอยู่ด้วย” เซวียเหม่ยลี่กล่าว
ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับบ้านพี่ใหญ่ของสามีจะไม่เลว และถือเป็นญาติสนิทกัน แต่จะให้หลอกหลินชิงเหอก็คงไม่ได้ หล่อนจึงต้องพูดไปตามความจริง
“ถ้าให้เจียงเหิงหาเงินแล้วออกมาซื้อบ้านเองล่ะคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น
“ตอนนี้บ้านไม่ได้หาซื้อได้ง่าย ๆ หรอกนะคะ แต่ถ้าซื้อได้สักหลังก็จะดี สองสามีภรรยาจะได้ออกมาใช้ชีวิตของตัวเอง สบายใจด้วย” เซวียเหม่ยลี่ได้ฟังแล้วยิ้ม “ฉันจะบอกอะไรให้นะคะ เจียงเหิงเป็นเด็กที่ไม่เลวเลย และเป็นคนขยันด้วย ถึงจะกตัญญู แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไม่รับรู้อะไร ไม่ใช่เด็กที่พ่อแม่ว่ายังไงก็ว่าตาม ถ้าแก้ปัญหาเรื่องบ้านได้ก็แต่งด้วยได้ค่ะ”
หลินชิงเหอคุยกับหล่อนสักพักถึงวางสาย และจะโทรกลับไปหาสะใภ้สามโจว โจวชิงไป๋ที่นั่งดูทีวีอยู่ข้าง ๆ จึงเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนใจ “คุณนี่มีน้ำใจจริง ๆ นะครับ”
เมื่อคืนเพิ่งพูดไปหยก ๆ ว่าอย่าเพิ่งไปยุ่งอะไรมาก มาวันนี้กลับเริ่มเองเสียแล้ว
หลินชิงเหอยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ก็พี่สะใภ้สามร้อนใจเองนี่คะ”
ด้วยอายุของโจวอู่นีในตอนนี้ ถ้าให้พูดด้วยค่านิยมของสังคมยุคนี้ก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว เป็นผู้หญิงจะมัวแต่ชักช้าไม่ได้
เธอคุยโทรศัพท์กับสะใภ้สามโจวต่อ ช่วงนี้สะใภ้สามโจวก็ยุ่งมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนัก มีพี่สามโจวและลูก ๆ ที่ปิดเทอมฤดูร้อนอยู่ด้วย
พอได้ยินว่าเป็นปัญหาเรื่องบ้าน สะใภ้สามโจวจึงเอ่ยขึ้น “จะไปสำคัญอะไร แต่งงานไปก่อน ให้พวกเขาออกไปเช่าบ้านอยู่ก็ได้ รอให้มีเงินในมือและมีบ้านที่เหมาะสม ถึงตอนนั้นค่อยซื้อยังไม่สาย ฉันเห็นในทีวีบอกว่าอนาคตจะมีคอนโดขายตามเมืองใหญ่ด้วยไม่ใช่เหรอจ๊ะ?”
“พี่รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอคะ” หลินชิงเหอพูดกลั้วหัวเราะ
“ก็ใช่น่ะสิ มีทีวีแล้วมีอะไรที่ไม่รู้บ้าง” สะใภ้สามโจวก็หัวเราะ
“พูดแบบนี้ก็ถูก เช่าบ้านไปก่อน อีกหน่อยมีที่เหมาะสมแล้วค่อยซื้อ แต่ตอนนี้ดูเหมือนอู่นีกับเจียงเหิงจะยังไม่รู้สึกอะไรต่อกันนะคะ” หลินชิงเหอบอก
“เธอไปถามพ่อหนุ่มนั่นให้หน่อย โตขนาดนี้แล้วต้องอยากมีภรรยาบ้างแหละ อู่นีไปสอนหนังสือที่ไหนก็ได้แล้ว หล่อนก็มีรายได้ของตัวเองด้วย” สะใภ้สามโจวกล่าว
หลินชิงเหอกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็รับคำไว้ พอวางสายเธอจึงพูดกับโจวชิงไป๋ “ไปกันเถอะค่ะ ไปดูร้านขายชากันหน่อย”
โจวชิงไป๋จึงขับรถพาเธอมา
ด้านร้านขายชาตอนนี้ โจวเอ้อร์นีกำลังทำบัญชี เจียงเหิงและพนักงานคนอื่น ๆ กำลังสั่งของ นี่เป็นร้านขายชาที่ใหญ่ที่สุดในปักกิ่งของเธอ และเป็นร้านขายชาร้านแรก
“เสี่ยวเกิงล่ะ?” หลินชิงเหอเข้ามาถามเจียงเหิง
“เขาไปร้านไวน์กับพี่สามเขาครับ” เจียงเหิงทักแล้วบอกกับน้าหลินของเขา
หลินชิงเหอพยักหน้า เธอและโจวชิงไป๋จึงนั่งลงและใช้ให้เขาไปต้มน้ำชงชา จากนั้นก็มองเขาแล้วเอ่ย “ปีนี้เธออายุเท่าไหร่แล้วล่ะจ๊ะ?”
“ 23 แล้วครับ” เจียงเหิงยิ้มเขิน ๆ
หลินชิงเหอยิ้ม “งั้นน่าจะแต่งภรรยาได้แล้วสินะจ๊ะ”
“ยังไม่เจอคนที่เหมาะสมกันเลยครับ” เจียงเหิงใจสั่นเล็กน้อย พูดอย่างขัดเขิน
อายุ 23 ปีถือว่าไม่น้อยแล้วเหมือนกัน ถ้าเจอคนที่เหมาะสมกัน เขาต้องอยากแต่งอยู่แล้ว
“มีเงื่อนไขอะไรในการหาแฟนไหม? เธอเรียกฉันว่าน้าหลินแล้ว ฉันจะให้เธอเรียกเฉย ๆ ไม่ได้นะจ๊ะ ถ้ามีที่เหมาะสมฉันจะแนะนำให้ คนที่น้าหลินแนะนำให้ เธอวางใจได้เลยล่ะ” หลินชิงเหอบอกยิ้ม ๆ
“บ้านผมจน จะไปมีเงื่อนไขอะไรได้ครับ ขอแค่ฝ่ายหญิงไม่ดูถูกผมก็พอแล้วครับ” เจียงเหิงพูดอย่างลังเล
บ้านเขาจน พี่สะใภ้ก็ไม่ใช่คนดีอะไร นิสัยขี้งกสุด ๆ แน่นอนว่าเขาไม่เคยด่าที่บ้านให้ใครฟัง
เขาเป็นลูกคนที่สองของที่บ้าน มีน้องชายน้องสาวด้วย เนื่องด้วยมีเขาคอยช่วยรับผิดชอบ พ่อแม่เขาจึงไม่ได้กดดันมากนัก
“ฉันได้ยินว่าเธอมีน้องชายน้องสาวด้วยใช่ไหมจ๊ะ?” หลินชิงเหอถาม
“ครับ ยังเรียนหนังสือกันอยู่” เจียงเหิงพยักหน้า
“มีเธอคอยช่วยส่งเสียเลี้ยงดูอยู่เหรอ? ให้เดือนละเท่าไหร่ล่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น
“ให้ครึ่งหนึ่งของเงินเดือนครับ” เจียงเหิงบอก เขาเองก็เป็นคนมีไหวพริบ ไม่ต้องให้หลินชิงเหอพูดอะไรอีกก็เอ่ยขึ้นเอง “ตอนนี้ผมยังไม่แต่งงานก็เลยให้เยอะครับ อีกหน่อยคงให้เยอะขนาดนี้ไม่ได้แล้ว”
หลินชิงเหอยิ้ม และพูดขึ้น “ถ้ามีครอบครัวเล็ก ๆ ของตัวเองแล้ว ก็ต้องคิดเผื่อครอบครัวตัวเองด้วย ถึงยังไงลูกใครคนนั้นเลี้ยงก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว”
แน่นอนว่าการที่เป็นคนกตัญญูและมีความสามารถ แล้วอยากจะช่วยส่งเสียเลี้ยงดูทางบ้านที่ยากจนก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่ต้องดูขีดจำกัดของตัวเอด้วย
เธอไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเจียงเหิงมากนัก ก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องทางธุรกิจกับเขา
เจียงเหิงก็ตั้งใจเรียนและตั้งใจฟัง แต่ที่เขาเก็บมาใส่ใจจริง ๆ คือน้าหลินจะแนะนำแฟนให้เขาไหม? จะใช่โจวหงหมิ่นรึเปล่า?
เจียงเหิงนึกถึงท่าทางสุภาพเรียบร้อยของโจวหงหมิ่นแล้วจะให้พูดว่าไม่รู้สึกอะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้
………………………………………………………………………………………………………………………