ตอนที่ 61 ผู้ต้องสงสัย
“ฉันคิดมาสักพักแล้ว” เธอกล่าวอย่างสับสนในตัวเอง “พี่เห็นฉันเป็นภาระมาตลอด หลังจากความทรงจำของฉันกลับมา พี่ก็จะทิ้งฉันไป พี่อาจจะไม่รอจนฉันจำทุกอย่างได้ด้วยซ้ำ”
โม่หันว่าเสียงแข็ง บุหรี่ในมือดับลงอย่างไม่รู้ตัว “มันเป็นความผิดของพี่เองที่ไม่ได้บอกเรื่องของเธอให้พ่อแม่และเฉินโหรวรู้ แต่เรื่องนี้มันค่อนข้างซับซ้อน ไว้มีเวลาพี่จะอธิบายให้เธอฟัง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่ไม่จำเป็นต้องมาอธิบายอะไรกับฉันหรอก”
ซย่าชิงอีรู้สึกไร้หนทางอย่างหมดหวังโดยสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้รู้สึกมากมายเท่านี้ เมื่อได้ยินคนพูดกันว่าโม่หันเป็นคนใจดำและเถรตรงเกินไป แต่หลังจากที่รู้ว่าเขาไม่เคยบอกเรื่องเธอกับใครเลยทำให้คิดได้ว่าเขาคงเตรียมตัวส่งและทิ้งเรื่องเกี่ยวกับเธอไปได้ทุกเวลา
“แฟนของพี่กลับมาแล้ว ฉันจะไม่เข้าไปในห้องนอนของพี่อีก และจะไม่นอนข้างในแล้วด้วย ฉันรบกวนพี่มามากพอแล้ว”
คนฟังไม่พอใจที่เธอทำน้ำเสียงเหินห่างอย่างนั้น “เธอไม่ได้บอกเองหรือว่านอนในห้องนอนแขกไม่ค่อยหลับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันคงชินแหละ” เธอเอ่ยสำทับ “มีอะไรอีกไหมคะ ฉันจะกลับไปนอนแล้ว”
แม้จะพูดอย่างนั้นแต่เธอก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตอบกลับมา หันเดินออกไปทันทีหลังจบประโยคพร้อมกับแก้วน้ำในมือ
เขารู้ว่าคงป่วยการที่จะพูดสิ่งใดกับเธอที่กำลังโกรธอยู่จึงนิ่งเงียบไป ไว้เขาจะหาเวลาอธิบายเรื่องนี้กับเธอทีหลัง
โม่หันไม่อาจสงบใจลงได้หลังจากที่เธอเดินจากไป เขาทิ้งบุหรี่ที่ดับแล้วในมือก่อนหยิบมวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบ
คนที่เพิ่งเดินจากมากลับมาที่ห้องนอนแขก เธอเอื้อมมือไปปิดไฟขณะนั่งลงบนพื้นและคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ นี่ส่งให้นอนหลับไม่ลงอีกต่อไป แต่ไม่นานเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ” เอ่ยด้วยเสียงหงุดหงิดเล็กๆ
[ผมเจ้าหน้าที่จางหยางเองครับ] น้ำเสียงดีใจดังขึ้นมาจากปลายสาย
“ฉันทราบค่ะ”
[คุณอ่านข้อความที่ผมส่งไปเมื่อวันก่อนหรือยังครับ]
“ข้อความอะไรคะ”
[ผู้ต้องสงสัยให้การสารภาพออกมาหลังจากที่ถูกสอบสวนแค่ไม่กี่นาทีครับ ผมทำตามวิธีของคุณในการล่อให้เขาพูดออกมา ไม่คิดว่าเขาจะสติแตกและหลุดพูดออกมาจริงๆ เราตามเบาะแสไปก่อนจะเจอหลักฐานที่สามารถเอาผิดเขาได้]
“อ้อ ข้อความนั้นฉันเห็นแล้วค่ะ”
[ผมอยากโทรหาคุณก่อนหน้านี้ แต่หลังจากจับเขาได้ก็ยุ่งจนลืมโทรบอกคุณไป]
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทำงานของคุณไปเถอะ” เธอยังคงกล่าวอย่างเรียบเฉย
จางหยางอยากขอบคุณเธอ หากไม่ได้การสันนิษฐานของเธอ คงไขคดีไม่ได้ง่ายๆ เช่นนี้ [ให้ผมเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อนะครับ ผมอยากขอบคุณที่ช่วยสืบคดีน่ะครับ]
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ” เธอปฏิเสธเขาอย่างไม่ลังเล
[คุณ…] เขาตั้งใจจะโน้มน้าวแต่เธอเอ่ยขัดขึ้นก่อน “วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว ไว้คุยเรื่องนี้กันวันหลังแล้วกันนะคะ”
[ทำไมคุณถึง…] ไม่ทันที่คนพูดจะกล่าวจบ สายก็ถูกตัดไปเสียก่อน
เขานิ่งอึ้งไปก่อนส่ายหัวแล้วปิดโทรศัพท์ของตัวเอง
ตอนที่ 62 ฉันรักคุณ
เฉินโหรวยังคงตื่นอยู่เมื่อโม่หันกลับเข้าไปในห้อง ท่าทางอารมณ์ดีขณะนอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงของเขา
“ทำไมเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้ล่ะคะ” เธอทำหน้ามุ่ย วางโทรศัพท์ลงพลางมองมาที่เขา
โม่หันนั่งลงบนเตียงด้านหนึ่ง ถอดนาฬิกาวางไว้บนชั้น “พอดีนึกได้ว่ามีงานค้างอยู่น่ะ”
เธอกอดเขาจากด้านหลัง กระชับอ้อมแขนรอบลำคอของเขาพลางกดจูบลงบนแก้ม “ทำไมคุณยังทำตัวเหมือนเดิมอยู่ล่ะคะ เอาแต่คิดถึงแต่เรื่องงาน”
อีกฝ่ายแสดงออกชัดถึงความเหนื่อยล้าขณะที่ขยับตัวออกห่างอย่างไม่ใส่ใจ “ทำไมคุณยังไม่นอนล่ะ”
“ฉันรอคุณอยู่ค่ะ” เฉินโหรวฉีกยิ้มก่อนเคลื่อนตัวเข้าไปหวังจูบบนริมฝีปากแต่กลับถูกเขาผลักออกทันที “วันนี้ผมเหนื่อย อยากนอนแล้ว”
เธอมีท่าทีไม่สบอารมณ์นักขณะปล่อยมือจากเขา พิงตัวกับหัวเตียง “นี่คือสิ่งที่คุณทำกับฉันหลังจากฉันข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากอเมริกาเหรอ! ”
“คุณไม่ควรทำแบบนั้นเมื่อก่อนหน้านี้” เขาตอบกลับ
เธอขยับพิงกำแพง กอดอกพลางมุ่นคิ้วน้อยๆ “ฉันก็ขอโทษเธอไปแล้วไงคะ คุณอยากให้ฉันทำอะไรอีกล่ะ” มองแผ่นหลังของเขาด้วยความงุนงง “ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่าทำไมถึงไม่เคยได้ยินคุณพูดถึงน้องสาวบุญธรรมมาก่อนเลยนะ”
“ผมเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เหมือนกัน” อีกคนตอบกลับอย่างเฉยชา “เธอบินมาตามหาผมจากอเมริกาคนเดียว”
“แล้วคุณก็ให้เธออยู่ที่บ้านเนี่ยนะ ทำไมฉันไม่รู้มาก่อนว่าคุณใจดีขนาดนี้ เธอเป็นแค่คนแปลกหน้าด้วยซ้ำ อย่าบอกฉันนะว่าคุณก็ดูแลเธอเหมือนน้องสาวจริงๆ น่ะ”
“ก็เธอเป็นน้องสาวของผมนี่” น้ำเสียงของเขาฉายแววต่อว่าคำถามที่ใจแคบนั้น
“เป็นน้องสาวแล้วยังไงคะ คุณทะเลาะกับฉันเพราะเธอทั้งๆ ที่ฉันเพิ่งกลับมาถึงนะคะ” เธอรู้สึกขัดใจเล็กน้อย ไม่ยอมอ่อนข้อให้
โม่หันนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นและเอ่ย “ผมจะไปอาบน้ำแล้ว ถ้าคุณง่วงก็นอนก่อนได้เลย”
ถึงอย่างนั้นเฉินโหรวก็ยังไม่หลับเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอนั่งอยู่ท่าเดิมและจ้องมองที่เขาอย่างเงียบๆ
คนที่ถูกจ้องทำเพียงเอื้อมมือไปปิดไฟก่อนเอนหลังนอนด้านหนึ่งของเตียง ดึงผ้าห่มคลุมตัว ในจังหวะนั้นเอง อีกฝ่ายขยับตัวเข้ามากอดเขาไว้แน่น ถ้าเขาขยับตัวเพียงนิดเดียว เธอก็จะกอดเขาแน่นขึ้นให้เขาอยู่นิ่งๆ จึงตัดสินนอนนิ่งๆ แทน
“โม่หัน อย่าทะเลาะกันอีกเลยนะ นะคะ” เธอกระซิบเสียงแผ่วเบาในความมืด
“ฉันรักคุณนะ อย่าห่างกันไปไกลอีกเลยนะคะ อย่าแยกจากกันอีกเลยค่ะ” เสียงพึมพำของเธอดังขึ้นขณะที่ซุกกายลงบนอกของเขา
มนุษย์มักจะหลอกตัวเองเพื่อหลีกหนีจากสิ่งที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น มักสร้างภาพลวงตาเพื่อบอกกับตัวเองว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ
ไม่ใช่พวกเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากแต่เพียงไม่ต้องการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงต่างหาก
เฉินโหรวพยายามหลีกหนีความจริงที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโม่หันเริ่มแตกร้าวกันมานานแล้ว
เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริงข้อนั้น เพราะหากทำเช่นนั้นหมายความว่าเธอต้องจากเขาไปตลอดกาล อย่างรู้ดีว่าเขาจะไม่ย้อนกลับมาหากเขาตัดสินใจลงไปแล้ว
เมื่อโม่หันออกมาจากห้องของเขาหลังจากตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา ก็เห็นซย่าชิงอีที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยกำลังนั่งกินอาหารเช้าอยู่บนโต๊ะกินข้าว
“ทำไมวันนี้ตื่นเช้านักล่ะ” เขาก้าวทั้งผมที่ยุ่งเหยิงไปหาอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดอยู่บ้านของเขา
“อืม ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วนอนต่อไม่หลับน่ะค่ะ” เธอไม่ได้หันมามองเขาสักครั้ง เอาแต่ก้มหน้ากินแซนด์วิชที่ลุกขึ้นมาทำเองต่อ