“ถ้าอย่างนั้นฉันจะกลับมานอนที่นี่แล้วกันนะคะ” ซย่าชิงอีตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แล้ววันนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอคะ” เธอเอ่ยถามซ้ำ
โม่หันที่กำลังขับรถอยู่ตอบเธอเสียงเรียบ “หลังจากเสร็จจากโรงพยาบาลแล้ว ผมจะเข้าสำนักงานครับ”
พวกเขามาถึงโรงพยาบาลหลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มจอดรถก่อนก้าวเดินไปข้างหน้าขณะที่เด็กสาวเดินตามหลังเขามาติดๆ ผู้คนมากมายที่พลุกพล่านในโรงพยาบาลยังคงทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวในใจ
เธอเกลียดกลิ่นยาที่ลอยไปทั่วในอากาศ เกลียดสีหน้าเจ็บปวดและด้านชากับความเจ็บปวดนั้น ถ้าจะพูดให้ถูก คงต้องใช้คำว่ากลัวน่าจะเหมาะกว่า
ซย่าชิงอีรู้สึกกลัว เธอกลัวที่จะเห็นใบหน้าซีดเซียวอิดโรย หลังจากพวกเขาล้มป่วย ท่าทางการเดินก็แสดงให้เห็นความเจ็บปวดชัดเจนยิ่งขึ้น ชีวิตที่เหลืออยู่เริ่มไร้ความหมาย ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร
แม้ไม่อยากจะตกอยู่ในสภาพนั้นแต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกเขาเหล่านั้น เป็นคนที่นอนหมดสติเป็นอาทิตย์ก่อนจะฟื้นขึ้นมา เป็นคนที่หลงลืมอดีตของตัวเอง
“ถอดเสื้อให้ผมดูแผลหน่อยนะครับ” คุณหมอที่สวมหน้ากากอนามัยอยู่มองที่ซย่าชิงอีอย่างเรียบเฉย
เธอหันมองโม่หันด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย เขายืนตรงอย่างกับดินสออยู่ที่มุมหนึ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมามากนัก ทำเพียงหันหน้าหนีเหมือนว่าไม่ได้มองเธออยู่ เธอหันหลังก่อนยกปลายเสื้อขึ้น รู้สึกเขินที่ต้องให้หมอดูแผลที่หน้าอกจึงเปิดให้ดูแค่แผลที่หน้าท้อง
หมอหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองเธอแวบหนึ่งก่อนเห็นว่ามีเลือดซึมผ่านผ้าพันแผลออกมา เขามุ่นคิ้วถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นครับ ผมเพิ่งทำแผลแล้วก็เย็บแผลให้ไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเหรอครับ”
เธอยิ้มเจื่อน “คือฉัน… เผลอ… ทำแผลฉีกไปเมื่อวานตอนขึ้นบันไดน่ะค่ะ”
“ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าอย่าออกแรง ให้นอนเฉยๆ อยู่บนเตียง ถ้าเป็นแบบนี้ ผมอาจต้องให้คุณนอนที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการนะครับ”
เธอรีบอธิบายขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า โรงพยาบาล “ได้โปรดอย่าเลยนะคะ… ฉันแค่ไม่ระวังเฉยๆ ไม่มีอะไรจริงๆ นะคะ”
หมอหันมองไปที่ชายร่างสูงซึ่งยืนนิ่งเงียบไม่พูดออกมาสักคำ เอ่ยถามขึ้น “คุณเป็นญาติคนไข้ใช่ไหมครับ”
เขาพยักหน้าตอบรับ
“เป็นอะไรกันครับ คุณเป็นอาของเธอเหรอ” อีกฝ่ายมองมาที่เขาทั้งคู่อย่างสงสัย ไม่ว่าจะมองอย่างไร หน้าตาของพวกเขาก็ไม่คล้ายคลึงกันสักนิด
เขาเหลือบมองหมอด้วยท่าทางเย็นชาให้อีกฝ่ายรู้สึกกลัวขึ้นมา ลังเลไปชั่วขณะก่อนตอบ “เราเป็น… พี่น้องกันครับ”
ดูเหมือนคนได้รับคำตอบมีบางอย่างอยากพูด หากแต่ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์ของโม่หัน เขาก้มลงมองหน้าจอโดยไม่รอให้หมอหนุ่มพูดก่อนเดินออกไปรับโทรศัพท์นอกห้อง
“มีอะไรครับ” โม่หันเอ่ยถามคนในสายเสียงเบาขณะยืนคุยโทรศัพท์ที่โถงทางเดิน
“ทนายโม่ครับ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” น้ำเสียงกระวนกระวายของหลิวจื้อหย่วนดังขึ้นปลายสาย
“ผมอยู่ที่โรงพยาบาล”
“ภรรยาเก่าของประธานจางมาที่สำนักงานของเราครับ พวกเขาเปลี่ยนตัวแทนทนายความมาบอกว่าเจอหลักฐานใหม่ที่ทำให้เราแพ้คดีได้ครับ”
“หลักฐานอะไร”
“เป็นไฟล์บันทึกภาพพร้อมเสียง…ของประธานจางที่ยอมรับว่าติดสินบนเจ้าพนักงานครับ”
ทันใดนั้นสีหน้าของโม่หันก็เปลี่ยนไป เพราะคดีฟ้องแบ่งสินสมรสครั้งนี้ ทีมงานทั้งหมดของเขาต้องง่วนทำคดีนี้มาเป็นเดือนจนได้ข้อมูลทั้งหมดมาอยู่ในมือ มันไม่ควรที่จะมีปัญหาใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในตอนที่พรุ่งนี้พวกเขาต้องขึ้นสู้คดีในศาลแล้ว แม้ธุรกิจและทรัพย์สินของประธานจางจะยังไม่สามารถเข้าไปจัดการอะไรได้ ทว่าอยู่ดีๆ อดีตภรรยาของประธานจางก็นำวิดีโอมาให้พวกเขา ถ้ามันเป็นของจริงขึ้นมา การสู้คดีในศาลพรุ่งนี้คงไม่ง่ายแน่
“ทำยังไงดีครับ” หลิวจื้อหย่วนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ
“พวกเขาได้เรียกร้องข้อเสนอพิเศษอะไรบ้างไหม” โม่หันใจเย็นอย่างพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบ อดีตภรรยาของประธานจางเป็นคนโลภ ตั้งแต่ที่เธอมาที่สำนักงานวันก่อนหน้านี้พร้อมกับหลักฐานสำคัญแทนที่จะมาเจอกันที่ศาลพรุ่งนี้ เธอต้องมีเจตนาซ่อนเร้นแน่ๆ