“คุณตัดสินใจได้หรือยัง” โม่หันนั่งบนโซฟาพลางผายมือทั้งสองข้างออก เธอมองท่าทางจริงจังของเขา รู้สึกราวกับเขาเป็นพระราชาที่กำลังสอบสวนนักโทษในคุก เจ้าเตรียมตัวตายหรือยังล่ะ
อนาคตของเธอขึ้นอยู่กับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ระหว่างที่นอนอาการสาหัสอยู่ที่โรงพยาบาล เธอมักจะฝันอยู่บ่อยๆ ฝันว่าอยู่ท่ามกลางสายน้ำ คล้ายกับว่าเธอกำลังจมอยู่ในทะเลลึกสีคราม เมื่อลืมตามองไปรอบตัวก็พบว่ามันช่างเงียบงันและไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย เธอพยายามตะโกนร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมาเลยสักนิด และทุกอย่างก็น่ากลัวมากขึ้นเมื่อเธอไม่รู้ว่าเธอเอ่ยปากเรียกชื่อใครออกมา ความทรงจำเดียวของเธอคือความหวาดกลัวและความสิ้นหวังที่ได้รับ ชั่ววูบหนึ่งเธอรู้สึกราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลกว้างใหญ่นี้
เมื่อฟื้นขึ้นมา ความน่ากลัวนั้นไม่หายไปง่ายๆ มันยังฝังอยู่ในใจของเธอ ทุกครั้งที่หมอและพยาบาลเข้ามาในห้อง พวกเขาเอาแต่ถามว่าจำอะไรได้บ้างไหมและเธอก็ส่ายหัวปฏิเสธทุกครั้งไป เกลียดความรู้สึกที่จำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้ ทั้งๆ ที่เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้แท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่มีใครที่รู้จักหรือบอกได้ว่าเธอเป็นใครเลยล่ะ
เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่แบบนี้อีกต่อไปแล้ว
เด็กสาวมองไปที่โม่หันก่อนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ดูเหมือนมันจะเป็นทางเลือกเพียงทางเดียวของฉันเลยนะคะ”
ฉันจะตามหลังคุณไป ไปตามทางที่คุณบอก ไปสู่โลกที่ฉันไม่รู้จัก
เพราะว่าในโลกใบนี้ คุณเป็นคนเดียวที่ฉันเชื่อใจ
โม่หันนวดระหว่างหัวคิ้วก่อนก้มลงมองนาฬิกา เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็วจนใกล้สี่ทุ่มแล้ว เขาหยิบเอกสารที่เตรียมมา “ดึกแล้ว ไปนอนได้แล้วล่ะครับ”
ทันใดนั้น เด็กสาวถามขึ้น “หมายความว่านับจากนี้คุณจะเป็นพี่ชายของฉันใช่ไหมคะ”
เขานิ่งไปชั่วครู่ ไม่ชินกับคำว่า ‘พี่ชาย’ สักนิด “อย่างน้อยก่อนที่ความทรงจำของคุณจะกลับมา ก่อนที่คุณจะกลับไปหาครอบครัวที่แท้จริง ผมก็นับเป็นพี่ชายของคุณตามกฎหมายครับ”
ชายหนุ่มลุกยืนขึ้น จ้องมองเธอที่อยู่ในเสื้อผ้าหลวมเกินตัวเธอของเขา แขนเสื้อตกมาจนถึงข้อศอก กางเกงถูกพับขาขึ้น ใบหน้าสูงเพียงไหล่ของเขา ร่างผอมแห้งเหมือนเด็กขาดสารอาหาร เขามุ่นคิ้วน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้คุณก็พักต่อที่บ้านเถอะ คุณยังไม่หายดี อย่าเพิ่งออกไปไหนเลย”
เช้าวันถัดมา ในที่สุดเขาก็สลัดความบ้างานที่ถูกประทับมาตลอดออกไปได้ เขานับชั่วโมงที่เขาใช้เวลาทำงานในช่วงสองวันมานี้ได้เลย เขาโทรไปหาเลขาขณะกำลังขับรถว่าจะไปสายเพราะธุระส่วนตัว น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูตกใจราวกับโลกจะแตก เพราะทุกคนที่สำนักงานรู้ดีว่าทนายโม่ เจ้านายของพวกเขาไม่เคยมาสายด้วยเรื่องส่วนตัว ว่ากันตามจริงคือเขาไม่เคยเปลืองแรงไปทำอย่างอื่นนอกจากงาน
เรื่องด่วนที่โม่หันพูดถึงคือการจัดการเอกสารเกี่ยวกับซย่าชิงอี แม้จะมีหลายคนที่เห็นเธอที่สำนักงานวันนั้นแต่คงจะดีกว่าถ้าจะให้คนรู้เรื่องของเธอให้น้อยที่สุด เขาต้องทำบัตรประชาชนและหนังสือแจ้งความจำนงให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ในตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการหาว่าซย่าชิงอีอยู่กับใครและถูกรับเลี้ยงที่ไหนก่อนหน้านี้เพื่อประโยชน์ในการทำเรื่องรับบุตรบุญธรรม นี่จะทำให้ง่ายต่อการสร้างประวัติของเธอ ส่วนเรื่องเอกสารยืนยันตัวตน เมื่อกระบวนการและเอกสารทางกฎหมายแล้วเสร็จ ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางเอง
ทุกคนต่างรู้ถึงความสามารถที่ยอดเยี่ยมของเขา เขาใช้เวลาทั้งวันและได้เอกสารทั้งหมดมาอยู่ในมือ ที่เหลือก็แค่เอกสารที่ซย่าชิงอีต้องลงชื่อและรูปภาพปัจจุบันของเธอ
เมื่อเขากลับมาถึงและพบว่าเวลาผ่านไปจนหกโมงเย็นแล้ว เขาก็บอกเลขาเอาไว้ว่าจะไปสายเล็กน้อยแต่ตอนนี้เห็นทีจะกลับไปสำนักงานไม่ทันแล้ว จึงต่อสายหาเธอบอกว่าวันนี้เขาจะไม่เข้าสำนักงานและให้เลื่อนประชุมเย็นนี้ไปวันพรุ่งนี้แทน
เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับปฏิกิริยาตอบกลับของเธอตอนที่ได้ยินสิ่งที่เขาบอกแบบนี้เลย
อะไรนะ! ทนายโม่ผู้บ้างานจะลาหยุดเหรอ! แต่ก่อนไม่ว่าจะวันหยุดหรือวันธรรมดาเขาก็ยังใช้เวลาทำงานอยู่ที่สำนักงาน! แต่ตอนนี้เขาบอกว่าจะลาหยุดเหรอ
นี่พวกเขาควรรู้สึกดีใจหรือผิดหวังดีล่ะเนี่ย