เธอไม่รู้ว่าเธอทำงานอะไรก่อนจะสูญเสียความทรงจำไป อย่างไรก็ตามเธอสามารถผ่านด่านรปภ.มาได้อย่างง่ายดาย เธอเจอห้องเปลี่ยนชุดที่มีผ้าขนหนูผืนเล็กๆ อยู่ข้างใน มีเสียงน้ำหยดและเสียงหัวเราะของคนลอยออกมาให้ได้ยิน ไอน้ำฟุ้งลอยไปทั่วในอากาศ กลางห้องมีม้านั่งยาวกับตู้ล็อกเกอร์ที่ตั้งขนาบอยู่ทั้งสองข้าง บนม้านั่งมีเสื้อผ้าที่กองทิ้งไว้อยู่ ดูเหมือนเจ้าของจะเพิ่งเข้าไปอาบน้ำ
เธอก้าวเข้ามาในห้องก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนม้านั่ง จากนั้นจึงเปิดผ้าพันแผลและตรวจดูแผล ในห้องมีกระจกบานหนึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอ เมื่อมองเข้าไปในนั้น สภาพตัวเองที่เธอเห็นก็ทำให้เธอนิ่งค้างไปในทันที
ตอนที่ฟื้นขึ้นมาในห้องผ่าตัด เธอรู้เพียงแต่ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บ มีผ้าพันแผลหนาพันรอบหน้าท้อง แต่ภาพที่สะท้อนให้เห็นในกระจกก็ทำให้รู้ว่ายังมีบาดแผลอื่นๆ บนร่างกายอีก
บาดแผลที่หน้าท้องปริออก ผ้าพันแผลชุ่มโชกไปด้วยเลือด บริเวณหน้าอกมีแผลลึกคล้ายโดนมีดแทงปรากฏอยู่ แผลนั้นยังคงมีเลือดคั่งอยู่เล็กน้อย แขนข้างซ้ายก็ถูกผ้าพันแผลพันอยู่เช่นกัน
รอยเขียวฟกช้ำกระจายอยู่ทั่วร่างของเธอ นอกจากนี้ยังมีรอยแผลเล็กน้อยที่ยังหลงเหลืออยู่ด้วย เธอจ้องใบหน้าตัวเองในกระจกอย่างละเอียดและพบว่ามันช่างซีดเผือด ไร้สีสัน ดวงตาเลื่อนลอย เบ้าตาลึกโบ๋ สภาพของเธอไม่ต่างจากซากศพ
เธอเป็นใครกันแน่ เกิดอะไรขึ้นก่อนที่เธอจะความจำเสื่อม ทำไมถึงไม่มีเบาะแสอะไรเลย
บาดแผลบนตัวเธอมาได้อย่างไร ทำไมตลอดเวลาที่เธอรักษาตัวถึงไม่มีใครตามหาเธอเลยล่ะ
มีคำถามที่เธอต้องการคำตอบผุดขึ้นเต็มไปหมด
เสียงคนขยับตัวในห้องน้ำดึงเธอออกจากห้วงความคิด เสียงเท้าดังสะท้อนเป็นจังหวะ เธอเหลือบมองแล้วรีบหยิบเสื้อตัวหลวมและเสื้อคลุมที่คว้าได้ระหว่างทางมาใส่ ถือชุดคนไข้เอาไว้ก่อนรีบออกไปจากห้อง
…
ครั้งสุดท้ายที่โม่หันเห็นเด็กสาวคนนั้นคือเมื่อสองวันก่อน
วันนั้นเขาออกจากสำนักงานและขับรถกลับบ้านราวๆ สี่ทุ่ม ระหว่างทางอยู่ๆ ความต้องการนิโคตินก็พุ่งเข้าจู่โจม เขาเปิดช่องเก็บของและพบว่ากล่องบุหรี่ไม่ได้อยู่ในนั้นจึงจอดรถข้างทาง หยิบกระเป๋าตังค์ก่อนเดินไปซื้อบุหรี่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใกล้ที่สุด
ที่บริเวณประตูซูเปอร์มาร์เก็ตนั้นเอง เขาเห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้น
เธออยู่ในชุดที่ต่างจากตอนแรกที่เจอ แต่ยังคงซีดเซียวและอิดโรยเหมือนเมื่อสองวันก่อน ท่าทางดูอ่อนเพลียมาก ในตอนนั้นเองที่พนักงานคิดเงินกำลังตะโกนด่าใส่หน้าเธอ
เธอไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ไม่แม้แต่จะก้มหัวขอโทษ ทำเพียงยืนเงียบๆ และพิงตัวเข้ากับโต๊ะคิดเงิน มือวางบนหน้าผาก เนื่องจากดึกมากแล้วจึงไม่มีคนอื่นอยู่ในร้านค้าสักคน พนักงานส่งเสียงดังขึ้นขณะออกแรงกระชากตัวเธอ
โม่หันไม่รู้ว่าทำไมถึงเดินไปหาพวกเธอ ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของใคร แต่คืนนั้นเขากลับเดินเข้าไปหาและถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นครับ”
เธอหันมา เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็ตกใจเล็กน้อยก่อนหันกลับไปอย่างเดิม เธอพิงตัวเข้ากับโต๊ะ มือข้างหนึ่งวางบนหน้าท้อง ดูท่าทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“เธอขโมยของไป” พนักงานพูดขึ้น
เด็กสาวกลอกตาไปรอบๆ อย่างจนปัญญาโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
โม่หันมองไปที่เธอ “คุณขโมยของไปจริงๆ หรือเปล่า”
“ฉันแค่หยิบบางอย่างแล้วถามเธอว่าขอยืมก่อนได้ไหมน่ะค่ะ แต่เธอปฏิเสธ”
ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น พนักงานสาวก็พูดขึ้นอย่างโมโห พร้อมชี้หน้าเธอ “แม่สาวน้อย เธอบ้าหรือเปล่า! ไม่มีเงินแล้วยังจะมาพูดแบบนี้กับฉันอีกเหรอ มาซื้อของทั้งๆ ที่ไม่มีเงินเนี่ยนะ
“ประเด็นคือเธอยืนยันที่จะเอาของไปให้ได้ อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าขโมยแล้วจะให้เรียกว่าอะไร ถ้าเธอยังพูดจาไม่รู้เรื่อง ฉันจะเรียกตำรวจแล้วนะ ทำตามที่ฉันบอกซะดีๆ น่า!” เธอเท้าเอวที่สะโพกอย่างหงุดหงิด
โม่หันมองไปที่ของบนเคาน์เตอร์คิดเงิน ทั้งหมดเป็นอาหาร ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มันฝรั่งทอด น้ำสองขวด เขาหันไปหาพนักงานสาวก่อนพูดขึ้นเหมือนคนไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ “ขอบุหรี่ S กล่องหนึ่งครับ”