อันนาส่ายหัว “ฉันไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เป็นเด็กผู้หญิง เธอสวมชุดคนไข้ หน้าตาซีดเซียวแถมดูหวาดกลัวบางอย่าง เธอถามแต่ว่าคุณทำงานอยู่ที่นี้ใช่ไหม พอฉันตอบไปเธอก็เอาแต่นั่งรออยู่ในห้องค่ะ”
โม่หันขมวดคิ้วแล้วเงียบลง
“อาจเป็นใครสักคนที่คุณรู้จักจากการทำคดีก่อนๆ หรือเปล่าคะ หรือไม่ก็คนที่อยากให้คุณช่วยทำคดีให้ ดูน่าสงสารจัง”
“เธอได้พูดอะไรอีกไหม”
“ไม่เลยค่ะ เธอเอาแต่ยืนหลบมุมห้อง ก้มหน้ารออย่างเดียว ฉันสงสารเธอเลยให้ไปนั่งรอในห้องรับรอง ถามว่าอยากดื่มอะไรไหมแต่เธอก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำเลยค่ะ”
โม่หันวางกระเป๋าลง เขายังคงไม่รู้ว่าใครกันที่มาตามหาเขาจึงตัดสินใจเข้าไปดูในห้องรับรอง “ผมจะเข้าไปในห้อง พวกคุณรอด้านนอก”
เขาผลักประตูเข้าไป แผ่นหลังของเธอคือสิ่งแรกที่เขาเห็น เหมือนอย่างที่อันนาบอกไว้ เธอไว้ผมสั้น ผอมแห้งและดูซีดเซียว เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ในชุดคนไข้ ศีรษะด้านหลังที่เขาเห็นก้มลงเล็กน้อย
“คุณมาตามหาผมเหรอ” โม่หันถาม
เด็กผู้หญิงที่นั่งอีกด้านหันกลับมาหาก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเผชิญหน้ากับเขา
ตอนนั้นเองที่โม่หันได้มองหน้าเธอชัดๆ เขาพบว่าใบหน้าของเธอเล็กเท่าฝ่ามือ ผมสั้นของเธอค่อนข้างยุ่ง ดวงตาคู่สวยมองตรงมา ทว่าอาจเป็นเพราะเธออยู่ในชุดคนไข้จึงทำให้เธอดูอิดโรย บอบบาง และไร้ชีวิตชีวาขนาดนี้
ท่าทางของเธอดูไร้วิญญาณเหมือนกับเป็นแค่หุ่นกระบอกสวยๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
เธอสำรวจมองเขา กวาดสายตาไปทั่วร่างก่อนถามขึ้น “คุณรู้จักฉันไหมคะ”
โม่หันขมวดคิ้วแน่น พยายามหาคำตอบให้กับเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นนี้ มีไม่กี่คนที่กล้าจ้องหน้าเขา แม้แต่ตอนที่เขากำลังว่าความอยู่ในศาล เขาก็ไม่ค่อยได้สัมผัสความรู้สึกแบบที่เกิดขึ้นตอนนี้มากเท่าไหร่นัก เหมือนกับเขากำลังหลงทางอยู่ในหมอกหนาอย่างนั้นแหละ
“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ อันที่จริงทำไมคุณถึงมาหาผมที่นี่ครับ” เขาถามขึ้นเบาๆ
เด็กสาวมองกลับมาอีกครั้งด้วยแววตาคาดหวัง “คุณช่วยลองพยายามนึกหน่อยได้ไหมคะ มันสำคัญกับฉันมากจริงๆ”
โม่หันหัวเราะขึ้นเบาๆ แล้วส่ายหัว “ความจำผมไม่ได้แย่นะ และผมก็ไม่คิดว่าผมต้องนึกซ้ำอะไรอีกรอบด้วย”
ได้ยินดังนั้น เด็กสาวก็รู้สึกผิดหวัง เธอเดินตรงมาหาโม่หันก่อนหยุดตรงหน้าเขา หยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเงยหน้าขึ้นมอง “ถ้าอย่างนั้น…คุณจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงคะ”
เธอตัวเล็กและสูงไม่ถึงไหล่เขาแต่การแสดงออกของเธอกลับดูหนักแน่น โม่หันหยิบกระดาษแผ่นนั้นจากเธอมาดู เขาพบว่ามันคือใบเสร็จรับเงินจากโรงพยาบาล
ใบเสร็จถูกลงวันที่ไว้เมื่อเดือนก่อน ตรงมุมมีลายเซ็นปรากฏอยู่ โม่หัน – สำนักงานกฎหมายและทนายความโม่
แม้จะจ้องมองกระดาษใบนั้นสักพัก เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าเคยไปเกี่ยวข้องทางการเงินอะไรกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ในตอนที่เขารู้สึกสับสนอยู่นั้น หลิวจื้อหย่วนก็เข้ามาในห้องอย่างระมัดระวังพร้อมโค้งตัวขอโทษ “ทนายโม่ครับ ผมรู้แล้วว่าเธอเป็นใคร”
“นี่มันเรื่องอะไร” โม่หันที่ถือใบเสร็จอยู่ในมือกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“คุณลืมไปแล้วเหรอ ครั้งที่แล้วที่เราไปเยี่ยมคุณตาที่ต้องการลงชื่อรับรองในพินัยกรรมของเขาที่โรงพยาบาลเขต มีกลุ่มคนปิดทางเข้าโรงพยาบาลไว้และไม่ยอมหลีกทางให้ เราเลยขับรถเข้าไปข้างในไม่ได้ คุณเป็นคนให้ผมออกไปดู ผมเลยเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น แต่เพราะเธอไม่มีเงินรักษาแถมคุณกลัวว่าคุณตาจะเสียชีวิตก่อนได้ลงชื่อในพินัยกรรม คุณเลยยอมจ่ายเงินเพื่อส่งตัวเธอเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ผมเป็นคนที่จัดการเอกสารทั้งหมดนั้นเองครับ”
หลิวจื้อหย่วนมองไปยังเด็กสาวที่อยู่ตรงข้ามเขา “เธอคือเด็กผู้หญิงในวันนั้นครับ”
“แต่ผมไม่ได้บอกให้คุณลงชื่อผมนะ” โม่หันกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
จื้อหย่วนรู้สึกผิดเล็กน้อย “ผมไม่มีทางเลือกนี่ครับ ตอนเธอถูกส่งตัวมารักษา เธอไม่มีญาติที่ไหนเลย ทำให้ไม่มีใครเซ็นยินยอมให้เข้ารับการผ่าตัดได้สักคน ตอนพยาบาลถามชื่อผม ผมเลยเผลอพูดชื่อคุณออกไป อีกอย่างการใช้ชื่อของคุณก็สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสำนักงานกฎหมายของเราด้วยนะครับ”
เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอฟังบทสนทนาทั้งหมดของพวกเขาอยู่เงียบๆ