ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย – ตอนที่ 197 ต่างฝ่ายจะได้ใจเย็นลงบ้าง

โม่ถิงเซียวมองมู่นวลนวลด้วยสีหน้าลุ่มลึกราวกับน้ำ “โทษฉันเหรอ”

มู่นวลนวลก็โทษเขาอยู่บ้าง เพราะเมื่อคืนโม่ถิงเซียวมาสาย

แต่หลังจากที่ได้ฟังเขาอธิบาย มู่นวลนวลลึกๆ แล้วก็ไม่ได้โทษเขาอีกต่อไป

แต่น้ำเสียงที่เขาพูดออกมาก่อนหน้านี้ฟังแล้วก็ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด

“เปล่า” มู่นวลนวลไม่อยากคุยกับเขาอีกต่อไป พลิกตัวลงจากเตียงแล้วจึงหอบเสื้อผ้าเดินเข้าห้องอาบน้ำไป

น้ำเสียงก่อนหน้านี้ของโม่ถิงเซียว พูดราวกับต้องการจะสื่อว่ามู่นวลนวลกระสันที่จะตกเป็นหัวข้อประเด็นร้อนกับซือเฉิงยวี่

ที่เธอพูดไปเมื่อสักครู่ ว่าหากได้เป็นหัวข้อค้นหายอดฮิตกับซือเฉิงยวี่อีกไม่กี่ครั้ง ก็พร้อมที่จะเปิดตัวเข้าสู่วงการนั้น เป็นเพียงแค่เป็นการพูดเล่นเท่านั้นเอง

จิตใจของมู่นวลนวลกรุ่นโกรธ อาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา ไม่สนใจโม่ถิงเซียวแม้เพียงสักเล็กน้อย แล้วจึงเดินลงไปชั้นล่างทันที

ตอนรับประทานอาหารเช้า ทั้งสองคนไม่เปิดปากคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว จากนั้นก็ต่างคนต่างออกไปทำงาน

มู่นวลนวลเดินทางมาถึง Shengding Media ก็ไปพบกับเซินเหลียงเข้า

เซินเหลียงไม่พูดพร่ำทำเพลงดึงเธอเข้ามาที่มุมหนึ่ง “เธอกับซุปเปอร์สตาร์ซือไปกินข้าวด้วยกันอย่างงั้นเหรอ”

ที่เซินเหลียงถามออกมาเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะได้เห็นหัวข้อประเด็นร้อนตอนนี้แล้วเป็นแน่

มู่นวลนวลพยักหน้าอย่างไม่มีอารมณ์ใดๆ “เดิมทีคือโม่ถิงเซียวนัดพี่ใหญ่ไปกินข้าวด้วยกัน โม่ถิงเซียวยังอยู่ที่บริษัท ส่วนฉันก็ไปถึงก่อนเวลา”

เธออธิบายสถานการณ์เมื่อคืนอย่างคร่าวๆ ให้เซินเหลียงฟัง

เซินเหลียงทึ้งหัวตัวเองอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ “แต่ว่า ทำไมซุปเปอร์สตาร์ซือถึงไม่ระวังตัวแบบนี้กันล่ะ ช่วงนี้โดนคนแอบถ่ายตลอดเลย…….”

ถูกแล้ว ซือเฉิงยวี่คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงมาเป็นเวลาตั้งกี่สิบปีแล้ว น่าจะมีความรู้สึกไวต่อพวกปาปารัสซี่สิ

แต่ว่า ช่วงนี้เขามักจะถูกแอบถ่ายอยู่บ่อยครั้ง แถมรูปที่ถ่ายออกมายังชัดเจนเสียขนาดนั้น……

ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ความรู้สึกถึงสิ่งที่ผิดแปลกในใจเธอก็ยิ่งชัดเจนหนักมากขึ้นทุกที

เธอเดินคุยกับเซินเหลียงพลางเดินไปที่ลิฟต์

ประตูลิฟต์เปิดออก ปรากฏว่าคนข้างในลิฟต์ที่กำลังจะเดินออกมาคือซือเฉิงยวี่กับเอเจ็นซี่ของเขาซู่จวิน

เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่บริเวณโดยรอบ ซือเฉิงยวี่จึงฉีกยิ้มแล้วเอ่ยชื่อเรียกเธอขึ้นมา “นวลนวล”

มู่นวลนวลมองเขาอย่างสับสน ตอบกลับไปเพียงหนึ่งคำ “อื้ม” คำพูดเธอสะท้อนความรู้สึกห่างเหินที่ผูกติดมาด้วย

นัยน์ตาซือเฉิงยวี่สั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ขณะที่เขากำลังหมุนตัวจะเดินจากไปนั้นเอง มู่นวลนวลก็พลันเรียกชื่อเขาขึ้นมา “พี่ใหญ่ เมื่อวานนี้ที่ร้านจินติ่ง พี่ไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ เหรอว่ามีคนกำลังแอบถ่ายอยู่”

ซือเฉิงยวี่ยังคงหันหลังให้เธอ ไม่ได้หันหน้ากลับมามอง แต่ร่างกายของเขาชะงักเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด

กลับเป็นซู่จวินที่เดินเยื้องอยู่ข้างเขาที่หันกลับมามองมู่นวลนวลแทน พลางส่งสายตาประหลาดใจออกมา

ผ่านไปประมาณสองวินาที ซือเฉิงยวี่ถึงพึ่งจะหันหน้ากลับมา สายตาส่อแววว่ามีความรู้สึกเสียใจอยู่ด้วย “ขอโทษด้วย ฉันไม่ระวังตัวเอง แต่เดี๋ยวฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้”

สีหน้าและน้ำเสียงเขายังคงอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกที ทว่าเมื่อมู่นวลนวลได้ยินดังว่า กลับขมวดคิ้วจนเกิดเป็นรอยย่นระหว่างหัวคิ้ว

รอจนซือเฉิงยวี่เดินไปไกลมากแล้ว เซินเหลียงจึงพูดไปที่ข้างๆ หูของมู่นวลนวล “ดาราใหญ่นี่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ ทั้งอ่อนโยนแถมยังจิตใจสูงส่ง ถ้าจะหาแฟนก็ต้องหาให้ได้แบบนี้แหละ”

มู่นวลนวลถอนสายตากลับมา แล้วพลันส่ายหน้า “ฉันไม่รู้สึกอย่างนั้น”

“แน่นอนสิที่เธอจะไม่รู้สึกแบบนั้น ก็เธอมีท่านผู้อำนวยการของพวกเราอยู่แล้วนี่………”

เซินเหลียงยังคงพูดอยู่ข้างหูเธออย่างไม่มีหยุดพัก แต่มู่นวลนวลกลับไม่มีใจจะฟังเลย

ตั้งแต่ที่ได้เจอกันครั้งแรก ซือเฉิงยวี่ก็ได้ให้ความรู้สึกที่ทั้งอ่อนโยนและมีจิตใจที่ดี ทำให้ผู้คนรู้สึกดีเวลาอยู่ด้วย เป็นบุคคลที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอดไม่ได้ที่จะอยากไปอยู่ใกล้เขา

แต่ว่า หลายครั้งมานี้ เมื่อเธอได้พบกับซือเฉิงยวี่ ก็มักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาดูแปลกๆ ไป

เธอคิดขึ้นมาได้ว่า ไม่เคยเลยสักครั้งที่เธอจะได้เห็นซือเฉิงยวี่แสดงท่าทีโกรธ หรือแม้แต่ตอนที่เปลี่ยนสีหน้าก็ไม่มี

เขามักจะมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ ราวกับไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะไม่รู้สึกขุ่นโกรธเลยแม้เพียงสักนิด ทำสีหน้าสงบนิ่งและเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด

ไม่มีใครอาจทราบได้ว่า จะมีเรื่องอะไรที่สามารถเป็นสาเหตุให้เขาโกรธจนสูญเสียความควบคุมได้

ไม่ใช่ เธอเคยเห็นอยู่ครั้งหนึ่ง คือตอนที่อยู่หน้าประตูโรงน้ำชาครั้งนั้น

คิดได้เช่นนี้ มู่นวลนวลจึงพบว่า หลังจากที่ได้พบกับซือเฉิงยวี่ที่โรงน้ำชาครั้งนั้น ครั้นเมื่อได้พบกับซือเฉิงยวี่อีก เขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

ยิ้มเมื่อพบเจอผู้คน ยามสนทนาก็อบอุ่นอ่อนโยนเช่นทุกที

แต่เธอก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนเคย

หรือเป็นเพราะเธอยังคอยวนเวียนคิดถึงเหตุการณ์ที่โรงน้ำชา จนส่งผลต่อจิตใจที่เป็นพิษทำให้คิดได้เช่นนี้หรือ

……….

เนื่องจากข่าวดังในตอนเช้า ทำให้มู่นวลนวลกับโม่ถิงเซียวทะเลาะกัน

ทั้งวันพวกเขาทั้งสองต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตน ต่างฝ่ายจึงไม่มีใครมีเวลาที่จะติดต่อหากัน

พอตกเย็น ก็เฉกเช่นเคยที่มู่นวลนวลจะนอนหลับไปก่อน แล้วโม่ถิงเซียวถึงพึ่งจะกลับมาถึง

เขาเดินเข้าอย่างเงียบเชียบ ก็เห็นมู่นวลนวลนอนหลับยื่นแขนออกไปที่ด้านนอกเตียง โทรศัพท์ก็หล่นวางอยู่บริเวณแขนของเธอ

น่าจะดูโทรศัพท์จนผล็อยหลับไป

โม่ถิงเซียวหยิบโทรศัพท์เธอมาวางไว้ที่ด้านหนึ่ง ขยับแขนเธอให้กลับมายังบริเวณข้างลำตัว แล้วจึงนั่งลงที่ขอบเตียงพลางจ้องมองเธออยู่เป็นชั่วระยะเวลาหนึ่ง ถึงจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ

เมื่อเสียงปิดประตูห้องอาบน้ำดังขึ้น มู่นวลนวลที่ไม่ได้หลับลึกนักก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที

ช่วงนี้โม่ถิงเซียวกว่าจะกลับบ้านก็ดึกมากแล้ว เขาบอกให้เธอไม่ต้องอยู่รอเขา แต่ว่าจิตใต้สำนึกเธอก็ยังคงสั่งให้รอเขากลับมา ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอนอนหลับไม่สนิท ซ้ำยังรู้สึกจิตใจไม่สงบ ทำให้เพียงแค่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็สามารถปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาได้

เธอพลิกตัว หันหลังเข้าใส่ห้องอาบน้ำแล้วจึงนอนหลับต่อ แต่เมื่อหลับตาลงภายในสมองกลับตื่นตัวเต็มที่แล้ว

ผ่านไปไม่นานนัก โม่ถิงเซียวก็เดินออกมาจากห้องอาบน้ำ

ก่อนหน้านี้เขาได้เปิดโคมไฟติดผนังดวงน้อยเอาไว้ตอนที่เข้ามาในห้อง ไม่ได้เปิดไฟดวงใหญ่ของห้องเนื่องจากกลัวว่าแสงไฟจะสว่างเสียจนเกินไป และทำให้มู่นวลนวลตื่นขึ้นมาได้

ขณะนี้ในห้องมีเพียงแสงไฟสลัว แต่เขาก็สังเกตเห็นว่ามู่นวลนวลได้ขยับพลิกตัวไป

เขาพับมุมผ้าห่มให้มู่นวลนวลเสียจนเรียบร้อย จากนั้นจึงขึ้นไปนอนที่อีกด้านของเตียง และยื่นแขนเข้าไปสวมกอดเธอไว้ในอ้อมอกด้วยความเคยชิน

ทว่าฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างในอ้อมกอดเขาตัวแข็งเกร็งขึ้น

เขาสังเกตได้ว่ามู่นวลนวลค่อนข้างที่จะรู้สึกตัวตื่นแล้ว แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาก

ผ่านไปสักครู่ กลายเป็นตัวมู่นวลนวลเองที่ทนไม่ไหว แสร้งทำเป็นพลิกตัว หลบหนีออกจากอ้อมแขนของเขา

เมื่อรู้ตัวว่าอ้อมแขนว่างเปล่า ลมหายใจของโม่ถิงเซียวก็เริ่มเย็นยะเยือกขึ้น

ผู้หญิงคนนี้กำลังยั่วอารมณ์เขา

เขาจึงยื่นแขนออกไปกอดเธออีกครั้ง ผ่านไปไม่นานมู่นวลนวลก็ใช้กลยุทธ์เดิมอีกครั้ง

เป็นเช่นนี้อยู่หลายครา จนโม่ถิงเซียวได้หมดความอดทนแล้ว

ในความมืด เสียงของเขาทั้งลุ่มลึกทั้งเย็นเยียบ “มู่นวลนวล เธอกำลังเล่นอะไรอยู่”

มู่นวลนวลก็พลันเลิกแสร้งทำเป็นว่าหลับอยู่อีกต่อไป พูดอย่างเรียบๆ ว่า “ไม่นี่”

เสียงของทั้งสองคนชัดเจนไม่มีแหบพร่า ไม่เหมือนกับคนที่กำลังเตรียมตัวนอนแม้แต่นิด

โม่ถิงเซียวใบหน้าเคร่งขรึมขึ้น กล่าวต่อว่า “ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก เธอทำตัวให้ดีๆ หน่อย”

“ห๊ะ คุณคิดว่าฉันยังทำตัวดีไม่พออีกเหรอ” มู่นวลนวลหัวเราะเย้ยหยันเขา “ฉันก็ยุ่งเหมือนกัน”

เรื่องขัดแย้งกันเล็กน้อยเมื่อเช้านี้ ยังไม่ถือว่าเป็นการทะเลาะกันเลยเสียด้วยซ้ำ

แต่ก็เนื่องด้วยเพราะว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้าเพียงแค่โม่ถิงเซียวจะหัวเราะไปกับเธอแม้เพียงสักนิดเรื่องก็จะผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว

แต่น้ำเสียงตอนนี้ของเขา กลับฟังแล้วดูราวกับว่ากำลังกล่าวโทษเธออยู่เสียอย่างนั้น

บางที เมื่อความขัดแย้งระหว่างคนสองคนเริ่มถลำลึกรุนแรงขึ้น หลังจากนั้นก็เป็นการยากแล้วที่จะแยกออกว่าสิ่งใดที่ถูกและสิ่งที่ที่ผิด

ระยะนี้ทั้งคู่ต่างก็ยุ่งมาก โม่ถิงเซียวกลับบ้านดึก เธอเองก็นอนหลับไม่สนิทเช่นกัน ซึ่งก็ไม่ได้ดีมากไปกว่าเขาเลยเสียด้วยซ้ำ

เธอก็ไม่เอะอะโวยวายแล้วนี่ยังไม่ถือว่าทำตัวดีอีกหรือ

ก็ถ้าจะให้เธอประพฤติตัวว่านอนสอนง่ายหน่อย เขาก็จะหัวเราะไปกับมุกตลกเธอหน่อยไม่ได้เลยหรือ

ความกรุ่นโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจ มู่นวลนวลเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วลุกออกจากเตียงไป “ฉันจะไปนอนห้องอื่น ต่างฝ่ายจะได้ใจเย็นลงบ้าง”

ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย

ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย

พี่สาวลูกครึ่งของหมู่นวลนวลไม่ต้องการแต่งงานกับคู่หมั้นที่น่าเกลียดและไร้มนุษยธรรม มารดาผู้ให้กำเนิดคุกเข่าขอร้องเธอ:“ พี่สาวของคุณสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่า คุณช่วยเธอได้” เขารู้สึกเศร้ามาก แทนพี่สาวแต่งงาน. ในคืนแต่งงาน ชายหนุ่มรูปงามขมวดคิ้วและมองมาที่เธอ: "มันน่าเกลียดเกินไป" เธอคิดว่าทั้งสองจะเคารพซึ่งกัน แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะครอบงำเธอโดยตรง: "ไม่ว่าจะน่าเกลียดแค่ไหนเธอก็เป็นผู้หญิงของผมด้วย" เธอจ้องเขา : "คุณ…คุณทำไม่ได้ … " ชายคนนั้นถอดชุดชั้นในของเธอปลอมตัวออก มองใบหน้าที่สวยงามเดิมของเธอ แล้วยิ้มอย่างร้ายกาจ: "ดูเหมือนว่าเราทุกคนจะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกันและกัน"

Comment

Options

not work with dark mode
Reset