โม่เจียเฉินยังเป็นเด็กอยู่จึงชอบเล่น การที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงตอนเย็นเช่นนี้จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกลิงโลดดีใจ
แต่ก็ลืมเรื่องที่ว่าเดิมทีตัวเองแอบหนีกลับประเทศมา อีกสักครู่ถ้าได้เจอกับคุณลุงก็จะต้องได้เจอกับคำถามซักไซ้ไล่เลี่ยงจำนวนไม่น้อยแน่ๆ
โม่เจียเฉินกระสับกระส่ายใจจนเอามือขยำผมตัวเอง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาพึ่งจะแต่งหน้าทำผมมา ก็เก็บมือกลับมาด้วยท่าทางแข็งกระด้างทื่อๆ
มู่นวลนวลอธิบายแทนโม่เจียเฉิน “เสี่ยวเฉินกลับมาได้สักพักแล้วค่ะ แล้วก็พักอยู่กับพวกเราตลอดเลย ครอบครัวของเขาเองก็ทราบเรื่องนี้ดีค่ะ”
เหลิ่งซูเป็นผู้ที่รู้ถึงขอบเขตในการพูดอันสมควรของผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเช่นตัวเขาเอง จึงไม่ได้เอ่ยถามเรื่องที่เกินเลยเกี่ยวกับนาย
เขาพามู่นวลนวลและโม่เจียเฉินไปห้องพักรับรองเพื่อเข้าพบโม่ชิงเฟิง
……..
โม่ชิงเฟิงดูเหมือนเดิมกับครั้งก่อนที่มู่นวลนวลได้พบเขา ยังคงมีท่าทีสงบเงียบเยือกเย็นเช่นเคย
โม่ถิงเซียวนั้นเหมือนกับโม่ชิงเฟิงมาก จะแตกต่างก็ตรงที่โม่ถิงเซียวจะมีบรรยากาศที่ลุ่มลึกหมองหม่นรอบตัวเขา นัยน์ตาปกคลุมด้วยหมอกที่ไม่มีวันจางหายไป
เมื่อโม่ชิงเฟิงเห็นมู่นวลนวลก็ตกใจเล็กน้อย “นวลนวล? ”
“คุณพ่อ” มู่นวลนวลเดินไปอยู่ตรงหน้า แล้วเอ่ยปากพูดออกมาอย่างอ่อนน้อม
โม่ชิงเฟิงไม่เคยเห็นมู่นวลนวลที่กลับมาเป็นสภาพเช่นเดิมของเธอ จึงตกตะลึงไปชั่วขณะแล้วก็กลับมาเป็นปกติตามเดิม
เขาไม่ใช่คนธรรมดา ตกตะลึงไปเพียงแค่ชั่วเสี้ยวขณะก็กลับคืนสู่สีหน้าท่าทางปกติได้อย่างรวดเร็ว “แล้วถิงเซียวล่ะ”
“เขา……รู้สึกไม่ค่อยดีค่ะ จึงไม่ได้มาด้วย” อ้าปากโกหกออกไปคำโต มู่นวลนวลไม่ได้มีความรู้สึกหวาดผวากลัวว่าจะถูกจับได้เสียเท่าไหร่ เช่นนี้จึงทำให้เธอรู้สึกตกใจตัวเองมากเป็นขีดสุดแล้ว
โชคดีที่โม่ชิงเฟิงดูเหมือนจะไม่ใส่ใจแต่แรกอยู่แล้วว่าโม่ถิงเซียวจะมาหรือไม่มา
เขาพยักหน้า “อื้ม”
โม่ชิงเฟิงหันไปมองโม่เจียเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่นวลนวลหนึ่งที แล้วจึงเอ่ยปากพูดว่า “เฉิงยวี่เองก็อยู่ที่นี่ด้วย เด็กๆ แบบพวกแกไปคุยเล่นกันซะไป”
เมื่อสักครู่เหลิ่งซูก็ได้บอกเรื่องของโม่เจียเฉินให้เขาทราบแล้ว และเขาเองก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากนัก
โม่เจียเฉินยิ้มแล้วจึงประพฤติตัวเรียบร้อยสงบเสงี่ยมอย่างชาญฉลาด “‘งั้นพวกผมไปก่อนนะครับ คุณลุง”
ทันทีออกมาจากห้องพักรับรอง โม่เจียเฉินก็ยกนิ้วโป้งพุ่งเข้าใส่มู่นวลนวล “พี่นวลนวล พี่สุดยอดไปเลย ไม่นึกว่าจะกล้าพูดโกหกใส่หน้าคุณลุง! ”
“นี่ไม่ได้เรียกว่าพูดโกหก แต่เรียกว่าเป็นการหาข้ออ้าง” มู่นวลนวลพูดพลางส่ายหน้าไปด้วย “นายไม่คิดเหรอว่าเขาจะไม่รู้ว่าโม่ถิงเซียวไม่ยอมมา เพียงแค่ว่าถูกถามเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันก็เลยขายผ้าเอาหน้ารอดหาข้ออ้างไปเฉยๆ จะได้ไม่มีใครที่จะต้องเสียหน้า ทั้งหมดมันก็เท่านี้แหละ”
“……ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง พวกผู้ใหญ่นี่ซับซ้อนกันจังเลยน้า~” คำสุดท้ายของประโยคคำว่า “น้า” โม่เจียเฉินลากเสียงยาวเป็นพิเศษ
มู่นวลนวลยิ้มพลางจ้องเขาเขม็ง ก็ได้ยินเสียงอันอบอุ่นของซือเฉิงยวี่ดังขึ้นมาจากข้างหลัง “เสี่ยวเฉิน นวลนวล”
แม้ว่าก่อนหน้านี้โม่เจียเฉินจะเคยพูดไปแล้วว่าซือเฉิงยวี่เองก็อยู่ที่นี่ แต่มู่นวลนวลก็ไม่ได้ใส่ใจให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ผลปรากฏว่าพอออกจากห้องมาก็ได้เจอกันโดยบังเอิญทันที
ค่อนข้างที่จะ………..กระอักกระอ่วนเสียจริงๆ
มู่นวลนวลหันหน้ากลับไป ยิ้มอย่างแข็งทื่อให้ “พี่ใหญ่”
โม่เจียเฉินเองก็ส่งเสียงเรียกตามด้วยเช่นกัน “พี่”
“พวกเธอพึ่งมาถึงเหรอ” ไม่ได้แม้แต่จะรอคำตอบจากพวกเขา ซือเฉิงยวี่ก็มองไปทิศทางด้านหลังของมู่นวลนวลหนึ่งที “ถิงเซียวก็ไม่ได้มา”
“เขาร่างกาย……รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ…….” เมื่อสักครู่พึ่งจะเอ่ยปากพูดข้ออ้างนี้ไปต่อหน้าโม่ชิงเฟิงได้อย่างไหลลื่นเป็นธรรมชาติ เมื่อถึงคราวของซือเฉิงยวี่ มู่นวลนวลกลับรู้สึกไม่ได้แย่นัก
ซือเฉิงยวี่แสดงท่าทีกระจ่างแจ้ง แล้วเอ่ยปากพูดเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา “ฉันพาพวกเธอไปเดินดูรอบๆ ดีกว่า”
เมื่อเขากล่าวจบ ก็พลันหมุนตัวแล้วเดินนำหน้าไปเลยในทันที
โม่เจียเฉินเป็นพวกคลั่งพี่ชายอย่างเห็นได้ชัด เขาใช้ข้อศอกกระทุ้งสะกิดไปที่มู่นวลนวลเบาๆ “พี่ผมหล่อไหม”
“อื้ม” มู่นวลนวลพยักหน้า “ทักษะการแสดงเองก็ดีมาก”
ซือเฉิงยวี่เป็นนักแสดงที่มีทั้งหน้าตาที่หล่อเหลาและมีทักษะการแสดงอันเป็นเลิศ เพียงแค่สองปีมานี้ไม่ได้ถ่ายหนังภาพยนตร์มากนัก
โม่เจียเฉินไม่พอใจกับคำตอบของเธอ “ทำไมเธอตอบแบบขอไปทีอย่างงี้กันเล่า เธอคิดว่าเขากับลูกพี่ลูกน้องผม คนไหนหล่อกว่ากัน”
มู่นวลนวลคิดอย่างจริงจังสักครู่ถึงค่อยเอ่ยปากตอบ “โม่ถิงเซียว”
ถึงแม้ซือเฉิงยวี่จะมีใบหน้างดงามหล่อเหลาก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่ดึงดูดผู้คนให้เข้าหาเขาก็คือบรรยากาศที่อบอุ่นละมุนเหมือนหยกของเขานั่นเอง
โม่ถิงเซียวและซือเฉิงยวี่เป็นคนสองประเภทที่ให้อารมณ์ขั้วตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง โม่ถิงเซียวจะมีบรรยากาศที่อึมครึมหมองหม่นชนิดที่ต่อให้โบกพัดก็ไม่อาจจางหายไปได้ แต่ถ้าหากคนได้มองไปที่เขาเข้าล่ะก็ ก็จะถูกใบหน้าของเขาดึงดูดให้มองก่อนเป็นอันดับแรก
“มองเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง” โม่เจียเฉินเอียงคอพลางจ้องเข้าไปในดวงตาเธอ “ตาถั่วไปแล้วหรือเปล่า”
มู่นวลนวลจ้องเขาตาเขม็งหนึ่งที “เธอนั่นแหละที่ตาถั่ว! ”
กล่าวจบก็เริ่มรู้สึกว่าการที่เธอมาปะทะคารมกับเด็กน้อยโม่เจียเฉินเช่นนี้ เป็นการกระทำที่ไม่มีเกียรติเลย จึงส่งเสียงฮึ่มฮั่มหนึ่งทีแล้วก็สับเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
โม่เจียเฉินเดินตามมา พูดกับเธอเบาๆ ว่า “ผมอาจจะตาถั่วจริงๆ ก็ได้ ผมก็รู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องหล่อกว่าพี่ผม แต่ว่า ผมก็ยังรู้สึกว่าพี่ผมดีกว่าอยู่หน่อยนะ”
มู่นวลนวลกลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออก
แต่ในใจเธอก็รู้สึกปลงอยู่บ้างเล็กน้อย
ซือเฉิงยวี่เข้าวงการบันเทิงเร็ว จึงทำให้เวลาที่ได้อยู่กับโม่เจียเฉินมีไม่เยอะ และโม่เจียเฉินก็เคยใช้ช่วงเวลาตอนยังเด็กร่วมกับโม่ถิงเซียวด้วย ทำให้เขาอาจจะรู้สึกสนิทกับโม่ถิงเซียวมากกว่า
บางครั้ง สายเลือดก็ไม่ใช่มาตรฐานเพียงอย่างเดียวที่ใช้วัดความเหินห่างหรือสนิทใกล้ชิดของญาติทางสายตรง
……..
คนมาร่วมงานเลี้ยงกลางคืนเยอะมาก ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาของเซี่ยงไฮ้
มู่นวลนวลเดินไปทั่วกับโม่ชิงเฟิงได้หนึ่งรอบ ยิ้มจนมุมปากแข็งเกร็งไปหมด ขาก็ราวกับว่าจะเป็นตะคริวอีก
เคราะห์ดี ดูเหมือนว่าโม่ชิงเฟิงจะออกไปเจอใครบางคน จึงได้ออกจากห้องจัดเลี้ยงไปชั่วคราว และก็ไม่ได้ให้มู่นวลนวลเดินตามอีกเลย
ไม่รู้ว่าโม่เจียเฉินไปวิ่งเล่นอยู่แถวไหนแล้ว มู่นวลนวลมองไปรอบหนึ่งก็ไม่เห็นเขา จึงออกเดินหามุมสักมุมหนึ่งแล้วนั่งลงพักผ่อน
มุมที่เธอนั่งลงพักผ่อนไม่ค่อยเป็นที่สังเกตของผู้คนนัก ผ่านไปไม่นานก็มีผู้หญิงสองคนถือแก้วไวน์เดินมานั่งอยู่ไม่ห่างจากที่ๆ เธอนั่งพักนัก
บทสนทนาที่พวกเธอคุยกันก็ลอยเข้าหูของมู่นวลนวลอย่างชัดเจน
“ไม่ใช่คนพูดกันเหรอว่ายัยคุณหนูสามของตระกูลมู่ทั้งน่าเกลียดทั้งโง่เหรอ นี่ดูแล้วก็ไม่เห็นจะเหมือนอย่างที่ว่าเลย!”
“ใครจะไปรู้ว่าที่ตระกูลโม่จัดงานเลี้ยงค่ำนี้ก็เพื่อแนะนำตัวคุณหญิงคนใหม่ให้ทุกคนได้รู้จักกันล่ะ ตระกูลโม่นี่ไม่กลัวเสียหน้าเลยเหรอไง แล้วจะต้องไปหาผู้หญิงสักคนจากที่อื่นมาเล่นให้ครบคนแบบมั่วๆ แน่เลย……”
“ฉันก็คิดแบบนั้น แกดูชุดที่มันสวมใส่แล้วก็เครื่องสำอางค์ที่มันแต่งเติมสิ อย่างกับพวกคุณตัวสาวนั่งดริ้งค์เอ็นเตอร์เทนในร้านคาราโอเกะเลย”
มู่นวลนวลก้มลงมองชุดทางการสีแดงคอวีที่ตัวเธอเองสวมใส่
ไม่ได้เป็นชุดที่เปิดเผยบริเวณหน้าอกหรือหลังเลย มีแค่เปิดบริเวณท่อนแขนก็เพียงเท่านั้นเอง ระดับความยาวของกระโปรงก็คลุมหัวเข่า ตรงไหนที่ดูเหมือนสาวนั่งดริ้งค์ในร้านคาราโอเกะใส่กันล่ะ
แล้วเดี๋ยวนี้ร้านคาราโอเกะมีคุณตัวเหรอ
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ มู่นวลนวลได้ยินสองคนที่อยู่ข้างๆ ตรงนั้นเริ่มวิจารณ์เธอ
“ฉันดูนมมันแล้ว ของปลอม ทำมาแน่ๆ!”
“ปลอมแน่นอน แกเคยเห็นผู้หญิงคนไหนเอวคอดแล้วก็นมจะฟูอกเบิ้มขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็พวกดาราไม่ใช่เหรอ”
“แล้วดาราที่ทำศัลยกรรมมันมีน้อยไหมล่ะ เดี๋ยวรอไปสักพักตอนที่ได้เจอมัน พวกเราก็แกล้งเข้าไปชนโดนนมมัน แล้วก็ดูปฏิกิริยาตอบกลับของมัน แค่นี้ก็รู้แล้วว่านมจริงนมปลอม……”
พรูด ——
มู่นวลนวลที่ดื่มน้ำเข้าไปก็พลันพ่นออกมาอย่างกระดากกระเดื่องทันที
ผู้หญิงสองคนนี้เป็นประสาทไปแล้วหรือเปล่า
ก็ถ้าสมมุติว่าเธอไปทำศัลยกรรม เฉือนเนื้อหนังของเธอจริงๆ แล้วเธอไปหยิบเอาเงินพวกหล่อนมาทำเหรอ
มู่นวลนวลกระแทกแก้วในมือวางลงบนโต๊ะตัวน้อยข้างหน้าเธออย่างแรง เนื่องจากโต๊ะตัวนี้ทำมาจากกระจก จึงทำให้เมื่อผ่านไปสักครู่ก็ได้ยินเสียง “ปริแตก” ดังออกมา
เสียงนี้เองที่เรียกความสนใจจากสองสาวให้หันมามอง
เมื่อเห็นว่าพวกเธอหันมามอง มู่นวลนวลก็ลุกขึ้นยืนมองไปที่พวกเธอพลางเดินเข้าไปหา