วันต่อมา หลังจากที่จัดการเรื่องยุ่ง ๆ มาตลอดสองสามวัน ในที่สุดก็ถึงวันขึ้นศาล
ซูย้าวรีบตื่นมาแต่เช้าเพื่อเตรียมตัว เพราะต้องไปขึ้นศาลในฐานะทนายฝ่ายจำเลยชั่วคราว หญิงสาวจึงเปลี่ยนเป็นชุดสูทสีดำ เธอมองเงาสะท้อนในกระจกพร้อมกับติดกระดุมทีละเม็ด ทว่าอยู่ ๆ เรื่องง่าย ๆ ก็ถูกหญิงสาวทำให้กลายเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เนกไทอันสวยงาม ถูกเธอจับผูกซ้ำไปซ้ำมา เพราะผูกยังไงก็ผูกไม่ได้
หญิงสาวดึงเนกไทออกอย่างหมดหนทาง มือข้างหนึ่งยกขึ้นแนบกระจก พร้อมกับมองดูเงาตัวเองที่สะท้อนกลับมา คิ้วขมวดแน่น ความกังวลใจปกคลุมร่างบางไปชั่วขณะ แต่พอคิดดูแล้ว เธอกลับหาที่มาของความรู้สึกนั้นไม่เจอ
ดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นหลังจากที่เธอเจอกับ อู๋หยานหลาย ๆ เรื่องเริ่มไม่เหมือนเดิม มีบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป
สาเหตุมาจาก อู๋หยานงั้นเหรอ?
แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ ถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะทำให้ซูย้าวรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับรบกวนการใช้ชีวิตเธอขนาดนั้น แต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไมในใจถึงได้รู้สึกเป็นกังวลขนาดนี้ หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะ?
เธอมัวแต่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ขนาดมีคนเดินมาอยู่ด้านหลังเพิ่มอีกคน หญิงสาวก็ยังไม่รู้ตัว จนกระทั่งชายหนุ่มค่อย ๆ วางมือลงบนไหล่ หญิงสาวถึงได้สะดุ้งตกใจ ก่อนจะดึงสติตัวเองกลับมา แต่ยังไม่ทันได้หันกลับไปมอง เธอก็เห็นลี่เฉินซียืนอยู่ด้านหลังผ่านเงาสะท้อนในกระจก ร่างสูงสง่า สวมชุดสูทและรองเท้าหนัง เขายังดูหล่อเหลาไม่ต่างจากตอนที่เจอกันครั้งแรก
เขาเอื้อมมือออกมาหมุนตัวเธอช้า ๆ พร้อมกับดึงเนกไทในมือของหญิงสาวออกมา ก่อนจะค่อย ๆ ช่วยเธอผูกทีละนิด “ตื่นเต้นเหรอ?”
เธอเหลือบตามองเขานิดหน่อย “บอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนมีเรื่องอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น…….”
ลี่เฉินซียกมุมปากขึ้นยิ้มเบา ๆ พร้อมกับยกมือขึ้นประคองแก้มเธอ “จะเกิดเรื่องอะไรได้? เรื่องเดียวที่มันจะเกิด คือเรื่องที่คุณต้องแต่งงานกับผมเท่านั้นล่ะ”
เธอเลิกคิ้วมองเขาอย่างหมดคำจะพูด ก่อนจะขยับตัวผละออกห่างจากเขา “ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องแต่งงาน…..”
ถ้าจะให้พูดออกมาชัด ๆ เธอก็ไม่รู้จะพูดยังไง แค่รู้สึกว่าตัวเองมีลางสังหรณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นเท่านั้น
ใคร ๆ ก็บอกว่าผู้หญิงมักจะมีสัมผัสที่หก ลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นแบบนี้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นจริงเสมอ
แต่เธอก็ทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามให้ตัวเองผ่อนคลายลง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างฝีน ๆ “แต่ก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก บางทีฉันอาจจะคิดมากไปเอง!”
ประโยคที่เธอพูดออกมานั้นไม่ใช่แค่เพื่อปลอบใจตัวเอง แต่มันเธอเป็นความรู้สึกของเธอจริง ๆ
ตอนนี้เธอใช้ตัวตนของอานหว่านชิงพูดทุกอย่างออกมา ต่อให้จะมีอีกหลายคนอยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอ หรือไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เธอก็ไม่สนใจทั้งนั้น
เพราะยังไงเธอก็ไม่มีจุดอ่อนให้เห็นอยู่แล้ว
คนคนเดียวที่มีความสัมพันธ์กับเธอไม่มากก็น้อย คืออานเจียเย้น ซึ่งถ้าหากอีกฝ่ายต้องการจะใช้เขาเป็นเป้าหมายในการโจมตีเธอ งั้นคนคนนี้ก็คงต้องลองชั่งน้ำหนักความสามารถของตัวเองดูเสียก่อน
อีกอย่างเธอยังมีอะไรที่พอจะให้คนพวกนั้นควบคุมและใช้ประโยชน์ได้อีกอย่างนั้นเหรอ?
ลี่เฉินซีมองเธอด้วยแววตาลุ่มลึก ไม่ใช่ว่าเขาสังเกตไม่เห็นความว้าวุ่นที่ซ่อนอยู่ในแววตาเธอ แต่เพราะเห็นและสัมผัสได้อย่างชัดเจน เขาเลยจงใจที่จะไม่เอ่ยปากถาม ชายหนุ่มเพียงแค่ขยับเข้าไปใกล้เธออีกหนึ่งก้าว ใช้สองมือประคองไหล่บางของหญิงสาว จากนั้นก็ค่อย ๆ โน้มตัวลงจุมพิตที่หน้าผากมน “เด็กดี ผ่อนคลายลงหน่อยนะ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วผลการขึ้นศาลจะออกมาเป็นยังไง คุณก็ทำดีที่สุดแล้ว”
ถ้าพูดตรง ๆ คดีนี้ ถือเป็นการเล่นตลกระหว่างสองตระกูลใหญ่
ดังนั้น ไม่ว่าผลจะออกมายังไง ตระกูลเจียงก็ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้อยู่แล้ว ขนาดเจียงจี้เซิงเองก็ยังประกาศชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่า พยายามลดผลกระทบทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นในวันนี้ให้มากที่สุด นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่ตระกูลเจียงให้ความสำคัญ
แค่ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทเจียงหย่วน ไม่ว่าจะต้องเดินไปในทิศทางไหน พวกเขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น
ซูย้าวเองก็เข้าใจในจุดนี้ดี เธอพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามลี่เฉินซีออกไปจากโรงแรม
ในตอนที่ทั้งสองเดินทางมาถึงหน้าศาล ยังเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาจริง ด้านนอกมีสื่อมวลชนมากมายที่มารอกันตั้งแต่เช้า พอพวกเขาเห็นทั้งสองปรากฏตัว ต่างก็กรูกันเข้ามารุมล้อมทันที พร้อมกับเอ่ยถามคำถามมากมายจนวุ่นวายไปหมด
ประเด็นที่ทุกคนให้ความสนใจไม่ใช่ผลหรือความเป็นจริงของคดีนี้ แต่เป็นเรื่องอื้อฉาวระหว่างเจียงจี้ฉีกับอู๋หยาน ที่กลายเป็นข่าวใหญ่ต่างหาก ซึ่งเรื่องนี้สามารถใช้โจมตีได้ทั้งบริษัทเจียงหย่วนและตระกูลอู๋โดยตรง โอกาสดี ๆ แบบนี้ ใครจะยอมปล่อยไปง่าย ๆ
ลี่เฉินซีโอบซูย้าวไว้แน่น ภายใต้การคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ทั้งคู่จึงผ่านฝูงชนและตรงเข้าไปในชั้นศาลได้
ห้องโถงด้านในมีกลุ่มคนมากมายรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว ทั้งลูกความ ทนายฝ่ายจำเลย และคนอื่น ๆ ที่กำลังรอขึ้นศาล รวมถึงสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนก็มาเข้าร่วมด้วย ส่งผลให้ห้องกว้างในตอนนี้ เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของผู้คน
ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น ทุกสายตาพุ่งตรงไปที่ร่างบางของอู๋หยาน ซึ่งกำลังเดินเข้าไปหาลี่เฉินซีกับซูย้าวช้า ๆ
“ท่านประธานลี่” ทันทีที่เธอเดินมาถึง หญิงสาวก็เอ่ยทักทายลี่เฉินซีก่อนเป็นคนแรก พร้อมกับมอบรอยยิ้มบางเบา แลดูสง่างามให้
ลี่เฉินซียิ้มตอบพร้อมกับพยักหน้าให้เบา ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
จากนั้นอู๋หยาน จึงลากสายตาไปทางซูย้าวพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณอานคะ พอจะสะดวกออกไปคุยกับฉันเป็นการส่วนตัวสักครู่ไหมคะ?”
ซูย้าวชะงักไปเล็กน้อย เธอเหลือบมองไปทางทนายฝ่ายของอู๋หยานอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้อยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ในเมื่อเป็นแบบนี้ ซูย้าวจึงทำได้แค่ตอบตกลงเท่านั้น
ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องพักห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ไม่ใหญ่มาก แต่ประสิทธิภาพในการเก็บเสียงนั้นดีเยี่ยม หลังจากประตูห้องถูกปิดลง ทั้งสองก็ตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปิดตายทันที
อู๋หยานหันหน้ากลับมา สายตามองสำรวจซูย้าวตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นหญิงสาวก็ค่อย ๆ ยกมุมปากขึ้น จนเกิดเป็นรอยยิ้ม
เธอยกมือขึ้นรูปคางเรียวของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณอาน คุณมีความมั่นใจต่อคดีในครั้งนี้มากน้อยแค่ไหนคะ?”
ซูย้าวคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยถามเรื่องคดีขึ้นมากลางคัน เธออดไม่ได้ที่ขมวดคิ้ว ก่อนจะถามขึ้นว่า “คุณอู๋ มาพูดอะไรแบบนี้ก่อนคดีจะขึ้นศาล น่าจะไม่ดีเท่าไรนะคะ!”
โดยเฉพาะทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในฐานะผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้อง
ทว่า อู๋หยานกลับไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไร เธอทำเพียงแค่ยักไหล่เบา ๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมเหรอคะ คุณเองก็ไม่ใช่ไม่รู้นี่ จริง ๆ แล้วคดีนี้มันสามารถไกล่เกลี่ยกันเป็นการส่วนตัวได้ แต่ที่มันต้องวุ่นวายขนาดนี้ ก็เพราะอาฉีน่ะโกรธฉันเกินไป” “ส่วนฉันเอง ถ้าให้พูดตามตรง ยังไงเขาก็ถือว่าเป็นคู่หมั้นเก่า ถ้าเขาต้องมาติดคุกเพราะเรื่องแค่นี้ ฉันก็แข็งใจทำไม่ลงหรอก เพราะงั้นนะคุณอาน คุณมีความมั่นใจมากแค่ไหนที่จะฟ้องคดีให้ชนะแทนเขาคะ?”
อู๋หยานถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมาอีกครั้ง หญิงสาวอธิบายเรื่องราวต่าง ๆออกมาเพิ่มเติมได้อย่างสมเหตุสมผล แถมยังไม่ลืมเสริมความเป็นคนจิตใจดีให้กับตัวเองด้วย
ซูย้าวหรี่ตามองเธอช้า ๆ “มั่นใจรึไม่ฉันก็ยังไม่กล้ารับปากหรอกนะคะ แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็คงต้องรอศาลพิจารณาแล้วก็มีมติออกมานั่นล่ะค่ะ เดี๋ยวเราก็รู้เอง”
อู๋หยานพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หญิงสาวเคลื่อนตัวไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง พร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้าง ปลายรองเท้าส้นสูงสีดำขยับขึ้นลงไปมา “ไม่สู้เรามาผ่อนคลายกันหน่อยไหมคะ เผื่อคุณอานจะได้มีกำลังแล้วก็ความมั่นใจเพิ่มขึ้น เราลองมาเจรจากันเป็นการส่วนตัวก่อนดีกว่า!”
ซูย้าวจ้องไปที่เธอด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงดังฟังชัดว่า “หมายความว่ายังไงคะ?”
“คุณอาน ที่คุณมาออกหน้าฟ้องคดีแทน อาฉีครั้งนี้ จริง ๆ ก็เพื่อที่ดินของเขาผืนนั้นใช่ไหมคะ! คิดจะใช้โอกาสนี้สร้างความสัมพันธ์ดี ๆ จากนั้นก็ค่อยฮุบเอาที่ดินไม่กี่ผืนของเขาไป ฉันพูดถูกใช่ไหม?” อู๋หยานเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
ซูย้าวจ้องเธอ ก่อนจะค่อย ๆ เผยรอยยิ้มขึ้น “พูดต่อสิคะ”
“เพราะงั้นผลประโยชน์น่ะ มันก็ถือเป็นสิ่งที่ดี ใคร ๆ ก็อยากได้ทั้งนั้น ขนาดท่านประธานลี่ที่มีอำนาจล้นฟ้ายังต้องการเลย คุณอานเองก็คงไม่ต่างกัน”
ทันใดนั้น อู๋หยาน ก็ดูเหมือนผู้รอบรู้ที่สามารถมองทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่งด้วยสายตาอันเฉียบคม เธอกวาดตามองซูย้าวเบา ๆ “ไม่สู้ให้ฉันช่วยคุณสักครั้ง! รอให้การพิจารณาคดีในศาลครั้งนี้จบก่อน ฉันจะทำให้คุณได้กลับบ้านแน่ ๆ เป็นไง?”
คิ้วของซูย้าวขมวดแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ความสงสัยในแววตาของเธอก็ยังไม่ลดลง “คุณจะทำยังไงล่ะคะ?”
หลังจากเอ่ยถามขึ้น หญิงสาวก็พูดเสริมอีกว่า “อีกอย่าง คุณอยากได้อะไรจากฉัน?”
อู๋หยาน ยิ้มออกมา พร้อมกับเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีแอปริคอทหลุบลง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องการอะไร งั้นคุณอานก็คิดเสียว่าฉันช่วยคุณไว้สักเรื่องก็ได้นะคะ อนาคตถ้าฉันรู้แล้วว่าต้องการอะไร ฉันจะติดต่อไปหาคุณเองเป็นไง?”
อีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าซูย้าวเห็นด้วยกับข้อเสนอ สำหรับการพิจารณาคดีนี้ อู๋หยานก็คงจะมีวิธีช่วยให้เธอชนะได้ แต่ข้อแลกเปลี่ยนคือ ซูย้าวจะต้องรับปากว่าจะทำตามความต้องการของหล่อน
ยิ่งไปกว่านั้นคือ อู๋หยานเองก็ไม่ได้ให้เอ่ยคำขอออกมาชัด ๆ เพราะฉะนั้นมันถึงไม่ต่างอะไรกับการให้เช็คเปล่ากับอีกฝ่ายเลย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหากต้องการจะเขียนอะไรลงไป ก็ขึ้นอยู่กับเจตนาของอีกฝ่ายได้เลย