คำพูดของชายหนุ่มนั้นทั้งเป็นการโน้มน้าวและบีบบังคับอย่างอธิบายได้ยาก
ในตาอันล้ำลึกของเขาเปิดเผยถึงชัยชนะที่ได้ แล้วมองไปที่เธออย่างเย็นชา จากระยะทางที่ค่อนข้างใกล้ชิดนี้ กลิ่นบุหรี่อ่อน ผสมกับกลิ่นหอมคละคลุ้ง มันเป็นน้ำหอมแบรนด์รุ่นลิมิเต็ดอิดิชัน เมื่อผสมกับกลิ่นบุหรี่แล้วช่างน่าดมอย่างแปลกประหลาด
ประกอบกับสายตาของเขาในตอนนี้ ทำให้เธอเหมือนกับถูกสะกด
ซูย้าวก้มหน้าก้มตาลง ขนตายาวหนาทึบของเธอไม่อาจปกปิดความซับซ้อนและสับสนภายใต้ดวงตาคู่นั้นได้
เห็นได้ชัดว่าเธอเกิดความสงสัยในสิ่งที่เขาพูด
ต่อให้เธอพยายามฝืนที่จะเชื่ออานเจียเย้นก็อาจเป็นไปได้ แต่เพ้ยหยู่เจี๋ยคนคนนี้เธอไม่เชื่ออย่างแน่นอน
ดังนั้นการที่ต้องเป็นแพะรับบาปก็อาจเป็นจริงได้ จากการคาดเดาในเรื่องที่Jockเคยทำมาก่อนหน้า มีครั้งไหนบ้างที่เขาไม่ได้ ยื่นโล่ออกมากำบังตัวเองไว้?
“แม้ว่าคุณอานจะอายุมากแล้ว ไม่ได้เป็นเด็กสาววัยรุ่นเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็นับว่างดงามมากทีเดียว หากต้องไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในสถานที่เหมือนกับคุกเช่นนั้น อีกทั้งยังต้องกลายเป็นแพะรับบาปให้กับคนอื่นในฐานะอาชญากร คุณไม่รู้สึกว่ามันไร้ค่ามากเหรอ?”
ประโยคง่ายๆของเขานี้ไม่เพียงเตือนสติว่าเธออย่าได้เลือกผิด หากมองอีกมุมหนึ่งเขากลับหัวเราะเยาะเธอในเรื่องของอายุ ที่เมื่อครู่เธอเป็นคนเยาะเย้ยเขาเอง
ซูย้าวอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองดูเขา ผู้ชายคนนี้ช่างกระแนะกระแหนเก่งจริงๆ ใครบอกว่าเธออายุมากกัน! เธอเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง!
แล้วอะไรที่เขาว่าไม่เด็กแล้วคืออะไร ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือหน้าตาของเธอ ตรงไหนเหมือนกับผู้หญิงมีอายุไม่ทราบ!
แต่ว่าตอนนี้เธอไม่มีเวลามากพอจะมาถกเถียงกับเขาเรื่องเหล่านี้ คำพูดของลี่เฉินซีเมื่อสักครู่จับจุดอ่อนในใจของเธอได้อย่างสมบูรณ์
ต้องยอมรับว่าวินาทีนี้ต่อให้เธอไม่อยากจะยอมจำนนแต่ก็ทำได้เพียงเลือกที่จะยอมแพ้
ประการแรก เธอไม่เชื่อเพ้ยหยู่เจี๋ยและไม่อาจเชื่ออานเจียเย้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอรู้สึกสงสัยในตัวตนของตนเอง หากเธออยู่ข้างกายลี่เฉินซีต่อไปบางทีอาจจะหาหลักฐานเพิ่มเติมได้!
ประการที่สอง สถานการณ์ปัจจุบันของDouble Aceกรุ๊ปในตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก หรือเรียกได้ว่าอยู่ในจุดล่อแหลมเลยทีเดียว หากสามารถมีวิธีแก้ไขปัญหาได้ก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน
ด้วยเหตุผลนานาประการ ซูย้าวจึงได้ยอมจำนน
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพยักหน้าอย่างสงบ “เอาล่ะค่ะ ฉันยอมอยู่ข้างกายคุณก็ได้”
ลี่เฉินซีมองมาทางเธอ นิ้วของเขาค่อยๆเลื่อนจากคางไปยังแก้มของเธออย่างบางเบา “แค่อยู่ข้างกายผมอย่างเดียวเหรอ?”
เธอขมวดคิ้วขึ้นทันใด ผู้ชายคนนี้นี่จะต้องให้เธอพูดคำท้ายในประโยคเมื่อสักครู่ออกมาให้ได้เลยใช่ไหม!
ซูย้าวพยายามอดทนอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฉันจะยอมเป็นผู้หญิงของคุณ แต่ว่าคุณลี่ค่ะพวกเราต้องตั้งกฎขึ้น”
ในที่สุดลี่เฉินซีก็ได้ยินสิ่งที่เขาต้องการจะได้ฟัง ใบหน้าอันเคร่งขรึมของเขาค่อยๆอ่อนโยนลง ก่อนจะปล่อยเธอออกแล้วคาบบุหรี่เดินกลับไปที่เก้าอี้ “คุณลองพูดมาสิ”
ซูย้าวมองตามไปทางที่เขานั่งลง “ประการแรก พวกเราต้องมีชีวิตส่วนตัวของกันและกัน คุณต้องไม่เข้ามาก้าวก่ายมากเกินไป และแน่นอนว่าฉันก็จะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องราวของคุณด้วย สรุปแล้วก็คือพวกเราต้องมีพื้นที่และเวลาเป็นของตัวเอง”
ผู้ชายคนนี้ช่างแข็งแกร่งและบ้าอำนาจ เธอเองก็รู้ดี
เธอไม่อาจยอมให้เขา เข้ามาทำลายเสรีภาพของเธอเป็นเวลาเนิ่นนานต่อจากนี้โดยไร้เหตุผลใดๆแน่!
ลี่เฉินซีดับบุหรี่ลง มือข้างหนึ่งของเขาจับที่คางของตนเองแล้วเอียงคอมองเธอ “พูดต่อสิ”
ซูย้าวครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ประการที่สอง เนื่องจากฉันไม่แน่ใจว่าฉันคือซูย้าวหรือเปล่า ดังนั้นลูกทั้งสามของคุณฉันจะไม่ยอมเป็นแม่เลี้ยงพวกเขา และจะไม่สนิทกับพวกเขามากเกินไป”
ในความทรงจำของเธอนั้นเธอไม่เคยมีลูกมาก่อนและไม่เคยเป็นแม่คน จู่ๆจะให้เธอมาแสดงบทบาทของแม่ อีกทั้งยังต้องดูแลลูกถึงสามคนเธอจะยอมรับมันได้อย่างไร!
ซูย้าวเงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อว่า “ประการที่สามก็คือ……”
น้ำเสียงของเธอยืดยาวแล้วก้มหน้าลงดูเหมือนทำตัวไม่ถูก ใบหน้าของเธอมีความเขินอายปรากฏขึ้นเล็กน้อย
ลี่เฉินซีแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจแล้วถามต่อไปว่า “อะไรครับ?”
เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความอาย น้ำเสียงดูคลุมเครือ “ห้ามสัมผัสทางร่างกายไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!”
“อ้อ เรื่องนี้เหรอ……” ลี่เฉินซีตั้งใจเปล่งเสียงลากยาวออกมาเขาทำเป็นไม่สนใจและทำท่าครุ่นคิดอย่างจริงจัง ผ่านไปสักพักเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่เธอก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำขาดๆหายๆว่า “สองข้อแรกผมยอมรับได้แต่ข้อสุดท้ายไม่ได้”
ซูย้าวยังไม่ทันจะได้สติกลับคืนมา มือเรียวยาวของเธอก็ถูกชายหนุ่มกุมขึ้น “ซูย้าว……”
คำพูดเพียงสองคำที่ออกมาจากปากเขา ดวงตาสีดำของเขาดูมืดมนจากนั้นก็เปลี่ยนชื่อเรียกว่า “อานหว่านชิง คุณรู้ดีว่าผมไม่ปล่อยคุณไปแน่ แล้วเรื่องพรรคนั้นไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องผ่านมันไปด้วยกัน คุณจะเสนอออกมาเพื่ออะไร?”
“คุณ……”
ซูย้าวโมโหกัดฟันกรอดทั้งอายทั้งโกรธ เธอพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ลี่เฉินซีมองดูท่าทางของเธอเช่นนั้น รอยยิ้มของเขาก็ลึกล้ำขึ้นมาเล็กน้อย เขายกมือขึ้นลูบศีรษะเธอเบาๆ มือข้างหนึ่งจับไปที่ข้อมือของเธอแล้วจูงออกไปด้านนอกพลางพูดว่า “คืนนี้ดึกมากแล้วคุณอยู่ต่อที่นี่เถอะนะ”
ซูย้าวชะงักลง จากนั้นได้ยินเขาพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้คุณกลับไปเก็บของแล้วย้ายเข้ามาเถอะ”
เธอรู้สึกไม่สบายใจ ลังเลและเต็มไปด้วยความสงสัย จากนั้นก็สะบัดแขนของเขาออกหยุดฝีเท้าลงแล้วถามขึ้นว่า “ย้ายเข้ามา? ทำไมคะ?”
คำถามของเธอยังไม่ทันพูดจบ เธอก็รีบปฏิเสธขึ้นอีกครั้งว่า “ไม่ค่ะไม่ได้เด็ดขาด ฉันไม่เคยชินกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น!”
“ไม่ชินก็ต้องทำให้ชิน!” น้ำเสียงของลี่เฉินซีดูหนักแน่นขึ้น แววตานั้นเผยถึงความเย็นชาและแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้ ร่างเร็วยาวของเขาค่อยๆโน้มลงมาทางเธอ “อานหว่านชิง ถ้าคุณจะฉลาดกว่านี้สักหน่อยก็อย่าพยายามทดสอบขีดจำกัดของผม ไม่อย่างนั้น……”
เขาจงใจให้พูดไม่จบและลากเสียงยาวให้เธอจินตนาการเอาเอง
แต่ไม่ว่าเธอจะคิดพิจารณาดูอย่างไรผลสรุปในแต่ละอย่างที่เธอคิดได้ล้วนน่ากลัวเหลือเกิน มันน่ากลัวมากๆ และไม่มีผลดีต่อเธอเลย!
ลี่เฉินซีผละจากเธอแล้วเดินหันหลังขึ้นไปด้านบน บังเอิญพบเข้ากับแม่บ้านจึงได้กำชับว่า “เตรียมห้องพักให้เธอ และชุดนอนให้ด้วย”
แม่บ้านพยักหน้าตอบรับจากนั้นเดินขึ้นไปเตรียมของ
ซูย้าวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเธอได้สติกลับคืนมาก็พบว่าในห้องโถงอันใหญ่โตเช่นนี้เหลือเพียงเธอแค่คนเดียว เธอจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่บันไดชั้นสอง พบว่ามีศีรษะน้อยๆกำลังแอบมองดูเธออยู่
แต่จากนั้นไม่นานคนข้างๆก็กดศีรษะของเธอลงไป ลี่หมิงกระซิบว่า “ซีซีอย่าทำแบบนี้สิเดี๋ยวแม่ก็ตกใจหรอก!”
แต่ซีซีก็เบ้ปากน้อยๆของเธอขึ้นด้วยความไม่พอใจพูดว่า “แต่ว่าหนูอยากอยู่กับแม่อีกสักพักนี่ค่ะ แม่จะไปแล้วใช่ไหม? หนูไม่อยากให้ไปเลย……”
น้ำเสียงน้อยๆของเด็กหญิงยังคงแผ่วเบาแต่ดังเข้ามาในหูของเธอ ซูย้าวทำได้เพียงถอนหายใจด้วยความสับสน วินาทีนั้นเธอก้มลงไปมองดูนาฬิกาและมีความรู้สึกอยากจะจากไป แต่ว่ายังมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้น จู่ๆเธอก็เบิกตากว้างแทบจะลืมเรื่องสำคัญไปได้อย่างไร!
เธอรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนโดยไม่คิดและผ่านเด็กน้อยสองคนเข้าไปในห้องหนังสือ
เนื่องจากเธอค่อนข้างรีบร้อนและเป็นกังวลมากจึงยังไม่ทันแม้แต่จะเคาะประตู เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือเธอจึงรู้สึกว่าตนเสียมารยาท สีหน้าเธอดูทำตัวไม่ถูก
แต่ลี่เฉินซีก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพียงแค่ส่งสายตาไปทางเธอแล้วพูดเบาๆว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
เธอพยักหน้าแล้วรีบก้าวไปทางโต๊ะทำงานของเขา “เอ่อคือ ตอนนี้โครงการกู่อาน เรื่องของชาวบ้านเหล่านั้นอีกทั้งอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นทำให้ เสียงจากภายนอกที่พากันวิพากษ์วิจารณ์มากมาย เรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไรดีคะ?”
นี่เป็นปัญหาที่เธอสร้างความหนักใจให้เธอมาโดยตลอด ความคิดเห็นของผู้คนมากล้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อDouble Aceกรุ๊ป แต่ยังทำลายชื่อเสียงของเธออย่างรุนแรงด้วย
แต่เรื่องนี้ไม่อาจใช้กฎหมายมาจัดการได้ จะให้เธอไปฟ้องร้องบรรดาครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างงั้นเหรอ! อีกทั้งหลายครัวเรือนเหล่านั้นไม่ว่าจะเพิ่มค่าตอบแทนให้พวกเขามากมายเท่าใด ทุกคนก็ล้วนยืนกรานที่จะไม่โยกย้าย แล้วยังจะยื่นคำขาดต้องการเงินชดเชยจำนวนมหาศาล
เธอเป็นนักธุรกิจ ในทางธุรกิจแล้วนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะทำการค้าที่ขาดทุน ยิ่งไปกว่านั้นความรู้สึกที่เธอถูกจูงจมูกจากอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่เพียงแต่ไม่สามารถจัดการปัญหาได้ อีกทั้งยังทำให้แย่ลงขึ้นไปอีก
ลี่เฉินซีหนังลงที่บนเก้าอี้หนัง ขาข้างหนึ่งของเขายื่นลงมาสัมผัสไปที่พื้น ดวงตาที่ค่อนข้างเย็นชาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ แล้วมองสำรวจทั่ว “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำให้คุณหมดหนทางเชียวเหรอ?”
เธอยังเป็นซูย้าวที่เฉลียวฉลาด และเป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านธุรกิจที่เขาเคยรู้จักอยู่หรือไม่?
นิ้วเรียวยาวของเขาเคาะไปบนโต๊ะ คำพูดแต่ละคำดูขี้เล่นแกมเหน็บแนม “ความทรงจำของคุณสูญเสียไปพร้อมกับไอคิวหรือไง?”
ดวงตาของซูย้าวกระชับลงทันที “คุณลี่คะ ถ้าคุณไม่อยากบอกฉันก็ช่างเถอะ อย่ามาทำร้ายคนอื่นแบบนี้เลย!”
เมื่อพูดจบเธอก็ทำท่าจะหันหลังแล้วจากไป น้ำเสียงอันเยือกเย็นของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังดังขึ้นมาได้จังหวะว่า “ใจอ่อนเช่นสตรี”
ด้วยคำพูดเบาๆ ซูย้าวได้หยุดฝีเท้าลงและครุ่นคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งดวงตาของเธอก็กะพริบเป็นประกาย เธออ้าปากขึ้นทันใด รอยยิ้มของเธอเบ่งบานริมฝีปากของเธอเผยอขึ้นแล้วรีบหันกลับมายังโต๊ะหนังสืออย่างรวดเร็ว โอบไปที่คอของชายหนุ่มแล้วจุมพิตลงบนหน้าอันหล่อเหลาของเขาเบาๆ ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ขอบคุณที่เตือนสตินะคะ!” จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว