คำพูดของโม่หว่านหว่านเมื่อสักครู่ ทำให้ลี่เฉินซีที่กำลังเดินขึ้นไปบนบันไดชะงักลงทันที
สีหน้าของเจี่ยงเวินอี๋เองก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนพากันยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
โม่หว่านหว่านมองดูสีหน้าของเธอแล้วขมวดคิ้วเข้าหากันถามว่า “พวกคุณยังไม่รู้เหรอเนี่ย?”
เป็นจริงดังนั้น เรื่องที่เธอเคยกังวลที่สุดเกิดขึ้นแล้ว!
ตอนนั้นเธอจากไปอย่างเร่งรีบ อีกอย่างซูย้าวก็ดีกับเตียวเตียวมาก ต่อให้ไม่บอกความสัมพันธ์เรื่องของแม่ลูก แต่จากสายตาของคนนอกก็ไม่ต่างอะไรกับลูกในไส้ของเธอ ดังนั้นโม่หว่านหว่านจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ดูเหมือนตอนนี้โชคดีเหลือเกินที่ตนกลับมา ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น!
“นี่เป็นเรื่องจริง ฉันได้ทำการตรวจดีเอ็นเอเพื่อระบุความเป็นพ่อแม่ลูกแล้ว เตียวเตียวคือเด็กที่ถูกลักพาตัวไปในตอนนั้น”
โม่หว่านหว่านได้พูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และในขณะเดียวกันเธอก็รีบก้มหน้าก้มตาหยิบเอาของบางอย่างในกระเป๋าทันที
ข่าวนี้ค่อนข้างที่จะกะทันหันและมันเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือได้ยาก ทำให้จู่ๆ เจี่ยงเวินอี๋ก็ไม่อาจรับมันได้
เธอยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ก่อนจะได้สติกลับคืนมาและมองไปทางผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางประหลาดใจ “ถูกอุ้มไปอย่างนั้นเหรอ หมายความว่ายังไงกัน……?”
โม่หว่านหว่านหยิบผลตรวจดีเอ็นเอออกมาจากกระเป๋าของเธอ ยังไม่ทันจะหยิบออกมาดีก็ถูกใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างๆเอื้อมเข้ามาแย่งเอาไว้อย่างรวดเร็ว
เธอชะงักและเงยหน้าขึ้น ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างๆเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สายตาของเขานั้น จับจ้องไปที่ตัวอักษรบนแผ่นกระดาษ ตัวหนังสือเหล่านั้นเขียนชัดเจนว่า ความคล้ายคลึงในดีเอ็นเอเกินกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์……
ลู่ส้าวหลิงยังคงยืนงุนงงอยู่ตรงนั้น เขาก้มลงมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่คงเป็นเหตุผลที่เธอรีบกลับมาอย่างนั้นเหรอ?!
นิ้วมือของลี่เฉินซีที่สั่นเทา เขายังคงกำเอกสารนั้นไว้ในมือ เส้นเลือดบริเวณข้อต่อของนิ้วมือนั้นปูดโปน “นี่คือผลตั้งแต่เมื่อไหร่?”
โม่หว่านหว่านครุ่นคิดแล้วตอบว่า “น่าจะประมาณหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ตอนที่ฉันให้เตียวเตียวและซูย้าวตรวจดีเอ็นเอ มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ และฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แต่ผลของการตรวจออกมาทำงานตกใจมากทีเดียว”
คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยที่พวกเขาทั้งสองคนพยายามตามหากันมาตั้งหลายปี ลี่เฉินซีใช้วิธีต่างๆมากมาย ทั้งส่งคนมากมายออกไปตามหาแต่ก็ยังไร้วี่แวว ที่แท้เลือดเนื้อเชื้อไขของตนนั้น อยู่ใกล้เพียงแค่ตรงหน้านี้……!
ด้านของเจี่ยงเวินอี๋ยิ่งกังวลและตกใจเข้าไปใหญ่ เธอดูไม่อยากจะเชื่อและรีบลุกขึ้นมาทันที หวางอี้และพ่อบ้านรีบเข้ามาพยุงเธอลุกขึ้น จากนั้นเธอก็หยิบเอกสารฉบับนี้ไปดูอย่างละเอียด “เตียวเตียวเป็นหลานชายของฉันจริงๆเหรอ? ตอนนั้นซูย้าวให้กำเนิดลูกแฝดอย่างงั้นเหรอ?”
โม่หว่านหว่านพยักหน้า “ใช่ค่ะ แฝดชายหญิง แต่ในตอนนั้นเป็นเพราะความสะเพร่าของพวกเราทำให้ใครบางคนฉวยโอกาสพาเด็กผู้ชายคนนั้นหนีไป……”
เจี่ยงเวินอี๋สะดุ้งเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียวก่อนที่เธอจะกลืนน้ำลายแล้วพึมพำว่า “ทำไมเรื่องแบบนี้ไม่มีคนบอกฉันเลย?”
ลี่เฉินซียืนนิ่งเงียบอยู่กับที่ ฉากแล้วฉากเล่าปรากฏขึ้นในสมองของเขา ไม่แปลกใจเลยที่แม้แต่ลี่เจิ้งผู้ที่ค่อนข้างเมินเฉยเรื่องของอารมณ์ เมื่อได้เจอกับเตียวเตียวเป็นครั้งแรก ก็รู้สึกผูกพันและอ่อนโยนได้เพียงนั้น
ไม่แปลกใจเลยที่แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบเด็กเท่าไรนัก แต่ก็ไม่รู้สึกรังเกียจเจ้าหนูคนนี้ได้เลย ความรู้สึกที่มีนั้นแตกต่างไปจากเด็กๆคนอื่นข้างกาย ที่จริงเขาควรจะรู้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เท่านั้น
เตียวเตียวก็คือเด็กคนที่ถูกอุ้มไป และสูญหายไปกว่าห้าปี แท้จริงแล้วก็คือลูกของเขาและซูย้าวนี่เอง!
ในขณะที่เขากำลังตกตะลึงอยู่นั้น เจี่ยงเวินอี๋ก็ค่อยๆได้สติกลับคืนมาแล้วทรุดลงบนโซฟาดัง “ตุ๊บ!” เปรียบเสมือนกับตุ๊กตาไม้ที่ไร้คนควบคุม มือทั้งสองข้างของเธออ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะอุทานออกมาว่า “พระเจ้า! นี่ฉันเกือบจะทำอะไรลงไปกัน……!”
ก่อนหน้านั้นไม่นาน เธอยังมัวแต่คำนึงถึงความปลอดภัยของหลานสาว และต้องการที่จะนำเตียวเตียวไปเข้าแลก อีกทั้งพูดว่าเจ้าหนูน้อยเป็นเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า……
ทั้งความเสียใจเศร้าโศกและประหลาดใจ อารมณ์เหล่านี้ได้ผสมผสานกันทำให้เจี่ยงเวินอี๋ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้เลยในตอนนี้
ลี่เฉินซีพยายามระงับความรู้สึกทั้งหลายนี้เอาไว้ในใจ แล้วสูดลมหายใจเข้า ก่อนจะใช้สายตาอันเย็นชาของเขามองไปยังหวางอี้แล้วกำชับว่า “จงส่งคนไปดูแลความปลอดภัยของนายหญิงกับเด็กๆมากกว่าเดิม”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังเดินออกไปทันที
เจี่ยงเวินอี๋ที่อยู่ด้านหลัง ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งอีกครั้งหนึ่งว่า “จะไปไหน?”
ลี่เฉินซีชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้หันหลังกลับมา ตอบเพียงประโยคหนึ่งว่า “ไปรับลูกสาว”
เจี่ยงเวินอี๋พยักหน้าตอบรับ เธอสูดลมหายใจเข้าด้วยความกลัวแล้วพูดว่า “ห้ามใช้เตียวเตียวเข้าแลกอีกเด็ดขาด ไม่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งต้องการอะไร เพียงแค่ รักษาความปลอดภัยของเด็กๆเอาไว้ได้ จงตกลงกับพวกเขาไป”
เมื่อได้ยินดังนั้นลี่เฉินซีก็ไม่ได้ตอบรับอะไรออกมา เขาเพียงรีบก้าวขาเดินออกไปเร็วกว่าเดิม
ลู่ส้าวหลิงรู้สึกไม่วางใจสักเท่าไหร่ เขาจึงหันมามองโม่หว่านหว่านแล้วทิ้งท้ายว่า “คุณอยู่เป็นเพื่อนคุณน้าไปก่อนนะ” หลังจากนั้นเขาก็เดินออกไปทันทีเช่นกัน
ที่ลานด้านนอก ฝีเท้าอันว่องไวของลู่ส้าวหลิงเดินเข้าไปรั้งลี่เฉินซีเอาไว้แล้วพูดว่า “คุณจะไปรับลูกยังไง? อีกฝ่ายหนึ่งต้องการทำอะไรกันแน่คุณรู้หรือเปล่า?”
เมื่อหยุดชะงักลงเล็กน้อย เขาก็ทำการครุ่นคิดพิจารณา จากนั้นสีหน้าก็ดูซีดเผือดลงกว่าเดิมก่อนพูดขึ้นว่า “แล้วซูย้าวอยู่ที่ไหน เรื่องที่เตียวเตียวเป็นลูกในไส้ของเธอ เรื่องนี้พวกเราน่าจะบอกให้เธอรู้ก่อนไม่ใช่หรือไง?”
นอกจากนั้น ลู่ส้าวหลิงยังต้องการจะเอ่ยเตือนว่า การที่ซีซีถูกคนลักพาตัวไปเช่นนี้แน่นอนว่าคนที่กังวลที่สุดคงจะเป็นซูย้าว ตอนนี้เธอคงจะตื่นตระหนกและกระวนกระวายใจมากกว่าใครๆ บางทีอาจทำเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นได้ง่าย
เห็นได้ชัดว่าลี่เฉินซีดูเหมือนจะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่ว่าเขาทำหน้านิ่งๆเงียบมองไปทางลู่ส้าวหลิงแล้วพูดเบาๆว่า “ผมเตรียมการเอาไว้แล้ว เรื่องพวกนี้ค่อยพูดกันทีหลัง ส้าวหลิง ฝากดูแลทางบ้านหน่อยได้ไหม?”
เจี่ยงเวินอี๋อารมณ์ไม่คงที่ ก่อนหน้านั้นเธอเพียงต้องการจะปกป้องหลานสาว แต่หลังจากที่รู้ตัวตนของเตียวเตียวแล้วเธอก็ยิ่งนั่งไม่ติด ความขัดแย้งเหล่านี้หากลี่เฉินซีจะกังวลใจและไม่อาจวางใจลงได้ก็เป็นเรื่องปกติ
ลู่ส้าวหลิงพยักหน้าแล้วตอบว่า “วางใจได้ ผมและหว่านหว่านจะอยู่ที่นี่คอยดูแลให้เอง มีเรื่องอะไรก็รีบติดต่อมาได้ตลอด”
ลี่เฉินซีทิ้งสายตาอันแสดงถึงความขอบคุณเอาไว้และหันหลังเดินขึ้นรถไป
เมื่อตอนที่ลู่ส้าวหลิงกลับเข้ามาในคฤหาสน์อีกครั้ง โม่หว่านหว่านกำลังคุยกับเจี่ยงเวินอี๋อยู่บนโซฟา แต่จะพูดว่าสนทนากันนั้นก็ไม่เหมือนสักเท่าไหร่
เนื่องจากนิสัยของโม่หว่านหว่าน เธอไม่อาจจะลืมการกระทำทุกสิ่งอย่างของเจี่ยงเวินอี๋ไปได้เพียงแต่ตอนนี้ เธอเห็นแก่ หน้าของเด็กๆ อีกทั้งเจี่ยงเวินอี๋ยังเป็นผู้อาวุโส เธอจึงทำได้เพียงอดทนไว้เท่านั้น
เธอเอามือข้างหนึ่งเท้าคางแล้วมองไปที่บันไดพูดขึ้นว่า “ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าเตียวเตียวเป็นหลานของคุณ ก็รู้สึกหวงแหนขึ้นมาทันทีเลยสินะ ท่าทางคุณนี่เปลี่ยนไปสามร้อยหกสิบองศาจริงๆ ฉันล่ะคิดไม่ถึงเลย”
เจี่ยงเวินอี๋จะฟังความหมายของเธอไม่ออกได้อย่างไร แต่ก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาถอนหายใจแล้วพูดว่า “เอาเถอะ ฉันไม่รู้ว่าคุณจะคิดอย่างไร มันก็เป็นสิทธิ์ของคุณ ขอเพียงเพียงแค่พวกเด็กๆปลอดภัย เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป……”
เมื่อพูดจบ เธอก็เรียกให้พ่อบ้านมาพยุงขึ้นไปด้านบน
ตอนที่ลู่ส้าวหลิงเดินกลับเข้ามานั้น โม่หว่านหว่านก็ได้ละสายตามองเขาแล้วพูดว่า “ฉันเป็นห่วงซูย้าวจังเลยค่ะ คุณคิดว่าเธอจะมีอันตรายไหม?”
ชายหนุ่มยิ้มขึ้นเบาๆก้าวเข้าไปข้างหน้าและเอื้อมมือไปโอบเธอไว้ในอ้อมแขน “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ซูย้าวเป็นคนแข็งแกร่ง ตอนนี้เธอก็มีลูก เธอจะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นอะไรไปแน่นอน”
เขาหยุดลงชั่วครู่ ก่อนที่จะก้มหน้ามองดูเธอแล้วพูดว่า “อีกอย่าง คุณลืมไปแล้วรึไงว่ายังมีลี่เฉินซีอยู่?”
“เขาน่ะเหรอคะ?” โม่หว่านหว่านส่งเสียงหึๆออกมา สีหน้าและแววตาอันเบื่อหน่ายของเธอปรากฏขึ้น “ถ้าพวกผู้ชายไว้ใจได้ เขาก็คงไม่กลายเป็นอดีตสามีหรอกค่ะ!”
ลู่ส้าวหลิง “……”
โม่หว่านหว่านพยายามออกจากอ้อมอกเขาก่อนจะหันหลังเดินขึ้นไปด้านบน ลู่ส้าวหลิงขมวดคิ้วเข้าหากันจากนั้นก็วิ่งตามไป คว้าข้อมือของเธอเอาไว้แล้วถามว่า “อะไรคือพวกผู้ชายครับ คุณนับรวมผมด้วยรึไง?”
เขาจำได้ว่าตนเองไม่เคยทำอะไรให้เธอต้องโมโหหรือขุ่นเคืองใจนี่!
โม่หว่านหว่านยักไหล่แล้วตอบว่า “ก็พวกคุณมันก็คนประเภทเดียวกันนั่นแหละค่ะ พวกเดินทางสายเดียวกัน ไม่อย่างนั้นพวกคุณจะเป็นเพื่อนสนิทกันได้ยังไง?”
ลู่ส้าวหลิง “……”
โม่หว่านหว่านเดินผ่านเขาไปจากด้านข้าง อีกทั้งหันกลับมาโบกไม้โบกมือให้กับเขาอย่างตรงไปตรงมา “เอาล่ะค่ะ ฉันขอตัวขึ้นไปดูเจ้าตัวเล็กก่อน”
และที่ห้องชั้นบนห้องหนึ่ง ลี่เจิ้งกำลังถอดหูฟังออกได้จังหวะพอดี เขาเองหลังพิงเก้าอี้ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ที่แท้ เตียวเตียวเป็นน้องชายแท้ๆของเขานี่เอง!